Latest

ขอเขียนถึงการเมืองหนึ่งครั้ง และครั้งเดียว

บล็อกของผมพูดถึงแต่เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย จะนอกเรื่องบ้างก็เป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาคลายเครียด เรื่องอื่นๆที่เป็นสาระแต่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นศาสนา หรือการเมือง ผมไม่เคยพูดถึงเลย ที่ผมไม่พูดถึงการเมืองนั้นมีเหตุผลสองอย่าง อย่างหนึ่งก็เพราะคนไข้ของผมมีทั้งสีเหลืองสีแดง ที่เป็น ส.ส. ก็มี ที่เป็นรัฐมนตรีก็มี มีทั้งฝ่ายเพื่อไทยและฝ่ายประชาธิปัตย์ แม้แต่ท่านผู้อ่านบล็อกนี้ก็มีทั้งเหลืองทั้งแดง ถ้าผมพูดเรื่องการเมืองไป ไม่ว่าจะพูดออกเหลืองหรือออกแดง ก็ต้องทะเลาะกับคนไข้ของผมเสียราวครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมเงียบเสียดีกว่า

แต่ว่ามาถึงวันนี้บ้านเมืองของเราได้เฉียดเข้าใกล้จวนแจจะตกขอบเหวของความหายนะ ผมจึงคิดว่าเป็นเวลาที่ผมควรแหกประเพณีของบล็อก ขอเขียนเรื่องการเมืองสักหนึ่งครั้ง ครั้งเดียว แล้วจะไม่เขียนถึงอีกเลย

อีกเหตุผลที่ผมไม่เคยเขียนเรื่องการเมืองมาก่อนก็คือผมเองเคยตั้งใจว่าจะทำงานเป็นหมออาชีพมุ่งใช้ชีวิตดูแลคนเจ็บไข้โดยจะไม่ยุ่งอะไรกับการเมืองอีกเลย ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา เหตุผลเรื่องนี้มันยาว แต่ผมเล่าคร่าวๆให้ท่านผู้อ่านได้ เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้ คือหลังเหตุการณ์ที่นักศึกษาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลทหารเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ผมก็เหมือนนักศึกษาในสมัยนั้นคนอื่นๆที่ฝักใฝ่การเมืองมากจนการเมืองเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตัวผมเองเป็นรองนายกองค์การนักศึกษาของมหา’ลัย ซึ่งมีงานหลักคือประสานงานม็อบต่างๆนอกมหา’ลัยมากกว่างานเรียนหนังสือ วาระหลักของขบวนการนักศึกษาสมัยนั้นมีเรื่องเดียว คือทำอย่างไรจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนลงได้ หรือที่เรียกว่า wealth distribution วิธีการที่พวกเราตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์มีประเด็นเดียว คือต้องต่อต้านการคืนชีพของรัฐบาลเผด็จการทหารทุกรูปแบบ แต่การจะเดินหน้าไปอย่างไรโดยไม่มีเผด็จการทหารนั้น นักศึกษาเองก็แบ่งเป็นสองแนว แนวหนึ่งนิยมระบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง อีกแนวหนึ่งเชื่อว่าระบบเลือกตั้งไม่เวอร์ค เพราะเปิดช่องให้พวกนายทุนขุนศึกศักดินาตามเข่นฆ่าทำลายผู้นำคนจน จำต้องก่อการปฏิวัติลุกฮือของชนชั้นกรรมาชีพ แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้น เรียกง่ายๆว่าแนวทางคอมมิวนิสต์ พวกนิยมแนวทางหลังนี้บางคนก็ได้ไปติดต่อสื่อสัมพันธ์กับ พคท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมายและทำงานอยู่ในป่า ตัวผมนั้นเป็นพวกไม่ชอบความรุนแรงและนิยมระบบเลือกตั้ง แม้ว่าอีกใจหนึ่งยังออกจะเห็นด้วยว่าท่ามันจะไม่เวอร์ค เพราะขณะที่พวกเราพยายามยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตยอยู่นั้น ก็ได้เห็นผู้นำชาวนา ผู้นำกรรมกร ที่ลุกขึ้นมานำเรียกร้องเพื่อปากท้อง ได้ทะยอยถูก “เก็บ” หรือฆ่าตายอย่างทารุณไปหลายราย

แล้วทหารก็ทำรัฐประหารโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาจำนวนหนึ่งถูกฆ่าตาย บางคนถูกจับแขวนคอ อีกจำนวนมากหนีหัวซุกหัวซุน รวมทั้งผมด้วย ส่วนหนึ่งหนีเข้าป่าไปสมทบกับ พคท. แต่ผมหนีไปตั้งหลักไม่ไกล พอเห็นปลอดภัยก็กลับเข้าหอเรียนหนังสือต่อ ประสบการณ์ที่เหล่าผู้นำนักศึกษาได้รับจากการกระทำของขุนศึกในสมัยนั้น ผมบรรยายได้คำเดียวว่า.. “ยากที่จะลืม”

ผมเองนั้นเป็นคนขี้ขลาด เมื่อเจอเข้าก็บอกตัวเองได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ผมจะใช้ชีวิตที่ทอดยาวรอผมอยู่ข้างหน้าอีกหลายสิบปี จึงสาปส่งการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองตั้งแต่นั้น ช่วงประมาณปีพ.ศ. 2524 เมื่อเรียนจบไปเป็นหมอชนบท มีชาวบ้านนิยมนับถือมาก ก็มีคนมายุว่าคุณหมอน่าจะสมัครผู้แทน ผมได้แต่หัวเราะหึ..หึ ในช่วงเวลานั้น เมื่อไปกลับเยี่ยมบ้านเกิด เพื่อนๆมัธยมรุ่นเดียวกันซึ่งกระจายเป็นครูใหญ่ครูน้อยอยู่ทั่วเขตเลือกตั้งก็รุมชวนให้สมัครผู้แทนโดยอาสาว่าจะช่วย ผมก็ได้แต่หัวเราะหึ..หึ เพราะในใจผมนั้น ได้สาปส่งเรื่องการเมืองไปนานแล้ว

ช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 เป็นต้นมา เป็นช่วงที่เมืองไทยใกล้จวนแจจะเกิดสงครามประชาชน (civil war) หมายความว่าสงครามที่ชาวบ้านรบกับชาวบ้านด้วยกันเอง

ฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายที่พวกเราเรียกว่า “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” ซึ่งมีกำลังพลหลักเป็นชาวบ้านที่ถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังพวกคอมมิวนิสต์ที่จะมาล้มเจ้า โดยพวกขุนศึกศักดินาได้ลงไปจัดตั้งมวลชนชาวบ้านขึ้นเป็นกลุ่มลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศ เอาไว้เป็นทัพหนุนของทัพหน้า ตัวทัพหน้าเองก็เป็นชาวบ้านที่พวกขุนศึกลงไปติดอาวุธให้โดยตรง เรียกว่า “ทหารพราน”

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือ พคท. ซึ่งมุ่งโค่นล้มนายทุน-ขุนศึก-ศักดินา และมุ่งสถาปนารัฐบาลเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพขึ้น ฝ่ายนี้มีกองกำลังเป็นชาวบ้านเช่นกัน แต่เป็นชาวบ้านที่ พคท. ได้ปลุกระดมให้ตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมและให้เจ็บแค้นต่อการถูกกดขี่ขูดรีด ส่วนที่เป็นมวลชนนั้นไม่ได้ติดอาวุธ แต่ส่วนที่เป็นแนวร่วม, เป้า ส. (หมายถึงคนที่จ่อคิวจะได้เป็นสมาชิกพรรค) และคนที่เป็นสมาชิกพรรคนั้น พคท.ได้ติดอาวุธให้ด้วย โดยที่ประมาณครึ่งหนึ่งของเพื่อนนักศึกษาที่ผมรู้จักและทำกิจกรรมด้วยกัน ได้มาอยู่กับฝ่าย พคท. 

ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ก็คือพวกที่หวังอาศัยเวทีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งในการแก้ปัญหา ซึ่งก็มีทั้งนายทุน ปัญญาชน คนชั้นกลางทั่วไป และนักการเมืองสายไม่รุนแรงซึ่งมีเพื่อนเก่าของผมอยู่ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง

แต่เหตุการณ์ก็ผ่านมาได้อีกหลายปีโดยไม่มีสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่จริงๆเกิดขึ้นนอกจากยุทธการป่าล้อมเมืองระดับไม่รุนแรง เพื่อนที่อยู่กับ พคท. ได้เล่าให้ผมฟังว่า พคท. เองมีโครงสร้างภายในที่ล้าหลังพัฒนาไม่ขึ้น ไม่มีศักยภาพพอที่จะก่อการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐมาตั้งเป็นรัฐบาลเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นได้ ซึ่งน่าจะเป็นความจริง เพราะท้ายที่สุด พคท. ก็ล่มสลายไป ขณะเดียวกันรัฐบาลป๋าเปรมได้เปิดอ้าแขนรับพวกเราที่เคยเข้าป่าไปอยู่กับ พคท. ให้กลับบ้าน พวกเราเกือบทั้งหมดก็กลับมา เพื่อนรุ่นพี่บางคนกลับมาเป็นหมอฝึกหัดอยู่ภายใต้ความดูแลของผมซึ่งตอนนั้นผมเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว พวกเราที่กลับมา ได้รับการกระซิบจากฝ่ายขุนศึกว่าให้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ คนที่เป็นหมอก็ให้เป็นหมอในกรุงเทพฯ ห้ามออกไปอยู่ชนบท คนที่ยอมเชื่อฟังก็ประคองชีวิตรอดมาได้ ซึ่งบางคนกลายมาเป็นผู้นำฮาร์ดคอร์ของมวลชนเสื้อแดงอยู่ในวันนี้ เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งกลับมา เขาไม่ยอมอยู่ในกรุงเทพ แต่ไปทำร้านอาหารอยู่ริมน้ำโขงที่เชียงราย แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกตาม “เก็บ” ตายคาร้านของเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ

พวกเพื่อนๆที่ยังมีหัวคอมมิวนิสต์ได้เคยเปรยให้ผมฟังว่า เมื่อหมดสิ้น พคท. สำหรับคนชั้นกรรมาชีพ การจะยึดอำนาจรัฐมองไม่เห็นทางอื่น มีทางเหลืออยู่ทางเดียวคือต้องสามัคคีกับนายทุน ซึ่งเขาใช้คำว่า “นายทุนชาติ” เพื่อชิงอำนาจรัฐมาให้ได้ก่อน เมื่อได้แล้วก็ค่อยใช้อำนาจนั้นมากระจายรายได้หรือสร้าง wealth distribution ภายหลัง นั่นหมายความว่าการปฏิวัติต้องทำเป็นสองก๊อก ก๊อกแรก กรรมาชนสามัคคีกับนายทุนชาติโค่นล้มขุนศึกศักดินา ก๊อกสองกรรมาชนค่อยมาโซ้ยกับนายทุนชาติซะเองต่อเพื่อบังคับเฉลี่ยความรวยมาให้คนจน 

ต่อมา ประมาณปี 2544 ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ได้มี “นายทุนใหญ่ใจถึง” เข้ามาเล่นการเมืองด้วยวิธีใช้เงินจำนวนมากซื้อสส.เข้าคอก เพื่อนผมที่เป็นนักสังคมนิยมแนวทางรุนแรงหลายคนได้เข้าไปซุกปีกนี้ พรรคของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ชนะเลือกตั้งอย่างง่ายดาย เรียกว่าวิธีซื้อแบบนี้ทำให้ได้อำนาจรัฐมาง่ายๆโดยแทบไม่ต้องเปลืองเลือดเนื้อเลย เพื่อนผมหลายคนแฮปปี้ ได้เป็นรัฐมนตรี และได้ผลักดันนโยบายที่หากจะเรียกจากมุมของพวกสังคมนิยมก็เรียกได้ว่าเป็นนโยบายกระจายรายได้ แต่พวกนายธนาคารเรียกว่านโยบายประชานิยม ในบรรดานโยบายเหล่านี้ ผมเห็นมีอยู่สองเรื่องที่มีผลดีต่อคนชั้นกรรมาชีพอย่างเป็นรูปธรรม คือนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค กับนโยบายกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งหากไม่มี “นายทุนใหญ่ใจถึง” ให้อาศัยใบบุญ สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

แต่ฮันนิมูนระหว่างนักสังคมนิยมหัวรุนแรงกับ “นายทุนใหญ่ใจถึง” มีอยู่ได้ไม่กี่ปี ปัญหาที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมิชชั่นที่แท้จริงของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” คือการสร้างอำนาจผูกขาดถาวรด้วยการกอบโกยกักตุนทุนทรัพย์ไว้สร้างอำนาจให้ตัวเองและครอบครัวต่อๆกันไปไม่สิ้นสุด มิชชั่นนี้ก่อความไม่พอใจในหมู่นายทุนอื่นที่ถูกกีดกันไม่ให้ได้เอี่ยวในผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายทุนที่อิงอยู่กับขุนศึกศักดินา พวกอื่นที่ไม่พอใจก็มีนักการเมืองที่อยู่คนละพวก  (ซึ่งก็มีเพื่อนของผมอีกจำนวนหนึ่ง) และปัญญาชนคนชั้นกลางที่ต้องการให้ใช้หลักผิดชอบชั่วดีในการดูแลบ้านเมือง ทั้งสามพวกนี้ได้สามัคคีกับพวกขุนศึกศักดินาโค่นล้ม “นายทุนใหญ่ใจถึง” ซึ่ง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ก็ทราบดี จึงด้านหนึ่งได้ใช้ยุทธการปลุกระดมและจัดตั้งมวลชนคนยากจนในชนบทไว้เป็นเกราะกันชนปกป้องตัวเองจากพวกขุนศึก อีกด้านหนึ่งได้ลงมือ “ซื้อ” ขุนศึกส่วนหนึ่งมาเป็นพวกของตน ในวันที่ถูกทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของตัวเองเมื่อปีพ.ศ. 2549 ตอนนั้นตัว “นายทุนใหญ่ใจถึง” อยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขาเล่าให้ผมฟังว่านาทีแรกที่ได้รับรายงานข่าวรัฐประหาร นายทุนใหญ่ใจถึงเอ่ยปากถามว่า

“ใครทำ.. พวกเราหรือเปล่า?”

นั่นหมายความว่าย้อนหลังไปไกลถึงแต่สมัยนั้น (2549) การซื้อขุนศึกไว้เป็นพวกของตนก็ได้ดำเนินไปจนถึงจุดที่หากจะใช้ก่อรัฐประหารก็ทำได้แล้ว เพียงแต่ว่ากลุ่มขุนศึกที่ชิงลงมือในวันนั้นเป็นอีกพวกหนึ่ง การแพ้เกมกันในชั่วเวลาสั้นๆที่นับกันเป็นชั่วโมงนี้ทำให้ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศและยังไม่ได้กลับเมืองไทยจนทุกวันนี้

การรัฐประหารโค่นล้ม “นายทุนใหญ่ใจถึง” ได้สำเร็จในปี 2549 ทำให้ฝ่ายต่อต้าน “นายทุนใหญ่ใจถึง” กล้าแข็งขึ้น ฝ่าย “นายทุนใหญ่ใจถึง” เองกลับต้องสาละวนตกเป็นฝ่ายตั้งรับ จนชีวิตของเพื่อนๆนักสังคมนิยมที่ไปซุกอยู่ในปีกของ ” นายทุนใหญ่ใจถึง” ทุกวันนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่อง wealth distribution อีกต่อไปแล้ว เพราะต้องมัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้เพื่อธำรงรักษาอำนาจรัฐผ่านการใช้เงินและลูกเล่นทุกรูปแบบโดยเลิกคำนึงถึงหลักผิดชอบชั่วดีไปเลย ขอเพียงยืดเวลายึดกุมอำนาจรัฐออกไปให้ได้อย่างเดียว นโยบายประชานิยมซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายรายได้ที่เคยได้ผล ได้แปลงรูปมาเป็นวิธีหาเสียงแบบสุกเอาเผากินและก่อปัญหามากกว่าแก้ปัญหา เพื่อนๆของผมทุกคนดูเหมือนจะลืมพันธะกิจหลักที่จะ distribute wealth ไปหมดสิ้น ปัญหาพื้นฐานของคนจน ถ้าไม่นับเรื่องการรักษาพยาบาลซึ่งทำได้ดีเสียเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอื่นยังไม่ได้รับการแก้ไขเลยแม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสิบปี ปัญหาคนจนไร้ที่ดินทำกินซึ่งเป็นที่มาของ “ม็อบปากมูล” ที่หนังสือพิมพ์เคยขนานนามว่าม็อบตลอดกาล เคยมีอยู่อย่างไร ก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะปฏิรูปที่ดิน ปัญหาชาวนามีต้นทุนการผลิตสูงและผลผลิตคุณภาพต่ำก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาการกระจายอำนาจและงบประมาณไปชนบทที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ นอกจากจะไม่ได้ทำแล้วยังถูกระงับอีกต่างหาก ส่วนใหญ่เพื่อนๆเผลอลืมเพราะเผลอไปยึดติดเงินและอำนาจซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือที่จะบรรลุเป้าหมายแทนการมุ่งมั่นที่ตัวเป้าหมายเองเสียฉิบ กิจกรรมปกป้องอำนาจนี้ทำกันโดยทิ้งหลักผิดถูกชั่วดีไปหมด มุ่งเอาแต่ชนะและยึดกุมอำนาจรัฐให้ได้ ทำกันอยู่นานตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา จนทำให้รากวัฒนธรรมของสังคมไทยสั่นคลอนเหมือนต้นไม้ที่ถูกดึงให้รากบางส่วนขาด สังคมไทยทุกวันนี้ไม่มีใครสนใจแยกแยะความชั่วความดีออกจากกันอีกต่อไปแล้ว คนระดับนำของสังคมและอาจารย์มหา’ลัยพูดออกโทรทัศน์ว่าชั่วหมายความว่าดีได้อย่างหน้าตาย และคนไทยทุกคนก็มีส่วนร่วมกันปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ด้วยการทำตัวเป็น “ไทยเฉย” ดังนั้นการที่ประเทศชาติของเราเดินมาจนถึงจุดนี้ได้ จึงเป็น “กรรมหมู่” ที่คนไทยทุกๆคนร่วมกันก่อ จะโทษกันและกันไปก็ไร้ประโยชน์

