ปรึกษาหมอ

ไม่เข้าใจผลการตรวจโรคไวรัสตับอักเสบ นี่เป็นบวกนั่นเป็นลบ

ดิฉันไม่เข้าใจผลการตรวจโรคไวรัสตับอักเสบบี. ซึ่งมีทั้งการตรวจแอนติเจน แอนติบอดี้ และแอนติบอดี้ก่อมีหลายตัว ทั้งแอนตี้บอดีต่อ surface และต่อ core ของไวรัส นี่เป็นบวก นั่นเป็นลบ ปนเปกันมั่ว ขอให้คุณหมอสันต์ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วยค่ะ
พาริน

ตอบ

ผมอธิบายง่ายๆนะ การต่อสู้กันระหว่างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกับเชื้อโรคนี้มันมีสองฝ่าย คือฝ่ายภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น เรียกว่าแอนตี้บอดี้ (Antibody) เขียนย่อว่า Ab กับฝ่ายตัวเชื้อโรคซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวบุกมาล่อเป้า หรือเป็นฝ่ายแอนติเจน (Antigen) เขียนย่อว่า Ag

สำหรับโรคตับอักเสบบีนี้ภาษาหมอ เรียกว่า Hepatitis B เขียนย่อว่า HB ทีนี้ตัวร่างกายของเชื้อไวรัสบีนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือส่วนเปลือก (surface) ของมัน ซึ่งเขียนย่อว่า s กับส่วนแกน (core) ของมัน ซึ่งเขียนย่อว่า c นอกจากนี้ร่างกายของไวรัสอาจมีชิ้นส่วนของยีนส่วนหนึ่งซึ่งเขียนย่อว่า e ซึ่งจะออกมาเฉพาะช่วงที่ไวรัสกำลังแอคทีฟมีการแบ่งตัวมาก
เพื่อความสั้น ทางการแพทย์นิยมเอาคำย่อมาต่อๆกัน จึงสมควรทำความคุ้นเคยกับตัวย่อในเรื่องนี้ก่อน ได้แก่

HBsAg หมายถึงเปลือกของเชื้อไวรัส
HBsAb หมายถึงภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นต่อต้านเปลือกของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.

จากค่าแล็บทั้งสองค่านี้ก็พอจะใช้ตีความหมายการติดเชื้อโรคนี้ได้แล้ว ซึ่งมักจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งในสี่แบบ กล่าวคือ

ถ้า HBsAg ได้ผลลบ และ HBsAb ก็ได้ผลลบ หมายความว่าไม่มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย และไม่มีภูมิคุ้มกันด้วย คือยังบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เคยติดเชื้อ กรณีเช่นนี้ก็ควรจะรีบๆฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี.ป้องกันเสีย เพราะคนไทยตายด้วยมะเร็งเป็นเหตุอันดับหนึ่ง และมะเร็งตับก็เป็นท็อปของมะเร็งคนไทย และ 80% ของมะเร็งตับเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี. ดังนั้นป้องกันไว้ดีแน่

ถ้า HBsAg ได้ผลลบ แต่ HBsAb ได้ผลบวก หมายความว่า ณ ขณะนี้ว่าไม่มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายแล้ว แต่เรามีภูมิคุ้มกันโรคนี้อยู่ หมายความว่าอาจได้ภูมิคุ้มกันมาจากที่เคยติดเชื้อมาก่อนในอดีตแล้วร่างกายกำจัดเชื้อไปหมดแล้ว หรือเนื่องจากเคยได้รับการฉีดวัคซีนก็แล้วแต่

ถ้า HBsAg ได้ผลบวก แต่ HBsAb ได้ผลลบ อันนี้ก็คือเรามีเชื้อไวรัสอยู่ในตัว ถ้าไม่มีอาการอะไรก็หมายความว่าร่างกายเรายอมเป็นพาหะให้เชื้อโรคนี้อยู่อาศัยโดยดี เราอาจเอาเชื้อนี้ไปแพร่ให้ใครต่อใครก็ได้ กรณีเช่นนี้ก็ต้องให้คนใกล้ชิดเช่นคู่สมรสและลูกเต้าไปตรวจดูสภาวะภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่มีภูมิก็ควรให้พวกเขาฉีดวัคซีนเสียให้หมด ส่วนตัวเราเองก็ควรไปหาหมอโรคตับ เพราะสมัยนี้มียาดีกำจัดเชื้อในคนที่เป็นพาหะได้

