Latest

ถามว่าโลกหลังการตายมันเป็นยังไงครับ

ผมติดตามคุณหมอมาหลายปี เห็นการตอบของคุณหมอมีเหตุผลมาสนับสนุน มีระบบวิธีคิดที่ละเอียด จึงอยากจะเรียนถามว่าโดยส่วนตัวคุณหมอคิดว่าโลกหลังการตายไปแล้วมันเป็นยังไงครับ อย่าเข้าใจผิดนะครับผมยังไม่ได้อยากตาย ผมยังมีความสุขพอสมควรตามอัตภาพ เพียงแต่คิดว่าสุดท้ายก็ต้องตายทุกคนจึงอยากจะรับฟังความเห็นของคุณหมอ ผมหาข้อมูลด้านนี้ก็มีหลายแนวทาง บางท่านก็ว่าอย่าไปรู้เลยทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ(แต่ถ้ารู้ไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดีนี่ครับ) บางท่านก็ตอบในแนวที่ผมยิ่งงง  แต่ผมอยากทราบว่าคุณหมอมีความเห็นยังไงเพราะคุณหมอมีวิธีคิดที่เป็นระบบและมีเหตุผลมาอธิบายได้ รบกวนด้วยนะครับ
             นับถือ
          คนเขลา
……………………………
ตอบครับ

     โอ้..นี่วันนี้จะไปกันไกลถึงชีวิตหลังตายเลยนะเนี่ย จดหมายของคุณทำให้ผมนึกถึงโจ๊กฝรั่งที่เจ้านายพูดกับเสมียนสาวว่า
     เจ้านาย “ตอนนี้ผมรู้แล้ว ชีวิตหลังตายมีจริง”

     เสมียนสาว “เหรอ..มันเป็นยังไงเหรอคะ”

     เจ้านาย “ก็คุณลางานไปทำศพปู่คุณเจ็ดวัน แต่เช้าวันนี้ผมยังเห็นปู่ของคุณเดินช็อปปิ้งที่มอลอยู่เลย”
     แหะ..แหะ พล่ามไร้สาระไปงั้นแหละ ไม่เกี่ยวอะไรกับคำถามของคุณหรอก มาตอบคำถามของคุณดีกว่า ถามว่าผมเชื่อไหมว่าชีวิตหลังตายมีหรือไม่มี ตอบว่า No Idea เลยครับ เพราะผมไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง ข้อมูลเรื่องชีวิตหลังตายที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนเป็นหลักฐานระดับเรื่องเล่า (anecdotal) ทั้งสิ้น ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์ไม่นับเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ แล้วจะให้ผมเชื่อ หรือไม่เชื่อ เดี๋ยวนี้ ผมตอบไม่ได้หรอกครับ ได้แต่แบ๊ะ..แบ๊ะ

     ถามว่าถ้าจะเชื่อก็ไม่ใช่ จะไม่เชื่อก็ไม่ใช่ แล้วผมเตรียมตัวตายอย่างไรบ้างไหม ตอบว่าผมก็เตรียมตัวเหมือนกับการเผชิญกับเรื่องหลายๆอย่างในชีวิตที่เรามีข้อมูลยังไม่ครบนั่นแหละครับ ก็คือผมใช้หลักการบริหารความเสี่ยง เพราะว่าตัวเองเคยทำงานบริหารมาก็อาศัยเครื่องมือที่ตัวเองคุ้นเคย หลักการบริหารความเสี่ยงนี้มีหลักง่ายๆว่าให้เอาทุกความเป็นไปได้มากางเรียงกันตั้งแต่ที่มีโอกาสเป็นมากที่สุดไปจนถึงที่มีโอกาสเป็นน้อยที่สุด แล้ววางแผนรองรับเป็นก๊อกๆ เริ่มจากรองรับสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก่อน ลดหลั่นเรียงลงไปตามลำดับ แบบว่าถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบที่ 1. เราจะเตรียมตัวแบบที่ 1. พอถึงเวลาถ้ามันเป็นแบบที่ 1 จริงเราก็ทำตามแผนที่ 1 ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบที่ 2 เราจะเตรียมตัวแบบที่ 2. พอถึงเวลาถ้ามันเกิดขึ้นแบบที่สองจริง เราก็ทำตามแผนที่สอง แล้วก็เอาแผนที่ 1, 2, 3.. มาผสมคลุกเคล้ากันเป็นแผนดำเนินชีวิตของเราในวันนี้ เรื่องแบบนี้ทหารเขาถนัดเพราะมันมีกำเนิดมาจากการรบทัพจับศึกในอดีต เขาเรียกมันว่าแผนสำหรับความเป็นไปได้ (contingency planning) เขียนมาถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ วันหนึ่งผมเจอเพื่อนเป็นนายพลทหารอากาศซึ่งสอนวิชาบริหารด้วย เราคุยกันถึงน้ำท่วมดอนเมือง และกองทัพต้องสูญเสียเงินไปร่วมหมื่นล้านบาทเพราะน้ำเข้าไปในศูนย์บัญชาการอากาศยานซึ่งสร้างไว้อย่างดีใต้ดิน ผมถามเพื่อนว่าเอ๊ะ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมหมายความว่ากองทัพซึ่งเต็มไปด้วยนายทหารนักบริหารที่มีสมองระดับเยี่ยมมากมาย ทำไมป้องกันเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เขาตอบว่า
     “เพราะเรามองความเป็นไปได้ ว่าเป็นไปไม่ได้”
     เขาหมายความว่าเพราะมันสมองของกองทัพอากาศ ปักใจเชื่อว่ามันเป็นไปไมได้ที่น้ำจะท่วมดอนเมือง เรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้

     ทำนองเดียวกัน ในประเด็นชีวิตหลังตายนี้ มันจะมีหรือไม่มีผมไม่รู้ แต่ผมก็ต้องบริหารความเสี่ยง ผมจะไม่ปักใจเชื่อว่าชาติหน้ามันไม่มี เพราะเกิดมันมีจริงขึ้นมาโดยที่ผมไม่ได้เตรียมตัวไว้ ผมก็เจ๊งสิครับ ใช่ไหม ดังนั้นผมจึงใช้ชีวิตในวันนี้โดยมุ่งให้ชีวิตในปัจจุบันมีคุณภาพ แต่ก็เผื่อความเป็นไปได้ที่มันจะต้องถูกลากไปต่อกันยกสองในชาติหน้าอีกด้วย ซึ่งบังเอิ๊น บังเอิญ แนวทางสร้างชีวิตที่ดีในวันนี้กับการเตรียมตัวเพื่อการ “ไป” แบบดีๆ มันมีส่วนทับซ้อนกันมากจนเกือบจะเหมือนกัน หมายความว่าการจะใช้ชีวิตในวันนี้ให้มีความสุข กับการจะได้ตายดีๆ หรือไปสู่ที่ดีๆหลังการตายตามคติของศาสนาต่างๆนั้น มันมีวิธีการเตรียมตัวคล้ายๆกันมาก เช่นว่าการฝึกตัวเองให้มีสติรู้ตัวรู้ใจตัวเองอยู่เสมอ (self awareness) การทำความคุ้นเคยกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆในชีวิตด้วยการ “ให้” อะไรๆในชีวิตของเราออกไปให้คนอื่นๆเสียบ้าง ก่อนที่มันจะหนีไปจากเราเองโดยเราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันไปแก่ใคร เป็นต้น ดังนั้นโดยคอนเซ็พท์การบริหารความเสี่ยงนี้ ผมไม่เคยมีปัญหาต้องวอรี่ว่าชาติหน้าจะมีหรือไม่มีเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์