          หลังการรัฐประหารและโดนกลศึก “ตุลาการภิวัฒน์” จนต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ “นายทุนใหญ่ใจถึง” ได้ใช้ความพยายามผ่านรัฐบาลหุ่นของตนเพื่อกลับมามีอำนาจเต็มอีกครั้งให้ได้ โดยทำการอย่างไม่คำนึงถึงหลักผิดชอบชั่วดีใดๆ การกระทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิดพลังต่อต้านขึ้นใหม่ในสังคม คือกลุ่มคนชั้นกลางที่ยังเชื่อมั่นเรื่องผิดชอบชั่วดี กลุ่มนี้ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน จากล้านเป็นหลายล้าน  และขยายข้ามชั่วอายุจากคนรุ่นเก่าลงไปถึงคนรุ่นใหม่ เรียกว่าเป็นการฮึดสู้ของ “ไทยเฉย” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคนกลุ่มนี้ได้แสดงเจตนาที่จะเข้ามาสร้างระบบการเมืองที่มีพื้นฐานอยู่บนสำนึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาใหม่
          
     สังคมไทยได้เดินมาถึงปากเหวที่อาจเกิดสงครามกลางเมืองอีกครั้ง ซึ่งดูจะเป็นปากเหวที่ลึกและอันตรายกว่าครั้งก่อน หากสังคมไทยถลำเข้าสู่สงครามกลางเมืองคราวนี้ มันจะยืดเยื้อเรื้อรังไม่มีวันจบและประเทศชาติจะทรุดโทรมราวกับร่างกายของคนป่วยเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายนั่นเทียว เพราะกำลังพลแต่ละฝ่ายนั้นมหึมามหาศาลก้ำกึ่งกัน ชนิดที่ว่าหากทั้งสองฝ่ายฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายได้หมด ประเทศไทยก็แทบไม่เหลือคนเดินถนนเลย

ฝ่ายหนึ่งก็คือมวลชนคนยากคนจนในชนบท ซึ่งโดยการปลุกปั่นของพวกเพื่อนๆนักสังคมนิยมแนวเผด็จการ พวกเขาถูกปั่นจนมีความเชื่อว่าชีวิตจะดีขึ้นถ้าปกป้อง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ไว้เป็นพวกตน และทำลายล้างพวกขุนศึกศักดินาหรืออำมาตย์ให้สิ้นซากไปเสีย พวกตนก็จะได้ธำรงรักษาอำนาจรัฐที่พวกตนสามารถมีส่วนร่วมไว้ได้ และอนาคตก็จะแก้ปัญหาการปันส่วนผลผลิตที่ไม่เป็นธรรมที่เป็นเหมือนหัวอกกลัดหนองคนจนมาตลอดได้

          อีกฝ่ายหนึ่งคือ ไทยเฉยฮึดสู้ ซึ่งประกอบขึ้นจากนายทุนน้อย นักการเมืองที่สู้สนามเลือกตั้งที่ใช้เงินไม่ได้ ปัญญาชน-คนชั้นกลางที่ทนสังคมแบบไร้ความผิดถูกชั่วดีอีกต่อไปไม่ไหว ฝ่ายนี้นอกจากจะถูกปลุกจิตสำนึกให้ลุกขึ้นมา “กู้ชาติ” แล้ว ยังถูกทำให้เชื่อว่าการจะนำประเทศกลับมาเป็นสังคมที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใหม่ได้อีกครั้งนั้น ไม่มีวิธีอื่นนอกจากต้องกำจัด “นายทุนใหญ่ใจถึง” และบริวารให้สิ้นซากไปเสียก่อน

ในท่ามกลางกำลังรบอันเปรียบเสมือนฝูงจิ้งหรีดข้างละฝูงนี้ ตรงกลางก็คือนักปั่นจิ้งหรีด ซึ่งนั่งกันอยู่สองมุม มุมหนึ่งคือ “นายทุนใหญ่ใจถึง” อีกมุมหนึ่งคือขุนศึกที่นายทุนใหญ่ยังซื้อไม่สำเร็จ ซึ่งผมขอเรียกง่ายๆว่า “ขุนศึกศักดินา” ก็แล้วกัน ดูจากเรคคอร์ดของนักปั่นจิ้งหรีดที่นั่งประจำที่ทั้งสองมุมแล้ว งานนี้คงหลีกเลี่ยงการฆ่ากันตายเป็นเบือได้ยาก เพราะนายทุนใหญ่นั้นมีเรคคอร์ดที่ชัดเจนจากทั้งกรณี “ยิงทิ้ง” ขี้ยาสองพันกว่าศพ กรณีกรือเซะ กรณีตากใบ กรณีเผาราชประสงค์ ส่วนเรคคอร์ดของฝ่ายขุนศึกศักดินานั้นก็ใช่ย่อย ผมเองเคยเห็นกับตามาแล้วสมัยเป็นนักศึกษา รวมทั้งการถูกฆ่าตายของเพื่อนสนิทของผมเองที่ริมฝั่งโขง ซึ่งผมขออนุญาตไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บนะครับ

ไปภายหน้าเมื่อเล่าขานให้ลูกหลานฟัง มันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เหลือเชื่อ ที่มวลชนจำนวนมหาศาลสองฝ่ายมารบกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีวาระของตัวเองอยู่ในมือ แต่เมื่อเปิดโผออกมา วาระของแต่ละฝ่ายนั้นกลับเป็นคนละเรื่อง และไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันเลย แบบนิทานชาวนาสามคน คนหนึ่งอุ้มไก่ อีกคนอุ้มห่าน แล้วต้องมาตบตีกันเพราะชาวนาคนที่สามบอกว่าไก่กับห่านของทั้งสองคนจะจิกตีกันจนทำให้สัตว์เลี้ยงของฝ่ายตรงข้ามตาย ทั้งๆที่ในชีวิตจริง ไก่บ้าที่ไหนจะมาจิกตีกับห่าน

วันจันทร์นี้ผมจะไปเดินถนนร่วมกับพี่ๆน้องๆหมอๆและพยาบาล ตามนัด ด้านหนึ่งไปเดินเพื่อให้น้องๆเกิดความรู้สึกอบอุ่นว่าขณะที่พวกเขาออกมาช่วยประชาชนคนเจ็บไข้ในสนาม ผมซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่แก่แล้วได้ให้ความชื่นชมและสนับสนุนการธำรงเกียรติของวิชาชีพที่พวกเขาได้ทำ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อร่วมเป็น “ไทยเฉยฮึดสู้” อีกคนหนึ่ง ที่อยากแสดงออกถึงความอยากเห็นสังคมไทยกลับมาเป็นสังคมที่เปี่ยมสำนึกผิดถูกชั่วดีดังเดิม ทั้งนี้โดยไม่ได้ให้ราคาอะไรกับพวกนักปั่นจิ้งหรีดที่อยู่เบื้องหลังไม่ว่าข้างไหนแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่ผมไปเดินก่อนหน้านี้ ผมพยายามมองหาทางออกของสังคมไทยที่เป็นรูปธรรมแต่ก็ยังมองไม่เห็น ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่าผลสุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร บนนาทีที่ใกล้ถึงจุดหักล้างกันนี้ ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมีโอกาสที่ฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือคนจนในชนบทที่ต้องการการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม กับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือไทยเฉยฮึดสู้ที่ต้องการฟื้นฟูสังคมที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับขึ้นมาใหม่ จะได้มีโอกาสจูนความต้องการของกันและกัน และสร้างสรรค์สังคมใหม่ร่วมกันโดยไม่ถูกปั่นให้ฆ่าฟันกันได้อย่างไร เพราะ

ตราบใดที่ยังมีนักปั่นจิ้งหรีดหน้าเดิมนั่งประจำที่ทั้งสองมุมอยู่ โอกาสที่จะไม่ฆ่าฟันกันนั้นผมคิดว่า…ไม่มีเลย


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

……………………………..

