Latest

BPPV มึนหัว เวียนหัว เมื่อหันหน้าเร็วๆ

ผมมีอาการมึนหัว ตื้อๆ หัว เหมือนแผ่นดินไหวๆ (บางครั้ง) มองซ้าย ขวาเร็วๆ ไม่ได้ จะมึนๆ บางครั้งมีอาการชาๆ บนศรีษะ ใบหน้า ส่วนที่นิ้วมือเป็นบางครั้ง เป็นมา 3 สัปดาห์แล้ว อาการบางวันก็ดีเกือบ 100% บางวันก็กลับมาเหมือนเดิม ไปพบแพทย์แล้ว 3 ครั้ง ก็ให้ วิตามินบีรวมมา และวินิจฉัยเหมือนกัน คือพักผ่อนน้อย ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ ทำงานกับ คอมพิวเตอร์ วันละ 8 ชั่วโมง แต่มีเวลาไปเล่นกีฬา (บาส) ทุกเย็น วันละ 1 ชั่วโมง นอน 5 ทุ่ม ถึง 7 โมงเช้า (จากเมื่อก่อนที่จะพบแพทย์นอน ตี 2)

อยากทราบว่าเป็นอาการอะไรครับ ทำอย่างไรถึงจะหายครับ ไม่สบายใจครับ

…………………………………….

ตอบครับ

อาการของเวียนหัว มึนหัว บ้านหมุน สมัยผมเด็กๆได้ยินคนจีนในตลาดเรียกว่าเรียกว่าก่งก๊ง ฝรั่งเรียกว่า dizziness บางทีก็เรียกว่าหัวเบา (lightheadness) คุณไม่บอกว่าอายุเท่าไร แต่อาการแบบนี้ชอบเป็นในคนสูงอายุ คือพบได้ถึง 40% ในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป มีสาเหตุได้แตกต่างหลากหลาย เช่น

1. ถ้าเป็นประเดี๋ยวประด๋าวตอนหันคอหรือเปลี่ยนท่าร่าง พอพักสักครู่ก็หายไป หรือหันหน้าเร็วๆแล้วเป็น อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่าเป็นโรคเวียนหัวชั่วคราวเพราะท่าร่าง หรือ BPPV ซึ่งย่อมาจาก benign paroxysmal positional vertigo บางทีหมอบางคนก็เรียกง่ายๆว่าโรคมีก้อนนิ่วทีน้ำในหู การรักษาก็ทำกันตั้งแต่รอดูไปก่อนให้มันหายเองบ้าง จัดท่าย้ายที่ก้อนนิ่วในหูบ้าง ใช้ยาแก้เมาบ้าง

2. การติดเชื้อไวรัสเช่นหวัด ก็ทำให้เวียนหัวบ้านหมุนได้

3. เป็นอาการอย่างหนึ่งของโรคปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งเป็นโรคไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีวิธีรักษาจำเพาะอีกนะแหละ

4. ถ้าอาการเป็นอยู่นานไม่หายไปง่ายๆอาจเกิดจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีเสียงวิ๊งๆในหูหรืออาการหูตึงร่วมด้วย มักไม่แคล้วเป็นโรคนี้

5. โรคประสาทหูอักเสบหรือเสื่อม (vestibular neuronitis)

6. โรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนหลังตีบ ซึ่งเป็นทีมักจะเป็นนานเป็นวันๆ มักมีอาการทางสมองเช่นเห็นภาพซ้อน หน้าเบี้ยว พูดไม่ได้ เดินเซ ร่วมอยู่ด้วย

7. โรคเนื้องอกในสมองส่วนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องหู (acoustic tumor)

8. โรคภูมิคุ้มกันทำลายเยื่อหูตนเอง (immune mediated inner ear disease) ซึ่งรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันเช่นสะเตียรอยด์

การจะวินิจฉัยแยกสาเหตุทั้งแปดอย่างนี้ว่าเกิดจากอะไรแน่มันเป็นเรื่องยืดเยื้อเรื้อรังวุ่นวายขายปลาช่อนพอสมควร แบบว่าค่อยๆลองวินิจฉัยกันไป ลองรักษากันไป แบบหวานเย็น ส่งกันไปส่งกันมา หมออายุรกรรมทั่วไปส่งไปให้หมออายุรกรรมประสาท หมออายุรกรรมประสาทส่งไปให้หมอหูคอจมูก เอากันอยู่นั่นแหละ รักษากันนานไม่รู้จบรู้สิ้น เพราะถ้าเจาะเลือดไม่พบภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และตรวจสมองด้วย MRI ไม่พบเนื้องอกแล้ว สาเหตุอื่นๆหมอก็ล้วนไม่มีไม้ตายในการรักษานอกเหนือไปกว่าการให้ยาแก้เมาเป็นพื้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งคืออาการมันหายไปของมันเองดื้อๆ ดังนั้นอย่าไปวอรี่กับมันมากครับ

ผมขอแนะนำเพิ่มเติมว่าให้คุณ

(1) ปรับวิธีทำงานกับคอมพิวเตอร์ไม่ให้คอมพิวเตอร์ทำลายตัวเราเอง กล่าวคือนอกจะตั้งคอมพิวเตอร์ให้พอดีในท่านั่ง คือ จออยู่ระดับตา แป้นอยู่ระดับสะดือแล้ว เมื่อทำงานไปได้สักยี่สิบนาทีก็ต้องหันเอาตาไปมองที่อื่นไกลๆที่ไม่ใช่จอภาพสลับฉากสักครู่ และเมื่อทำงานไปสองชั่วโมงก็ต้องหยุดพักตาอย่างน้อยสักห้านาที

(2) ให้เวลาดูแลตัวเองอย่างที่ทำมาแล้วคือออกกำลังกายทุกวัน นอนพักผ่อนให้พอ ดูแลโภชนาการให้ถูกต้อง ทำอย่างนี้สัก 6 เดือน

(3) ถ้าทำสองอย่างนี้แล้วอาการมันยังไม่หายไปอีกใน 6 เดือน คราวนี้แนะนำให้กลับไปหาหมอใหม่ โดยคราวนี้ผมแนะนำให้ไปเริ่มหาหมอหูคอจมูกก่อน ให้เตรียมคำถามจี้ใจดำหมอไว้ให้พร้อมเช่น “จะทราบได้อย่างไรครับว่าผมไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองแล้วให้มีอาการอย่างนี้” หรือ “จะทราบได้อย่างไรครับว่าผมไม่มีเนื้องอกในช่องหู” อะไรอย่างนี้เป็นต้น รับรองคำถามแสบๆแบบนี้จะทำให้คุณได้เสียเงินสมใจแน่นอน คือหมอจะสั่งตรวจทุกอย่างที่จะทำให้เขาตอบคำถามของคุณได้ แล้วอย่าแปลกใจนะถ้ามันจะจบลงด้วยการตรวจไม่พบอะไรเลย แล้วคุณก็กลับบ้านเอายาแก้เมามากินเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังแนะนำให้ทำแบบนี้..อยู่ดี

เพราะผมเป็นแพทย์แผนตรวจดะ เอ๊ย ขอโทษ แผนปัจจุบันนี่ครับ ทำไงได้ละ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์