ถ้า HBsAg ได้ผลบวก ขณะที่ HBsAb อาจได้ผลบวกหรือลบ โดยที่มีอาการป่วยอยู่ด้วย แสดงว่าเรากำลังติดเชื้อและร่างกายก็กำลังสู้กับเชื้ออยู่ยังไม่ยุติ ก็ต้องรีบไปหาหมอโรคตับเพื่อรักษาโรคตับอักเสบโดยด่วน

นั่นเป็นภาคความรู้ปกติที่ควรรู้นะครับ ภาคพิศดารก็คือของจริงมันยังมีทั้งแอนตี้บอดี้และแอนติเจนชนิดอื่นๆนอกเหนือจาก HBsAg และ HBsAb กล่าวคือ

HBcAg หมายถึงส่วนแกนของตัวเชื้อไวรัส

HBeAg หมายถึงชิ้นส่วนของยีนของไวรัสซึ่งมักตรวจพบในร่างกายในช่วงที่ไวรัสกำลังแบ่งตัว แสดงว่าโรคกำลังเป็นขาขึ้นหรือแอคทีฟอยู่

HBV-DNA หมายถึงตัวดีเอ็นเอ.หรือยีนต้นกำเนิดของไวรัสบี.เลย ซึ่งถ้าตรวจพบก็เป็นตัวบอกที่แน่นอนที่สุดว่าไวรัสกำลังแบ่งตัวอาละวาดอยู่

HBcAb หมายถึงภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นต่อต้านส่วนแกนของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี. ถ้าตรวจพบก็หมายความว่าเราเคยติดเชื้อ คือตัวเชื้อจริงๆมา (ไม่ใช่วัคซีน เพราะวัคซีนคือตัวเปลือกไวรัส) และร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไว้แล้ว ซึ่งแอนตี้บอดี้ชนิดนี้แบ่งออกได้เป็นสองแบบ (subtype) คือ IgM กับ IgG หากเป็นแบบ IgM จะบ่งบอกถึงการติดเชื้อเฉียบพลัน แต่หากเป็นแบบ IgG จะบ่งบอกถึงการติดเชื้อระยะเรื้อรัง

HBeAb หมายถึงภูมิคุ้มกันต่อชิ้นส่วน e ของยีนไวรัส ซึ่งหากตรวจพบก็บ่งบอกว่าโรคได้ผ่านระยะที่ไวรัสแบ่งตัวไปแล้ว เข้าสู่ระยะกำจัดเชื้อไวรัสได้เด็ดขาดแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Blumberg BS. Australia antigen and the biology of hepatitis B. Science. Jul 1 1977;197(4298):17-25.
1. Norder H, Courouce AM, Magnius LO. Complete genomes, phylogenetic relatedness, and structural proteins of six strains of the hepatitis B virus, four of which represent two new genotypes. Virology. Feb 1994;198(2):489-503.
2. Keeffe EB, Dieterich DT, Han SH, et al. A treatment algorithm for the management of chronic hepatitis B virus infection in the United States: an update. Clin Gastroenterol Hepatol. Aug 2006;4(8):936-62.
3. Lok AS, McMahon BJ. AASLD Practice Guidelines: Chronic hepatitis B. Hepatology. Feb 2007;45(2):507-39.

3 thoughts on “ไม่เข้าใจผลการตรวจโรคไวรัสตับอักเสบ นี่เป็นบวกนั่นเป็นลบ

  1. หนูติดตามอ่านหาข้อมูลมาหลายเวบไซต์เห็นบอกว่าโรคไวรัสตับอักเสบบียังไม่มียารักษา หนูติดเชื้อมา 5ปีแล้ว หมอเค้าก็ไม่ได้นัดไปตรวจหาภาวะแทรกซ้อนของตับนับตั้งแต่ที่รู้ว่ามีเชื้อ เค้าแค่บอกว่ามันจะหายเองไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แล้ว 1 ปี หลังจากรู้ว่ามีเชื้อก็ไปตรวจเลื้อดเองกับโรงพยาบาลเอกชนผลออกมาก็ยังมีเชื้ออีก แต่ก็ไม่ได้รับการรักษามีเพียงแค่บอกว่ามันจะหายไปเอง
    ไปตรวจเลือดอีกรอบที่ 3 ผลออกมาก็ยังมีเชื้อ แล้วครั้งที่4หนูจะได้ฟังผลวันจันทร์นี้
    หนูอยากจะรักษาตัวเองให้หายจะมีวิธีไหนค่ะ
    พอหนูเข้ามาอ่านในเวบของคุณหมอแล้วหนูรู้สึกมีความหวังที่จะหายขึ้นมาค่ะ