19 มค. 57
จดหมายจากท่านผู้อ่าน 1.

จิ้งหรีดคือใครคะ มองไม่เห็นว่าเป็นใดร

…………………………….

ตอบครับ

     เกมปั่นจิ้งหรีดให้กัดกันเป็นเกมของเด็กในชนบทในสมัยก่อน วิธีเล่นคือต้องมีผู้เล่นสองฝ่าย แต่ละฝ่ายไปเฟ้นหาจิ้งหรีดที่แข็งแรงมาฝ่ายละตัว แล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็เอาเส้นผมทำเป็นบ่วงคล้องคอจิ้งหรีดของตัวเองแล้วแกว่งจิ้งหรีดให้หัวมันหมุนรอบหางของมันเป็นวงกลมแบบหมุนติ้วจนมันมึนได้ที่ แล้วหย่อนจิ้งหรีดที่กำลังเมาจนบ้านหมุนทั้งคู่ลงไปในกล่องกระดาษเล็กๆ จิ้งหรีดเมื่อหนวดสัมผัสอีกฝ่ายหนึ่งขณะที่ยังมึนตั้งสติไม่ได้ก็จะหมายเอาว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูไว้ก่อนและก็จะกัดกันจนตายไปข้างหนึ่ง เจ้าของจิ้งหรีดตัวที่เหลืออยู่ก็เป็นฝ่ายชนะ

      จิ้งหรีดตัวที่หนึ่ง คือ “คนจนในชนบท” จำนวนหลายล้านที่มีเจตนาปกป้อง “นายทุนใหญ่ใจถึง” สุดลิ่ม เพราะถูกทำให้เชื่อว่า “นายทุนใหญ่ใจถึง” จะเป็นผู้นำพวกตนโค่นล้มหรือกวาดล้างขุนศึกศักดินาสำเร็จ จะได้สถาปนารัฐบาลของคนจนขึ้นมาได้เสียที

     จิ้งหรีดตัวที่สอง คือ “ไทยเฉยฮึดสู้” จำนวนหลายล้านคนเช่นกัน ที่มีเจตนาจะเปลี่ยนแปลงการทำการเมืองแบบไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีให้เป็นการเมืองที่ชี้นำด้วยสำนึกผิดชอบชั่วดี ทั้งนี้โดยมีความพยายามให้ข้อมูลจิ้งหรีดตัวนี้ว่าการจะล้างการเมืองแบบไร้จิตสำนึกให้สะอาดได้ ต้องกวาดล้าง “นายทุนใหญ่ใจถึง” และบริวารให้หมดเกลี้ยงไปก่อน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

………………………………………

จดหมายจากผู้อ่าน 2.

เรียนคุณหมอที่เคารพ

     ผมอ่านบทความของคุณหมอแล้ว ต้องขอเรียนว่าเป็นบทความที่สะท้อนสังคมไทยได้ดีมากและถูกต้อง และสมควรที่จะต้องถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นกับประเทศนี้ เพราะคนไทย(จิ้งหรีด)ที่ถูกปั่นจะล้มตายเป็นจำนวนมาก บ้านเมืองจะย่อยยับมากกว่าทุกๆครั้งที่เคยเกิดขึ้น ผมไม่อยากนึกถึงว่าจะเป็นแบบซีเรียหรือไม่? แล้วคนปั่นจิ้งหรีดก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือให้ความสำคัญกับจิ้งหรีดที่ตายอย่างที่ทุกคนคิดหรือคาดหวังหรอก โดยเฉพาะคนปั่นจ้ิงหรีดบางคนเราเห็นกำพืดมาหลายครั้งแล้วว่าไม่มีความจริงใจอะไรหรอก แค่หลอกให้ไปตาย
     ความคิดเห็นส่วนตัวผมการแก้ปัญหาที่หมักหมมของสังคมไทย ถ้าใจร้อนก็ต้องปั่นจิ้งหรีดให้มากัดกันให้ตายไปข้างหนึ่ง แล้วสังคมก็กลับไปสู่สภาพเดิม เพราะโครงสร้างวัตถุดิบทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทั้งคนปั่นจิ้งหรีดและจิ้งหรีดเอง 
     ทั้งนี้เพราะการศึกษาที่อ่อนด้อยเพราะการศึกษาที่ไร้ประสิทธิภาพจนมีมาตราฐานเดียวกันทั่วประเทศ(มาตราฐานต่ำ) ผมให้ฉายาว่า ‘การศึกษาท่าลูกหมาตกน้ำ’ อ่อนแอถ้าเปรียบเทียบกับการว่ายน้ำก็จะมีความสามารถแค่ว่ายข้ามคลองแคบๆได้เท่านั้น แก้ปัญหาไม่เก่งไม่ต้องไปพูดถึงความสามารถที่จะไปรังสรรค์สิ่งใหม่ๆเลย และกำลังจะเพลี่ยงพล้ำนำประเทศสู่ความหายนะ
ขณะที่การศึกษาระดับสุดยอดของโลก ผมให้ฉายาว่า ‘การศึกษาท่าโอลิมปิก’ เข้มแข็งสามารถฝ่าฝันอุปสรรคได้มีสติปัญญาสูงแก้ปัญหาได้ด้วยความเฉลียวฉลาดและยังมีความคิดริเริ่มสร้างและรังสรรค์สิ่งใหม่ๆได้ตลอดเวลา นอกจากเข้มแข็งจนสามารถจะว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษที่กว้างเป็นสิบๆกิโลเมตรได้ ยังมีสติปัญญาสามารถทำเหล็กให้ลอยน้ำได้ ลอยน้ำได้ยังไม่พอยังสามารถบรรทุกของที่มีน้ำหนักได้ที่ละหลายหมื่นตัน
     คนปั่นจิ้งหรีดต้องหยุดปั่นจิ้งหรีด ต้องหันมาดูแลจ้ิงหรีดให้อิสสระจ้ิงหรีดได้เป็นจิ้งหรีดโอลิมปิก และทำได้อย่างง่ายดายด้วยการไม่ไปกดหัวจิ้งหรีดอย่างที่เคยกดหัวมาตลอด ก็เพียงพอแล้ว
     ขอให้จิ้งหรีดโชคดีด้วยความปรารถนาดีต่อจิ้งหรีดทุกตัว

ขอแสดงความคารวะ
,,,,,,,,,

…………………………………………………….

จดหมายจากผู้อ่าน 3.

คุณหมอคนนี้บอกว่าจะออกมาร่วมเดินกับหมอๆ แม้รู้ว่าทั้งสองข้างมีนักปั่นจิ้งหรีด

“บนนาทีที่ใกล้ถึงจุดหักล้างกันนี้ ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมีโอกาสที่ฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือคนจนในชนบทที่ต้องการการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม กับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือไทยเฉยฮึดสู้ที่ต้องการฟื้นฟูสังคมที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับขึ้นมาใหม่ จะได้มีโอกาสจูนความต้องการของกันและกัน และสร้างสรรค์สังคมใหม่ร่วมกันโดยไม่ถูกปั่นให้ฆ่าฟันกันได้อย่างไร เพราะตราบใดที่ยังมีนักปั่นจิ้งหรีดหน้าเดิมนั่งประจำที่ทั้งสองมุมอยู่ โอกาสที่จะไม่ฆ่าฟันกันนั้นผมคิดว่า…ไม่มีเลย”

พูดอย่างนี้คง “โดนใจ” คนที่เบื่อทั้งสองฝ่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เป็นการพูดที่เหมือนจะถูกแต่ไม่มีหลัก (แม้มีด้านดีอยู่บ้างคือเห็นใจคนชนบทว่าต้องการกระจายรายได้เป็นธรรม)

อ่านๆ ไปปรากฏว่าแกเป็นคนรุ่น 6 ตุลาเหมือนกัน แถมบอกว่ามีเพื่อนสนิทกลับจากป่า “ไปทำร้านอาหารอยู่ริมน้ำโขงที่เชียงราย แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกตาม “เก็บ” ตายคาร้านของเขาอย่างโหดเหี้ยมทารุณ”

