Latest

ลูกซึ่งจบแพทย์ฟิลิปปินส์อ้างว่าแพทยสภาให้กลับไปเรียนเพิ่ม..เขาพูดจริงหรือหลอก

เรียนคุณหมอสันต์

        ขอถามคุณหมอหน่อยครับคือผมมีลูกชายเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์มาหลายปีแล้วแต่ยังไม่เป็นแพทย์ซักที ล่าสุดเค้ากลับมาเมืองไทยแล้วยื่นใบจบให้แพทย์สภาเพื่อจะเข้าฝึกงานที่โรงพยาบาลตำรวจ
        แต่ทางแพทย์สภาไม่อนุญาตเพราะที่เค้าฝึกงานที่ประเทศฟิลิปปินส์ (ที่เรียกว่าexternไม่รู้ใช่ไหม) ทางแพทย์สภาไม่รับรอง แล้วบอกให้ลูกชายผมกลับไปฝึกงานอีก 6 เดือนตามที่เค้าระบุโรงพยาบาลมา ตอนนี้ลูกชายเตรียมตัวจะกลับไปฟิลิปปินส์เพื่อฝึกงานอีก 6 เดือน ผมเลยอยากถามคุณหมอว่ามีเรื่องแบบนี้จริงไหม ตัวผมไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับอาชีพหมอ ผมกลัวจะโดนลูกชายหลอกเค้าเรียนมาตั้ง 6 ปีและฝึกงานที่นั้นตั้งหนึ่งปีแล้ว ผมอยากให้เค้าจบไวๆจะหมดห่วง ขอคุณหมอช่วยตอบผมด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับคุณหมอ

ส่งจาก iPhone ของฉัน

…………………………………………………………………….

ตอบครับ

     1. เอาประเด็นที่ผมนึกขึ้นได้ก่อนนะ เดี๋ยวจะลืม คือประเด็น “อาชีพรับจ้างเรียนหนังสือ” คือพ่อแม่สมัยใหม่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ส่งเสียให้ร่ำเรียนกันกันอยู่ตั้งนาน ไม่จบสักที ลูกก็ไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไร ไม่เคยบอกว่าแต่ละปีสอบได้หรือสอบตก ได้แต่จม.มาขอเงินอย่างเดียว พ่อแม่ก็ให้ลูกเดียว ให้ไปๆจนชักเอะใจว่า เอ๊ะ นี่ตัวเองกำลังถูกลูกหลอกเอาหรือเปล่าเนี่ย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวคลาสสิกที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     ความเป็นจริงของชีวิตก็คือว่าในบรรดาอาชีพทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ หนึ่งในบรรดาอาชีพที่สุขสบายที่สุดก็คืออาชีพรับจ้างเรียนหนังสือ ยิ่งเรียนไปนานก็ยิ่งมีความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตสถานที่และผู้คน รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานะที่มั่นคงปลอดภัยดีจัง แล้วความรู้สึกไม่อยากจบไม่อยากทำงานก็ค่อยๆบ่มเพาะขึ้น กลายเป็นโรคติดอาชีพรับจ้างเรียนหนังสือไปโดยไม่รู้ตัว อาการของโรคนี้ก็คือถ้าเรียนเก่งจบแล้วก็มักจะโอ้เอ้หาเรื่องขอต่อโน่นต่อนี้ จบ ป.ตรีขอต่อ ป.โท จบ ป.โทขอต่อด๊อกเตอร์ จบด๊อกเตอร์ขอต่อซูเปอร์ด๊อก ถ้าเรียนไม่เก่งก็จะมีอาการแบบว่าย้ายจากหลักสูตรโน้นไปหลักสูตรนี้ ย้ายจาก ม.โน้นไป ม.นี้ ตราบใดที่พ่อแม่ยังส่งเงินให้ก็จะเรียนมันไปแบบไม่มีจบ เรียนกันทั้งชาติ

     นี่คือวิบากกรรมอีกอย่างหนึ่งของการเป็นพ่อแม่คน คุณจึงมิต้องตื่นเต้ล..ล ที่มีปัญหาแบบนี้ เพราะพ่อแม่คนอื่นเขาก็มีปัญหาแบบเดียวกันนี้เพียบ..บ ที่พูดนี่ผมไม่ได้มีสถิติอย่างเป็นทางการดอกนะ แต่เดาเอาจากเปอร์เซ็นต์ของครอบครัวผู้ป่วยที่ผมดูแลแล้วมีปัญหาแบบนี้ขึ้น ผมจึงปลอบได้ว่าคุณไม่โดดเดี่ยวหรอก ส่วนวิธีแก้ปัญหาผมไม่ทราบดอกนะครับ คุณไปหาวิธีแก้เอาเองก็แล้วกัน มีเหมือนกันที่พ่อแม่บางรายมาขอให้หมอสันต์ช่วยพูดให้คุณลูกท่านรีบจบการศึกษาออกมาทำมาหากินเสียที ผมก็พูดให้เพราะเป็นหมอประจำครอบครัวเรื่องอะไรในครอบครัวช่วยได้ก็ยินดีช่วยทุกเรื่อง พูดไปแล้วบ้างก็ได้ผล บางทีคุณลูกสำเร็จวิชาหูทวนลมไปเสียแล้วก็ไม่ได้ผล คือท่านได้แต่คร้าบ..บ ด้วยความเคารพลูกเดียว