    ถึงใครหลายคนจะบอกว่าโรคนี้เป็นแล้วก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปได้ แต่หนูว่าคงจะใช้ชีวิตอย่างลำบากค่ะเพราะที่ทำงานหลายที่ต้องตรวจสุขภาพ แล้วหนูเองจะต้องไปทำงานต่างประเทศแล้วยิ่งต้องตรวจสุขภาพให้ผ่าน หนูกลุ้มมากๆเลยค่ะคุณหมอ

  2. ตรวจเลือดล่าสุด 22 มีนาคม 2553ได้ผลมาตามนี้ค่ะ
    HBeAg = Negative
    HBsAg = Positive
    Anti-HCV = Negative
    AntiHBe = Positive

    ค่า AST = 19
    ACT = 16
    Alk = 52

    อยากทราบว่าตัวเลขพวกนี้มันแสดงว่าอะไรเหรอค่ะ

  3. ตอบคุณไม่ระบุชื่อ

    อ่านวันที่คุณเขียนไว้ โอ้โฮ..นานมากแล้ว คบคนแก่ก็งี้แหละครับ ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปเร็ว

    เอาละ เข้าเรื่องนะผลการตรวจเลือดของคุณ

    HBeAg = Negative หมายความว่าไม่มีชิ้นส่วนยีนของไวรัสซึ่งบ่งบอกถึงการแบ่งตัวหรือกำลังอาละวาดแต่อย่างใด แปลว่าโรคโดนปราบสงบไปแล้ว

    HBsAg = Positive หมายความว่าแม้จะสงบ แต่ยังมีเชื้อไวรัสบีอยู่ในตัวอยู่

    Anti-HCV = Negative หมายความว่าไม่เคยติดเชื้อไวรัสซี คนละโรคนะครับ คือไม่แจ๊คพอตเป็นพร้อมกันสองโรค

    AntiHBe = Positive หมายความว่ามีภูมิคุ้มกันต่อชิ้นส่วนยีนไวรัสบีแล้ว ซึ่งยืนยันผล HBeAg ว่า –ve แท้แน่นอน

    AST = 19 หมายความว่าเอ็นไซม์ของตับปกติ (<40) แปลว่าตับไม่ได้พัง ถ้าพังจะมีเอ็นไซม์ออกมาในเลือดจนสูงผิดปกติ

    ACT = 16 ตัวนี้คนละงานเลยนะคุณ ตัวนี้บอกค่าการแข็งตัวของเลือดในงานผ่าตัดหัวใจ คุณจดมาผิดมั้ง น่าจะหมายถึง ALT ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ของตับคู่กับ AST และมีความหมายเหมือนกัน

    Alk = 52 อันนี้เป็นเอ็นไซม์จับฉ่ายแสดงถึงการอักเสบบริเวณตับหรือใกล้เคียงค่าที่ได้ถือว่าปกติ (<147)

    กล่าวโดยสรุป โรคที่คุณเป็นนี้จะเป็นอะไรขึ้นกับหมอที่รักษา

    หมอสมัยก่อนจะวินิจฉัยว่าเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B carrier) ไม่ต้องทำอะไรเว้นไว้แต่ว่ามันจะฮึดเกิดอักเสบขึ้นมาใหม่ค่อยมาว่ากัน

    แต่ถ้าเป็นหมอสมัยใหม่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังระยะสงบ (Chronic Hepatitis B, latent period) ซึ่งควรรักษาด้วยการไปตรวจนับจำนวนไวรัส (viral load) ถ้าพลพรรคไวรัสมีมากก็ควรใช้ยาฆ่าไวรัส (interpheron) ให้สิ้นซากไปซะ

    กล่าวโดยสรุปโรคของคุณหายได้ ทั้งนี้ต้องไปหาหมอโรคตับโดยเฉพาะ เพราะถ้าไปหาหมออายุรกรรมทั่วไปอาจจะพูดกันไม่รู้เรื่อง ไปหาหมอจีไอ. (gastroenterologist) ก็ยังอาจพูดกันแล้วไม่ได้เรื่อง ต้องไปหาหมอที่หากินกับตับอย่างเดียวที่เรียกว่า hepatologist จึงจะได้เรื่องแน่นอนครับ

Comments are closed.