อ้าว แปลว่ามีเพื่อนคนเดียวกัน (..ขอตัดชื่อจริงออกครับ / สันต์..) อดีตนายกสโมสรนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ ผูู้นำมวลชนเขต อ.พาน เชียงราย ที่ผมเคยอยู่ด้วยก่อนออกจากป่า ถูกยิงตายที่ริมน้ำโขง เชียงแสน โดยหมาหมู่ที่มีอาวุธสงคราม “ส.อินทร” มีแต่สองมือเปล่า

คุณหมอยังใช้ทัศนะทางการเมืองแบบเดิมๆ สมัยเป็นซ้าย มองแต่ว่าคนสองฝ่ายถูกปั่นโดย “นายทุนใหญ่ใจถึง” กับ “ขุนศึกศักดินา” ซึ่งในมิติหนึ่งไม่ผิด ถูกต้องนะครับ ทั้งสองขั้วชนชั้นนำช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์กัน

แต่ให้สังเกตว่าสิ่งสำคัญที่พวกซ้ายเก่า ต่อให้มองแง่ดีอย่างไร ก็มักจะมองข้ามคำว่า “ประชาธิปไตย” “เสรีภาพ” (แกให้ความสำคัญกับการ “กระจายรายได้ที่เป็นธรรม” และ “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี” ซึ่งก็คือศีลธรรมจรรยาแบบดั้งเดิม)

นี่เป็นจุดอ่อนของพวกซ้ายเก่า ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม (ผมมันซ้ายแหกคอกมั้ง สมัยอยู่ขบวนการนักศึกษา อยู่ป่า ก็ถูกวิจารณ์ตลอดว่าซ้ายเสรี) พวกซ้ายเก่ามองแค่ “ปากท้อง” กับ “ศีลธรรม” มองข้าม “เสรีประชาธิปไตย” ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในสังคมสมัยใหม่ สำคัญกว่าศีลธรรม สำคัญกว่าปากท้องด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นที่มาของศีลธรรม ที่มาของปากท้อง (การมีอำนาจ การต่อรองผลประโยชน์ คือที่มาของปากท้อง การแสดงออกอย่างมีเสรีภาพ คือที่มาของศีลธรรม)

ถ้าตัดคำว่า “เสรีประชาธิปไตย” ออกไปแล้ว คุณก็จะมองการต่อสู้ของ 2 ฝ่ายได้ดีที่สุดเพียงว่า มวลชนทั้งสองฝ่ายต้องการสิ่งดีๆ แต่ถูกปั่นด้วยผู้มีอำนาจและผลประโยชน์ สรุปแล้วแย่พอกัน ไม่มีใครดีกว่ากัน ตรงที่ตลกคือแกมองว่าเพื่อนซ้ายเก่าในฝ่ายแดงเป็นพวกสังคมนิยมเผด็จการ “มวลชนคนยากคนจนในชนบท ซึ่งโดยการปลุกปั่นของพวกเพื่อนๆนักสังคมนิยมแนวเผด็จการ พวกเขาถูกปั่นจนมีความเชื่อว่าชีวิตจะดีขึ้นถ้าปกป้อง “นายทุนใหญ่ใจถึง” ไว้เป็นพวกตน และทำลายล้างพวกขุนศึกศักดินาหรืออำมาตย์ให้สิ้นซากไปเสีย…”

ผิดครับ ทิศทางของ”ระบอบทักษิณ” คือเดินไปสู่ประชาธิปไตยทุนนิยมเต็มใบ เปิดเสรี เข้าสู่โลกาภิวัตน์ ซึ่งขัดกับสังคมนิยมแนวเผด็จการ พวกซ้ายเก่านักสังคมนิยมเผด็จการต่างหาก ที่กำลังช่วยปลุกม็อบ “สภาเปรสิเดียม” หวังจะหยุดโลกไว้

ญาติเมียผม (ซึ่งไปม็อบ) เคยถามว่าผมรักประชาธิปไตยทำไมเข้าข้างทักษิณ (ซึ่งผมก็ไม่เคยบอกว่าทักษิณเป็นนักประชาธิปไตย) ไม่กลัวว่าซักวันคนชั่วๆ อย่างทักษิณจะหักหลังพวกนักประชาธิปไตยหรือ

ผมบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะทักษิณจะมีอำนาจได้ก็ต้องอิงประชาธิปไตย ต้องพึ่งพลังเสรีนิยม ต้องพึ่งโลกาภิวัตน์ ต้องไปสู่การเปิดเสรี ทั้งทางการเมือง และทางธุรกิจ (แม้ใจทักษิณอาจไม่อยากนัก) ขณะที่อีกฝ่ายเขาต้องพึ่งการผูกขาดความคิด การตีกรอบศีลธรรม วัฒนธรรม เพื่อรักษาอำนาจ

จะบอกว่านั่นคือเหตุผลที่ผมเลือกข้างหรือ เปล่า ไม่ใช่เรื่องยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอะไรเลย เพราะผมเป็นเสรีนิยมอยู่แล้วต่างหาก เป็นโดยธรรมชาติเลย ทักษิณเป็นทีหลังผมด้วยซ้ำ 

555/ (……..)
………………………………………..

บทเพิ่มเติม

     ขอโทษนะครับท่านผู้อ่าน เนื่องจากบล็อกนี้เป็นบล็อกส่วนตัว ผมจึงสงวนสิทธิ์ที่จะออกแขกเล่นลิเกอะไรของผมบ้างตามอารมณ์ 

     1..ผมขอขอบคุณท่านผู้อ่านท่านนี้ที่สะกิดให้ผมได้รำลึกถึงความหลัง เปิดหัวใจตัวเอง ย้อนกลับไปคิดถึงความดีงามของเพื่อนเก่าผู้ล่วงลับไปแล้ว เพียงแค่เห็นชื่อนามสกุลเต็มๆของเพื่อนที่ท่านผู้อ่านท่านนี้เขียนมา ผมก็กลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ เขาเป็นเพื่อนแท้ในยามยากที่ได้ให้ความช่วยเหลือผมมา มิตรภาพนั้นเป็นความสวยสดงดงามของชีวิต เป็นที่สุดของเมตตาธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน เมื่อผมเติบโตลืมตาอ้าปากได้ ตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณเขา แต่เขาก็ไม่อยู่เสียแล้ว ถ้าชีวิตหลังการตายมีจริง และเพื่อนอยู่ในสถานะที่จะรับรู้ได้ ขอให้วิญญาณของเพื่อนรับรู้ด้วยว่า บุญคุณที่ผมติดค้างกับเพื่อนนั้น ผมจะตั้งหน้าตอบแทนด้วยการสืบทอดเจตนารมณ์ของเพื่อนที่มุ่งมั่นจะปลดปล่อยความทุกข์ของผู้ด้อยโอกาสไม่ให้ดับสูญหาย

     2..ในประเด็นที่ท่านผู้อ่านท่านนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าทำไมนักต่อสู้ประชาธิปไตยเสรีนิยมจึงไปสนับสนุน “นายทุนใหญ่ใจถึง” และที่ท่านผู้อ่านท่านนี้ได้เปิดมุมมอง “ทิศทางของระบอบท้กษิณ” ให้เห็นในอีกมุมหนึ่งนั้น เป็นประเด็นที่ลึกซึ้งแหลมคมมากในเชิงทฤษฏีการเมืองยุคใหม่ ผมจะขอทิ้งประเด็นนี้คาไว้ในบล็อกนี้ให้ท่านผู้อ่านได้ใช้ดุลพินิจ อีกประการหนึ่ง ผมจะทิ้งไว้เพื่อว่าวันข้างหน้าเมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย หวยทุกรางวัลออกผลขั้นสุดท้ายมาเรียบร้อยแล้ว เยาวชนคนรุ่นหลังจะได้ใช้ศึกษาเรียนรู้และเข้าใจพัฒนาการของสังคมไทยอย่างลึกซึ้งด้วยตัวของพวกเขาเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


……………………………..

จดหมายจากท่านผู้อ่าน 4.
20 มค. 57

ได้อ่านข้อความของคุณหมอ แล้วอยากรู้ว่า คนที่สาม ที่คุณหมอลงจดหมายของเขา
มันจะเป็นเสรีประชาธิปไตยได้อย่างไรหรือค่ะ ถ้าระบอบทักษิณเอานโยบาย ที่นักคิดดีๆหลายท่าน ที่ต้องการช่วยเหลือชาวนา มาหาช่องโว แล้วหาผลประโยชน์เข้าตนเอง แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยยังไงค่ะ ในเมื่่อยังโกงการเลือกตั้ง  สงสัยมากจริงๆ ค่ะ หรือว่ากระบวนการของทักษิณจะถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหลังจากเขากลับมาอีกครั้ง

จากคนไทย ในต่างแดนค่ะ

มีญาติเคยเข้าป่า แล้วออกมาเหมือนกันค่ะ สงสารเขาเหมือนกัน เหมือนไม่มีใครเข้าใจเขา ตอนนี้เขาก็อยู่ฝ่ายทักษิณ เพื่อต้องการล้มล้างอำมาตย์เช่นกัน

คุณหมอช่วยอธิบายด้วยนะคะ

……………………………………………………………..

