Latest

จะทำอย่างไรกับแม่ที่ไม่ยอมไปตรวจเรื่องถ่ายเป็นเลือด

สงสารแม่ผมจังครับ

by เด็กที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง » Mon Jan 18, 2010 7:49 pm

สวัดดีครับคุณหมอ

ผมอยากทรายว่าอาการแบบนี้แม่ผมจะมีโอกาสเป็นมะเร็งไหมครับ

1.เวลาเครียดมากมากไม่ว่าจากการทํางานหรือในครอบครัวม่านจะมีอุจจาระเป็นเลือด
2.ท่านเป็นริดสีดวง
3.ท่านไม่ค่อยกินข้าวช้าวกับเย็น เช้าทานจะดืมกาแฟกับขนมปัง เย็นบางทีท่านไม่ทานอะไรเลย

ผมพยายามบอกแล้วบอกอีกท่านก็ไม่ยอมไปตรวจท่านบอกกับผมว่า ถ้าตวรจแล้วเจอขึ้น มาแม่ก็ไม่มีกําลังใจทํางานต่อ
แล้วถ้าแม่เกิดเป็นไรขึ้นมาแล้วใครจะส่งผมเรียนหนังสือล่ะผมถามท่านท่านก็บอกว่าไม่ต้องกังวลหรอกลูกแม่น่ะทําประกันชีวิตไว้ถ้าแม่จากโรคมะเร็งตายลูกก็จะได้เงินไว้เรียนต่อ
ทั้งที่ผมอยากจะพูดว่าเงินน่ะผมไม่ต้องการหรอกผมต้องการให้ผม่อยู่กับผมนานนานแต่ผมไม่กล้าพูด
ขอบคุณนะครับที่รับฟังปัญหาของผม

เด็กที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง
——————————————————————————–

ตอบคำถามก่อนนะ ถามว่าอาการถ่ายอุจจาระมีเลือดปน เป็นมะเร็งได้ไหม ขอตอบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ครับ เพราะการมีเลือดออกมาในอุจจาระ เป็นอาการนำอย่างหนึ่งของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนสาเหตุอื่นของการมีเลือดออกมาในอุจจาระที่พบบ่อยก็คือริดสีดวงทวารที่คุณแม่เป็นอยู่นั่นแหละ รองลงมาก็คือเลือดออกในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความเครียดและยาที่กัดกระเพาะ ในกรณีของคุณแม่คุณ สาเหตุทั้งสามอย่างนี้ คือมะเร็งลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวาร และเลือดออกในกระเพาะอาหาร ล้วนเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น

ประเด็นไม่ชอบทานข้าวตอนเช้าหรือตอนเย็น ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพครับ พระท่านฉันวันละมื้อท่านยังอยู่ของท่านได้สบาย มันสำคัญที่แต่ละมื้อรับประทานอะไรมากกว่าที่เป็นปัญหาสุขภาพ

ส่วนประเด็นที่คุณแม่ไม่ยอมไปตรวจ เพราะกลัวเจอโรค อันนี้ผมเห็นใจครับ ไม่ใช่แต่คุณแม่ของคุณที่เป็นอย่างนี้ หมอบางคนที่ผมรู้จักก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ดังนั้นอย่าไปว่าคุณแม่ท่านเลย การจะพูดให้คุณแม่เปลียนใจ ผมแนะนำให้ทำเป็นขั้นตอนดังนี้ครับ

ขั้นที่หนึ่ง คุณต้องตีสนิทกับคุณแม่ของคุณ คุยกันถึงทัศนคติต่อสิ่งต่างๆในชีวิต คุยกันถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆในชีวิตว่าเป็นสิ่งซึ่งต้องเกิดขึ้น ปลุกใจไม่ให้กลัวความเปลี่ยนแปลงในชีวิต คุยกันถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือความตาย คุยกันเหมือนกับว่าความตายเป็นสิ่งที่คงจะอยู่ไม่ไกล คุยกันให้ในใจยอมรับว่าคนเราอย่างไรก็ต้องตาย กลัวไปก็ไร้ประโยชน์ เอาให้ได้อย่างนี้ก่อน นี่ขั้นตอนที่หนึ่ง เพราะคนเราถ้ากลัวทุกอย่างขี้ขึ้นสมองแล้วก็จะไม่กล้าทำอะไร ต้องเอาชนะความกลัวก่อน และเมื่อยอมรับความตายได้ ลดความกลัวตายได้ ความกลัวอย่างอื่นก็เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย จึงจะเกิดความกล้าคิดกล้าทำอะไร

