Latest

ปัสสาวะเป็นเลือด

เรียนคุณหมอค่ะ

ขอเรียนปรึกษาคุณหมอ เนื่องจากคุณแม่อายุ 59 ปี ตรวจสุขภาพแล้วปัสสาวะมีเม็ดเลือดแดงปนออกมา ก็เลยทำการรักษา โดยเริ่มต้นให้ยาฆ่าเชื้อมาทาน พอทานได้สักระยะ ก็ปัสสาวะแล้วมีเลือดปนออกมา ปัสสาวะเป็นสีออกแดงใส คุณหมอก็เลยส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ พบว่าท่อปัสสาวะตีบ และได้ทำการฉีดสีตรวจการทำงานของไต แล้วไม่พบว่ามีนิ่ว ก็เลยให้ยาฆ่าเชื้อมาทานและยาแก้อักเสบลดบวม ทานมาได้ 1 อาทิตย์ ก็เริ่มกลับมามีอาการอีก คือปัสสาวะแล้วปวดหน่วงและมีเลือดปนออกมาอีกค่ะ ขอปรึกษาว่าควรต้องรักษาเพิ่มเติ่มอย่างไรต่อดีค่ะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะ

………………….

ตอบครับ

ข้อมูลที่คุณให้มามันไม่พอที่จะแนะนำอะไรเพิ่มเติมได้ครับ เพราะสาเหตุของปัสสาวะเป็นเลือด นอกจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบมีเลือดออก (hemorrhagic systitis) แล้ว ยังมีสาเหตุอื่นได้มากมายหลายหลาก ตัวอย่างข้อมูลที่ผมต้องการก็เช่น

1. ในระหว่างนี้คุณแม่กินยาหรือสมุนไพรหรืออะไรแปลกบ้างไหม เพราะสารพิษต่อไตทำให้ปัสสาวะเป็นเลือดได้ เช่นยาซัลฟา สมุนไพรที่เข้าพวกปรอท หรือแม้กระทั่งเลือดที่ได้รับการถ่ายเลือดมาจากคนอื่นก็เป็นพิษต่อไตได้

2. ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บอะไรมาหรือเปล่า เพราะการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อไม่ว่าที่ไหน ก็ทำให้เลือดออกที่ไตได้

3. คุณแม่มีไข้ด้วยหรือเปล่า ถ้ามีวัดไข้ได้เท่าไร เพราะการติดเชื้อในระดับทั่วร่างกาย อาจทำให้เกิดเม็ดเชื้อโรค (septic emboli) ล่องลอยมาตามกระแสเลือด มาทำให้เลือดออกที่ไตได้

4. ตัวชี้วัดผลการทำงานของไต (GFR) เป็นเท่าไร เพราะโรคไตอักเสบ (glomerulonephritis) และลิ่มเลือดอุดที่ไต (renal vein thrombosis) ก็ทำให้ฉี่เป็นเลือดได้ ทั้งนี้ต้องดูว่ามีปัญหาสืบเนื่องจากการทำงานของไตหรือไม่ด้วย เช่นความดันเลือดสูงหรือเปล่า สูงเท่าไร มีภาวะโลหิตจางไหม ค่าเม็ดเลือดแดง (Hb หรือ Hct) เป็นเท่าไร

5. เคยได้ทำการตรวจภาพของช่องท้องด้วยอุลตร้าซาวด์หรือซีที. (เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์) ไปหรือยัง เพราะนอกจากนิ่วแล้ว เนื้องอกหลายชนิดที่ไต รวมทั้งความผิดปกติในรูปทรงของไตแต่กำเนิด (polycystic kidney) ก็ทำให้ปัสสาวะเป็นเลือดได้ ความผิดปกติเหล่านี้บางครั้งมองไม่เห็นจากการฉีดสีดูกรวยไต

6. เมื่อดูข้างต้นหมดแล้วไม่พบอะไร ก็ต้องตรวจเลือดเพื่อคัดแยกให้แน่ใจว่าไม่เป็นอีกสามโรค คือ (1) โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองเช่นโรค SLE ซึ่งทำให้เลือดออกง่ายได้ (2) โรคไฮเปอร์พาราไทรอยด์ ซึ่งทำให้ระดับแคลเซียมสูงเกิดนิ่วได้ง่าย (3) โรคเก้าท์ ซึ่งทำให้เกิดผลึกนิ่วในไตทำให้เลือดออกได้เช่นกัน

ผมแนะนำว่าคุณรอดูผลของการรักษา hemorrhagic cystitis ด้วยยาปฏิชีวนะไป 2 สัปดาห์ ถ้ามันไม่หาย คราวนี้ต้องกลับไปหาหมอใหม่ หมอคนเดิมนะแหละ โดยคราวนี้หารือกับหมอถึงการตรวจวินิจฉัยแยกสาเหตุทั้งหกกลุ่มข้างต้น ว่าข้อมูลอะไรมีแล้ว อะไรไม่มี ที่ไม่มีก็ควรตรวจเพิ่ม จนตีวงให้แคบเข้ามาได้ว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร เมื่อรู้เหตุแล้วค่อยวางแผนรักษากันใหม่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์