ตอบครับ

     ผมอธิบายให้ไม่ได้หรอกครับ เพราะเรื่องแบบนี้ขืนอวดรู้เจาะลึกมากไปเดี๋ยวจะเดือดร้อนลูกเมียที่ต้องไปส่งข้าวให้ผมที่ในคุก ดีที่สุดที่ผมทำได้ก็คือยกคำพูดของเบอทรัล รัสเซล มาให้คุณอ่าน เขาบอกว่า

“…สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในสังคมมนุษย์เรา
ก็คือการที่ความจริงได้ทำตัวเป็นโจรร้าย
เข้าปล้นสะดมหลักทฤษฏีและความฝันอันสวยสดงดงาม…”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

…………………………………………….

จดหมายจากผู้อ่าน 5

     ขอบคุณมากค่ะสำหรับบล็อคที่เขียนขึ้นมาเรื่องการเมือง ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่อยู่ฝั่งซ้ายแหกคอกเหมือนกัน หลังจากได้อ่านบล็อคแล้วทำให้คิดอะไรๆได้ใหม่ แต่คงจะยากกับการทำอะไรๆ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ ทำให้เข้าใจความรู้สึกของคนในยุคนั้นมากขึ้น และรู้สึกขอบคุณในพลังเสียสละของทุกผู้คนจริง การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ในตอนที่เรียนมานั้นกลับมาก็เคยมานั่งคิดว่าทำอย่างไรจะให้เกิดขึ้นได้จริง แม้จะไม่เท่าเทียมแต่ก็ให้สัดส่วนเฉลี่ยไม่ต่างกันมาก เรื่องจริงมันไม่มีอะไรง่ายเลย แต่ความพยายามที่น้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรใช่ไหมค่ะ 
สุดท้าย สัญญาว่าจะพยายามทำต่อไปค่ะแม้จะน้อยนิดแต่จะพยายามค่ะ
และขอบพระคุณเป็นอย่างสูงท่านอาจารย์

ส่งจาก iPhon

………………………………………………………..

จดหมายจากผู้อ่าน 6.

เรียนคุณหมอ

ดิฉัน นับว่าโชคดีมากที่ได้มีโอกาส อ่านบทความของคุณหมอโดยบังเอิญ ยอมรับว่า ประทับใจมาก ทั้งความคิดและ ประสบการณ์ที่คุณหมอเล่ามานั้นดิฉันเข้าใจเรื่องความเหลื่อมล้ำ และเรื่องของศักดินาในความหมายของคุณหมอ และการฉวยจังหวะของ “นายทุนใหญ่ใจถึง” อย่างไรดิฉันคือคนกรุงเทพ ที่นับวันจะจนลง และเห็นความเหลื่อมล้ำของคนรวยในเมืองไทยที่เป็นพ่อค้านักธุรกิจ และไม่ใช่ศักดินา ซึ่งนับวันจะห่างขึ้นทุกๆวันอย่างเอื้อมไม่ถึง เพราะนโยบายการเปิดประเทศให้ต่างชาติมาแสวงหาประโยคจากพื้นแผ่นดินไทยอย่างมากมายมหาศาลเช่นทุกวันนี้ ดิฉันทนไม่ได้กับระบอบทักษิณ ชนชั้นกลางอย่างดิฉันที่มีการศึกษา รู้สึกเช่นนี้ แล้วคนที่จนกว่าดิฉันและการศึกษาน้อยกว่านื้จะเป็นอย่างไร การหลอกล่อและความคิดของทักษิณในวันนี้หลายคนเริ่มตาสว่าง เขาคงมีความคิดว่ายิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งซื้อแจกจ่ายคนจนให้มากเท่านั้น และคนเหล่านั้นก็จะจงรักภักดีต่อเขาและตระกูลโดยปริยายไปกระมัง.. วันนี้ความเลวร้ายของเขา เขียนตรงนี้คงไม่หมด ดิฉัน เป็นเช่นเดียวกับคุณหมอที่อยากเห็นความเท่าเทียมกันในสังคม ไม่ใช่ความความห่างของรายได้ต่อหัวของคนรวยและคนจนซึ่งนับวันจะมากขึ้นๆ เช่นวันนี้ วิธีแก้ได้ง่ายนิดเดียว แค่ หาผู้นำประเทศที่คิดถึง ผลประโยชน์ของ ประชาชนในประเทศเป็นหลักเท่านั้น กฎระเบียบ ทางด้านความยุติธรรม การตรวจสอบ และด้านการศึกษา จะเป็นสิ่งแรกที่ผู้นำที่ดีนึกถึง วันนี้ดิฉันยอมรับว่าภูมิใจ ที่ได้ร่วมเดินไปกับ กปปส. แม้จะยอมรับว่ามีขวากหนามมากมายรออยู่ แต่แนวทางและความคิดของ กปปส. เป็นสิ่งเดียวที่ดิฉันอยากเห็น และมั่นใจว่าหากสำเร็จแล้ว ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ สวยงามและสมบูรณ์แบบในฝันจริงๆ  แม้ว่าดิฉันจะผิดหวังมาแล้วครั้งหนึ่ง กับความสำเร็จในการไล่เขาออกนอกประเทศแล้ว แต่ผู้มีอำนาจและมีโอกาสกลับปล่อยโอกาสหลุดมือให้เขาสร้างอำนาจหุ่นเชิดกลับมาได้อีก โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญของดิฉันและประเทศที่จะทำลายระบอบทักษิณให้หมดไป และปฎิรูปประเทศขึ้นใหม่ให้สวยงาม ยุติธรรม โดยพลังประชาชนจริงๆ 

แม้ว่า…ดิฉันอาจจะเป็นแค่จิ้งหรีด ที่คุณหมออาจมีความคิดว่า กำลังโดนปั่น… แต่ดิฉันก็พร้อมและยินดี..ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนครั้งนี้ ด้วยความฝันและหวังว่าวันข้างหน้า ต้องดีกว่าการตกอยู่ในระบอบทักษิณเป็นแน่..

และอีกเรื่องที่คุณหมอและทุกคนห่วงมากคือการทำลายล้าง..ดิฉันทั้งห่วงและกลัวค่ะ แต่จะทำอย่างไรได้คะ เพียงแค่ นายกปู เสียสละแค่ลาออกไป เหตุการณ์นั้นก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น ใช่ไหมคะ.. และหากดิฉันหรือคนอื่นไม่ลุกขึ้นมาสู้ร่วมกับกำนันแล้ว จะมีเหตุการณ์อย่างที่พวกคุณหมอเดินกันในไม่กี่วันนี้หรือคะ ดีใจมากค่ะ ที่วันนี้มี ไทยเฉยฮึดสู้ อีกมากมาย

ขอบคุณคุณหมอนะคะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้

จาก..คนไทยที่ไม่เคยเฉยค่ะ และร่วมสู้มาตั้งแต่ 2548
……(ชื่อ)…..

……………………………………

จดหมายจากผู้อ่าน 7.

ไม่เข้าใจข้อความ ‘เรคคอร์ดของฝ่ายขุนศึกศักดินานั้นก็ใช่ย่อย ผมเองเคยเห็นกับตามาแล้วสมัยเป็นนักศึกษา รวมทั้งการถูกฆ่าตายของเพื่อนสนิทของผมเองที่ริมฝั่งโขง’

คุณหมอหมายถึงใครครับ ไม่ใช่สุเทพ อภิสิทธิ์ กรณ์ หรือกระทั่งชวน แล้วคนกลุ่มนั้นมีบทบาทอะไรกับฝ่ายต่อต้านทักษิณในปัจจุบันหรือครับ

……………………………….

ตอบครับ

คุณ WI Park ครับ ผมต้องขอโทษด้วย ที่เขียนอะไรไม่ชัดเจน อ้ำๆอึ้งๆ แต่การเขียนถึงการเมืองมันไม่ง่ายเหมือนการตอบคำถามเรื่องการเจ็บป่วย เอาเป็นว่าคำถามของคุณ ผมไม่มีคำตอบให้ก็แล้วกันครับ แปลว่า… 

“…คำตอบนั้นลอยอยู่ในสายลม 
The answer my friend, 
is blowing in the wind. 
The answer is blowing in the wind…”

สันต์ ใจยอดศิลป์

……………………………………..