ขั้นตอนที่สองก็มาคุยกันถึงแผนชีวิตที่เหลืออยู่ ว่าคนเราย่อมต้องการชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ การจะได้ทั้งสองอย่างนี้เราก็ต้องวางแผนเลือกว่าจะใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้อย่างไร ยกตัวอย่างถ้าเราจะเดินไปตลาด ถ้ามันมีสองเส้นทาง เส้นหนึ่งผ่านโรงพักซึ่งสงบเรียบร้อยดี อีกเส้นหนึ่งผ่านซอยรกรุงรังซึ่งพวกจิ๊กโก๋ยกพวกปะทะกันยิงกันโป้งป้างเป็นประจำ การเลือกเดินเส้นทางหลังย่อมมีโอกาสโดนลูกปืนจรจัดทำให้มีโอกาสตายเร็วกว่า เราจึงเลือกไปเดินเส้นผ่านโรงพักแทน นี่เป็นการตัดสินใจเชิงบริหารความเสี่ยง การตัดสินใจไปตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เหมือนกัน มันเป็นการเลือกเส้นทางที่เสี่ยงตายน้อยกว่าและจะได้ตายดีกว่า คือตรวจเพื่อให้พบติ่งเนื้อหรือโพลิปที่เป็นที่เกิดมะเร็งเสียตั้งแต่แรก แล้วตัดออกเสียก่อนที่มันจะเป็นมะเร็ง หรือเป็นแล้วยังไม่ทันลุกลาม ผลได้ก็คือไม่เป็นมะเร็ง หรือเป็นแต่รักษาหาย ขณะที่การไม่ตรวจก็คือไม่รู้ว่าเป็นหรือเปล่า รอไปรู้เอาตอนเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นตกเลือดปางตาย หรือถ่ายอุจจาระไม่ออก หรือลำไส้อุดตันจนอาเจียนกินอะไรไม่ได้ การเลือกเส้นทางนั้นนอกจากเป็นเส้นทางที่นอกจากจะมีอายุสั้นกว่าแล้ว ชีวิตบั้นปลายยังมีคุณภาพชีวิตที่เลวกว่าด้วย เพราะภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งระยะท้ายๆทุกชนิดที่ไม่ได้รับการรักษาเสียแต่แรก ล้วนแล้วแต่ทุกข์ทรมานทั้งสิ้น

ถ้าคุยกันเพื่อขจัดความกลัวแล้ว คุยกันถึงการแผนชีวิตในวันหน้าเพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพแล้ว ก็ยังชักชวนไม่สำเร็จ แสดงว่าคุณแม่ของคุณมาถึงจุดที่ “ปลง” เสียแล้ว หมายความว่าสำหรับท่าน การมีชีวิตอยู่มันไร้ความหมาย อยู่ไปก็ไลฟ์บอย อยู่ไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นอยู่ไปวันๆอย่างนี้นะดีแล้ว อย่าขวนขวายอะไรเลย รอเพียงแค่การมาของอาหารเย็น หรือความตาย สุดแล้วแต่ว่าอย่างไหนจะมาถึงก่อนกัน ถ้าคุณแม่ของคุณออกแนวนี้ คุณต้องถอยมาใช้อีกก๊อกหนึ่ง คือคุณต้องทำ.. ทำนะ ไม่ใช่พูด ทำให้ท่านเห็น ว่าคุณแม่มีความสำคัญต่อคุณ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรทางใจของคุณ ด้วยการกลับมาบ้านก็เข้าไปทักทายแสดงออกถึงความสุขที่ได้เห็นหน้าแม่ ทำให้ได้ก่อน แล้วค่อยพูด ว่าคุณอยากให้แม่อยู่กับคุณนานๆ เป็นที่พึงทางใจของคุณไปนานๆ เป็นการสร้างความนับถือตนเอง (self esteem) ให้แก่คุณแม่ของคุณ ถ้าท่านมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว ขั้นต่อไปการชวนไปตรวจรักษาก็จะง่ายขึ้น

ถ้ายังงอแงอีก ลองค้นดูซิ อาจจะมีอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ คือเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะคนสูงอายุย่อมเสียดายเงิน และไม่อยากเป็นภาระทางการเงินลูกหลาน คุณต้องเคลียร์ปมนี้ก่อน เรื่องค่ารักษาสมัยนี้บัตรทองสามสิบบาทช่วยปลดภาระไปได้ แต่เรื่องรายได้ที่จะขาดหายไปจากการหยุดงานไปตรวจอีกละ คุณต้องหาทางชดเชยหรือกลบเกลื่อนอย่าให้คุณแม่รู้สึกว่ามันเป็นความสูญเสียทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ถ้าจะต้องไปโรงพยาบาล

ถ้าทำทุกอย่างดังนี้แล้วท่านก็ไม่ยอมไปตรวจอีก คุณก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของท่าน ว่านี่เป็นอนาคตที่ท่านเลือก เลิกเซ้าซี้กับท่านและหันมาใช้วันเวลาที่ยังเหลืออยู่ด้วยกันให้มีคุณค่ามากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ คุณก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูผู้น่ารักแล้วละครับ