จดหมายจากท่านผู้อ่าน 8.
24 มค. 57

มีคนส่งลิงค์บทความของคุณหมอสันต์มาให้ผมถึง 5 ทาง เมื่อผมอ่านแล้วประทับใจในความลึกของเนื้อหา ผมเชื่อว่ามีคนอ่านบทความของคุณหมอหลายแสนคน แต่คุณหมอสันต์ไม่ได้เสนอทางออกไว้เลย เหมือนกับเป็นบทความที่อ่านแล้วอารมณ์ค้างกลางคัน

ผมอยากอ่านข้อเสนอทางออกของคุณหมอสันต์ครับ

……………………………………………………………..

ตอบครับ

     เรื่องบทความการเมืองนี้ ผมขออนุญาตตอบจดหมายฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายนะครับ เพื่อว่าจะได้กลับไปสู่โหมดปกติของบล็อกนี้ คือหมอกับคนไข้คุยกันแต่เรื่องสุขภาพและการเจ็บไข้ได้ป่วยเสียที เพราะผมตั้งใจจะเขียนเรื่องการเมืองเพียงหนึ่งครั้ง…ครั้งเดียว
     
     ในวันที่ตอบจดหมายนี้ (24 มค. 57) สถานะการณ์ได้มาถึงจุดที่มองเห็นทางออกระยะสั้นค่อนข้างชัดเจนแล้ว ว่าอาจจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ระยะสั้นจะดำเนินไปอย่างใร จะจบลงด้วยการนองเลือดหรือไม่ จะมีรัฐประหารหรือไม่มีก็ตาม ในระยะกลางนั้นแน่นอนว่าจะมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปการเมืองซึ่งผมขอเรียกแบบง่ายๆว่า “สภาสนามม้า” ก็แล้วกัน เพราะมันคล้ายกับสภาสนามม้าสมัย 14 ตุลา 16 สภานี้จะแก้ไขกฎหมาย แล้วเปิดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ภายในเวลาไม่นานนัก

     คำตอบของผมบทนี้ จะไปตั้งต้นเอาหลังจากเกิด “สภาสนามม้า” แล้ว เพราะระยะก่อนเกิดสภาสนามม้ามันสั้นกระชั้นชิด และผู้คนจดจ่อกับมันมากเกินไป และเหตุการณ์มาถึงจุดที่ไม่ได้ถูกกำหนดโดยคน แต่ถูกกำหนดโดยสถานะการณ์ ผมเสนออะไรไปก็จะไม่มีใครฟังท้้งสิ้น ไม่มีใครเอาไปเป็นอารมณ์หรือเอาไปปรับเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองตั้งใจจะทำอยู่แล้ว ดังนั้นผมไม่พูดถึงช่วงนี้ดีกว่า

     ในคำตอบบทนี้ ผมจะพูดถึงหลุมพรางที่จะเป็นตัวตั้งต้นของปัญหา และจะเสนอทางออกของปัญหาไปทีละประเด็น

     แต่ก่อนที่จะพูดถึงหลุมพราง ผมอยากจะให้เราย้อนไปดูในอดีต โดยตั้งคำถามกับตัวเราเองว่า 

     “ทำไม การดิ้นรนเพื่อปากท้องของคนยากคนจน จึงมาสามัคคีเป็นพวกเดียวกับสิ่งที่เวทีม็อบ คป.ปส. เรียกว่า “ทุนสามานย์” ไปเสียได้..”

      ทั้งๆมันเป็นอะไรที่ไม่น่าจะสามัคคีกันได้เลย เพราะสิ่งที่เวทีม็อบเรียกว่า “ทุนสามานย์” มันมีส่วนทับซ้อนกับคำว่า “เสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism)” ซึ่งมีส่วนทับซ้อนกับคำว่า “โลกาภิวัฒน์ (globalization)” อีกต่อหนึ่ง และคำว่าโลกาภิวัฒน์ นี้ ก็มีส่วนทับซ้อนกับคำว่า “จักรวรรดินิยม (imperialism)” อีกต่อหนึ่ง ซึ่งคำว่าจักรวรรดินิยมนี้ เป็นอะไรที่มีฐานอยู่บนความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดของคน ที่มันไม่สิ้นสุดได้ก็เพราะ “วัตถุ” ที่ความโลภอยากได้กันนั้นสมัยนี้มันเป็นตัวเลขในบัญชีธนาคาร มันจึงไม่ต้องการยุ้งฉางในการจัดเก็บ มันจึงเพิ่มได้ไม่สิ้นสุด ระบบจักรวรรดินิยมนี้จึงเป็นของแสลงอย่างยิ่ง เป็นอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับนักสังคมนิยมที่มุ่งต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้คนจนในประเทศโลกที่สามในอดีต 
    
     ผมเองอยากจะเรียกระบบที่มีชื่อเรียกทั้งหลายทั้งปวงข้างต้นนี้ว่า “ระบบเงินคือพระเจ้า” ซึ่งนักการเงินการธนาคารอาจจะเปลี่ยนชื่อเรียกว่า “ระบบตลาดเสรี” ระบบทุนนิยมเสรีหรือตลาดเสรีนี้มีสมมุติฐานทางเชิงทฤษฏีว่าเป็นระบบที่เคารพเชื่อถือศักยภาพของคนในอันที่จะก่อสิ่งดีๆ หากปลดปล่อยระบบครอบงำบังคับจากกลุ่มหรือจากอำนาจเสีย ปัจเจกบุคคลก็จะมีความเสมอภาคกันในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา นั่นเป็นความคิดฝันในเชิงทฤษฏี แต่ในชีวิตจริงบางครั้งการแสวงหาเงินในระบบทุนนิยมเสรีนี้จะทำกันทุกทางเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด โดยลงทุนน้อยที่สุด กีดกันได้ย่อมกีดกัน แย่งได้ย่อมแย่ง ครอบครองไว้มากๆได้ย่อมครอบครอง โกงได้ย่อมโกง ปล้นได้ย่อมปล้น ฆ่าได้ย่อมฆ่า ซึ่งเป็นระบบที่ตรงข้ามกับระบบสร้างสังคมให้เป็นปีกแผ่น (social solidarity) ซึ่งเป็นระบบที่นักสังคมนิยมรุ่นเก่าเชื่อถือศรัทธามาแต่เดิม

    สาเหตุที่แท้จริงของคำถามที่ว่าทำไมมวลชนคนยากจนจึงสามัคคีกับทุนสามานย์ได้นี้ อาจตอบได้สาระพัดแบบ แต่ผมตอบโต้งๆตามความเห็นของผมว่า

     “…ก็เพราะเมื่อแรกเริ่มที่คนยากคนจนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปากท้องและชีวิตที่ดีกว่าของตัวเองนั้น การสนองตอบของคนที่ได้เปรียบในสังคมอยู่เดิมซึ่งครอบครองทั้งอำนาจและปัจจัยการผลิตอยู่ (ซึ่งผมเรียกง่ายๆว่าพวก “อนุรักษ์นิยม” หรือ “ขุนศึกศักดินา” ก็แล้วกัน) แทนที่จะเป็นไปแบบเห็นใจและแบ่งปัน กลับเป็นไปอย่างเห็นแก่ตัวและโหดร้ายทารุณ จนคนยากคนจนมองไม่เห็นทางที่จะเอาชนะได้ เขาจึงต้องมองหา “แนวร่วม” ที่มีศักยภาพพอที่จะเอาชนะพวกคนเห็นแก่ตัวเหล่านั้นได้ ซึ่ง “ทุนสามานย์” เป็นแนวร่วมที่มีศักยภาพนี้…”

     นั่นเป็นที่มาของนักปั่นจิ้งหรีดทั้งสองข้าง ข้าง “นายทุนใหญ่ใจถึง” นั้นชูหลักการเสรีนิยม ตลาดเป็นพระเจ้า เงินเป็นพระเจ้า ข้าง “ขุนศึกศักดินา” หรือพวกอนุรักษ์นิยมนั้นชูอาญาแผ่นดิน วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม เพื่อแก้ความเสื่อมโทรมของศีลธรรม แต่เบื้องลึกคือทั้งสองฝ่ายกำลังยื้อยุดอำนาจรัฐ (governance) ให้คงอยู่ในมือของตน เพื่อผดุงสถานะเดิมของตน อย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่ลึกลงไปในหัวใจของท้้งสองฝ่าย ผมเชื่อว่าไม่มีวาระของคนยากคนจนอยู่ในนั้น ในทางตรงกันข้าม นักปั่นจิ้งหรีดทั้งสองฝ่ายต่างระแวงโดยสัญชาติญาณว่าถ้าพวกเขาไม่ระวังให้ดี คนยากคนจนนี่แหละที่จะกลับมาทิ่มเขาเอง

    เอาละ ทีนี้มาเข้าประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะ

     ประเด็นแรก องค์ประกอบของสภาสนามม้าจะมีใครบ้าง มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะกำหนดทิศทางของบ้านเมืองเราในอนาคต ถ้าสภาสนามม้ามีองค์ประกอบเหมือนเช่นในอดีต คือมีแต่ขุนศึก ขุนนาง ผู้ดีเพราะมีทรัพย์มาก นายทุน นักวิชาการ และนักวิชาชีพ โดยมีคนจนที่แต่งตัวและพูดจาสอดคล้องกับจารีตประเพณีดั้งเดิมประดับกระหร็อมกระแหร็มพอเป็นพิธี สิ่งที่จะตามมาก็คือกฎหมายที่ได้จากสภาสนามม้าจะเป็นกฎหมายที่เน้นการบังคับใช้อาญาสิทธิ์ ขนบธรรมเนียม และจารีต โดยไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเลย เพราะเจ้าที่ดินย่อมไม่ออกกฎหมายปฏิรูปที่ดิน ผู้ครองอำนาจย่อมไม่ออกกฎหมายกระจายอำนาจ เจ้าของทรัพย์ย่อมไม่ออกกฎหมายเก็บภาษีจากทรัพย์หรือภาษีมรดก นี่เป็นสัจจะธรรมที่เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าสภาสนามม้าแทนที่จะเร่งการแก้ปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน กลับจะถ่างช่องว่างนั้นให้กว้างยิ่งขึ้น สังคมของเราก็จะไม่สงบสุขไปอีกนาน

     ข้อเสนอของผมในประเด็นนี้ก็คือ บรรดานักวิชาการ นักวิชาชีพ ปัญญาชน นายทุนน้อย และคนชั้นกลาง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ครองอำนาจหรือครองทรัพย์ระดับเอนกอนันต์ และส่วนใหญ่มีใจอยากลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน จะต้องช่วยกันผลักดันให้สภาสนามม้ามีสัดส่วนของตัวแทนคนยากคนจนที่แท้จริงให้เป็นสัดส่วนข้างมาก นั่นหมายความรวมถึงการยอมรับเอาตัวแทนมวลชนเสื้อแดงส่วนที่เป็นตัวแทนอย่างแท้จริงมาร่วมในสภาสนามม้าอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเกินความคาดหมายด้วย

     ประเด็นที่สอง ของผมคือ ในการออกกฎหมายของ “สภาสนามม้า” จะต้องยกเอาเรื่องช่องว่างระหว่างคนรวยก้บคนจนขึ้นมาเป็นวาระแรก ไม่ใช่เอาประเด็นการออกกฎหมายเพิ่มอาญาสิทธิ์ที่มุ่งกีดกันการกลับขึ้นสู่อำนาจของทุนสามานย์ขึ้นมาเป็นวาระแรก ถ้าสภาสนามม้าไม่สามารถออกกฎหมายเช่นการกระจายอำนาจและงบประมาณสู่ชนบท การปฏิรูปที่ดิน การเก็บภาษีทรัพย์ส่วนที่สะสมไว้มากเกินพอดีและภาษีมรดก สภาสนามม้าจะไปมีบทบาทป้องกันความยุ่งยากของบ้านเมืองในอนาคตซึ่งมีรากฐานอยู่บนช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนได้อย่างไร การกำราบทุนสามานย์ด้วยการเพิ่มดีกรีความแรงของอาญาแผ่นดินตามแนวทางอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมหรือแม้แต่ “ตุลาการภิวัฒน์” น้้นจะใช้ได้ผลก็เพียงระยะสั้นเท่านั้น แต่จะแพ้ในระยะยาว เพราะทุนสามานย์ “มา” ตามกระแสโลกาภิวัฒน์ซึ่งเป็นกระแสลมแห่งยุคสมัย ขณะที่อาญาแผ่นดิน จารีต ประเพณี ตามแนวอนุรักษ์นิยมนั้นกำลังถูกพัดจาก “ไป” โดยกระแสลมนี้ ผมยกตัวอย่างเช่นเมื่อเด็กน้อยได้รับมอบอำนาจโดยการให้มีสมาร์ทโฟน เมื่อเขาใช้โทรศัพท์นั้นแอบเปิดดูหนังโป๊ จารีตประเพณีอันดีงามจะไปทำอะไรเขาได้ หากสภาสนามม้าไปจดจ่ออยู่กับการกำราบทุนสามานย์ด้วยอาญาแผ่นดินและจดจ่ออยู่กับการอนุรักษ์จารีตประเพณีมากเกินความจำเป็น การทำแบบนั้นจะเป็นการถ่างช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนโดยอัตโนมัติ เพราะขึ้นชื่อว่าคนจน ย่อมเป็นฝ่ายถูกตราหน้าว่ากระทำผิด ว่าไม่สุภาพ ว่าไม่งาม ว่าไม่คู่ควร อยู่ร่ำไป และตรงนี้ก็จะเป็นช่องทางให้ทุนสามานย์เข้าไปเป็นแนวร่วมกับคนจนเพื่อโค่นล้มอาญาและจารีตลงซ้ำแล้วซ้ำอีก วิธีเร่งเพิ่มศักยภาพให้คนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศให้ได้เข้ามามีบทบาทอำนาจในการปกครองสังคมแทนทั้งขุนศึกศักดินาและทั้งทุนสามานย์ผ่านกลไกการกระจายอำนาจและกระจายงบประมาณเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาความยุ่งยากในประเทศในระยะยาวได้ 
     
      ข้อเสนอของผมก็คือ เมื่อเข้าไปใน “สภาสนามม้า” แล้ว นักวิชาการ นักวิชาชีพ ปัญญาชน นายทุนน้อย และคนชั้นกลางที่มีใจจะลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน จะต้องต่อสู้เอาชนะบรรดานายทุน ขุนศึก เจ้าที่ดิน ผู้ดีเพราะมีทรัพย์มาก ซึ่งประสงค์จะธำรงสถานะของตัวเองโดยการเสริมสร้างทำนบอาญาแผ่นดินและจารีตประเพณีให้แข็งแกร่งขึ้นโดยไม่สนใจที่จะลดช่องว่างคนรวยและคนจน หากการต่อสู้ในสนามนี้แพ้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนจนจะสิ้นหวังอีกครั้งและจำต้องไปต่อสู้ในสนามอื่นที่เป็นไปได้ อย่างที่พวกเขาเคยทำมาแล้ว


      ประเด็นที่สาม บ้านเมืองของเราวันนี้ ได้มาถึงจุดนี้ ที่เดือดพล่าน แตกแยก อาฆาต และมุ่งร้ายต่อกัน หาก “สภาสนามม้า” ไม่มีบทบาทที่เหมาะสม ก็จะไปทำให้สถานะการณ์นี้จมลึกยิ่งขึ้น

     ข้อเสนอของผมก็คือ ในการออกกฎหมายของสภาสนามม้า จะต้องทำบนวิสัยทัศน์ที่ว่าคนไทยทุกคนจะต้องอยู่ร่วมกันบนแผ่นดินนี้ต่อไป จึงต้องหันไปใช้เครื่องมือที่ดีและที่คนไทยเข้าใจและ “เก็ท” ได้ทันที นั่นก็คือ หลักศาสนาพุทธ การเขียนกฎหมายต้องเอื้อต่อการให้อภัย แบ่งปัน และให้โอกาส เพราะเมตตาธรรมที่คนไทยมีต่อกันเท่าน้้น จะขจัดสงครามล้างเผ่าพันธ์ที่คนไทยจะกระทำต่อกันเองในอนาคตได้

  นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
24 มค. 2557

……………………………………………………………………..
จดหมายจากผู้อ่าน 9.
2 กพ. 57

Dear Dr Sant,

I’ve read your blog several times and I really admire you. Keep up the good work.   I hope you don’t mind that I’ve forwarded your blog to some of my friends and family. Hopefully it’ll enlighten them the root cause  and think of the way to forgive, help each other, cut down income disparity, reduce corruption and obey laws. The most important part is both sides have to talk and listen to each other, respect other people’s opinion. They also have to realize that we have to live together, use Buddhism as a guide.

I came to the USA in 1974, and have stayed here since then. However, I still love our country and go home quite often. I have been following Thai politics closely during the past 4 years, not before then. I wish we’ll find the way out, and stop dividing.

Thanks,     
…………………………………………………..