     2. ถามว่าที่ลูกชายบอกว่าต้องกลับไปเรียนต่ออีกเพราะยื่นปริญญาให้แพทย์สภาเพื่อขอเข้าเป็นแพทย์ฝึกหัด (intern) แล้วแพทยสภาไม่อนุญาตแล้วไล่ให้กลับไปฝึกงานปีสุดท้าย (extern) ในสถาบันที่แพทยสภารับรองก่อน เป็นเรื่องจริงได้ไหม หรือเป็นเรื่องที่ลูกชายกุขึ้นเพื่อหาเหตุไปเสวยสุขที่เมืองนอกต่อ ตอบว่าเป็นเรื่องจริงได้ครับ

    เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือในอดีต ผู้จบแพทย์ต่างประเทศซึ่งถูกแพทยสภาบังคับว่าต้องเป็นแพทย์ฝึกหัดในเมืองไทยให้ครบหนึ่งปีก่อนจึงจะมีสิทธิสอบใบประกอบวิชาชีพได้ ล้วนมีปัญหา หาที่ฝึกงานเป็น intern ไม่ได้ ยิ่งไม่มีเส้นยิ่งหายาก ทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว แต่ปัจจุบันนี้แพทยสภาได้หันมาช่วยเหลือผู้จบแพทย์จากต่างประเทศเองโดยจัดตั้งระบบจัดหาสถานที่ฝึกงานเป็น intern ให้แก่ผู้จบแพทย์ต่างประเทศ โดยให้ผู้จบแพทย์ต่างประเทศไปสมัครตรงกับแพทยสภาภายในวันที่ 31 สิงหาคม ของแต่ละปี โดยเลือกได้ว่าอยากไปฝึกที่รพ.ไหนจากรายชื่อรพ.ที่แพทยสภาประสานงานให้ แล้วแพทยสภาก็จะจัดสรรให้แยกย้ายกันไปฝึกงานให้ลงตัวคล้ายกับการจัดสรรแพทย์ไปทำงานชนบท โดยประกาศผลการจัดสรรประมาณเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ได้ที่ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างเป็นธรรมดา ตัวแพทย์เมื่อถูกจัดสรรไปที่ไหนแล้วก็ต้องไปรายงานตัวเพื่อเข้าฝึกงาน ณ โรงพยาบาลผู้รับภายในวันที่ 15 มีนาคม เพื่อจะได้เริ่มฝึกงานในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี จะได้จบและสมัครเข้าทำงานได้พร้อมกับแพทย์ที่เรียนในประเทศ ทั้งหมดนี้แพทยสภาช่วยหาที่ฝึกงานให้เท่านั้นนะ เขาหาให้แล้วจะกระบิดกระบวนไม่อยากได้จะให้หาให้ใหม่นั้นไม่ได้เด็ดขาด และเมื่อไปฝึกแล้วจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ จะฝึกจบหรือถูกไล่ออกกลางคันแพทยสภาก็ไม่เกี่ยวแล้ว เป็นเรื่องของโรงพยาบาลผู้รับเขาจะจัดการของเขาเอง

     ทั้งหมดนี้มันมีข้อแม้สำคัญอยู่หนึ่งข้อ คือในการสมัครขอเข้าฝึกเป็น intern นี้ จะต้องมีเอกสารชิ้นหนึ่ง คือหนังสือรับรองจากแพทยสภาว่าสถาบันที่ตนเองจบมาเป็นสถาบันที่แพทยสภารับรองหลักสูตรแล้ว ถ้าไม่มีหนังสือรับรองนี้ก็สมัครอินเทอร์นไม่ได้อยู่ดี

     ทุกวันนี้มีบ่อยครั้งมากที่ผู้จบแพทย์จากต่างประเทศเดินดุ่มๆเด๋อด๋าเอาใบปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยเหมืองห้วยในเขาที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งแพทยสภาไม่รู้จักเลยมายื่นสมัครเข้าเป็นแพทย์ฝึกหัดในเมืองไทย แบบนี้แพทยสภาเขาก็ไม่รับ เพราะตกสะเป๊คว่าไม่ได้จบมาจากสถาบันที่เขารับรอง แต่ว่าคนเรียนก็สู้อุตสาห์ไปเรียนมาตั้งหลายปีจนจบมาได้แล้ว จะทำอย่างไรดี แพทยสภาก็อุตส่าห์แก้ปัญหาโดยเปิดรูหายใจให้สองก๊อก คือ

     (1) ให้ไปเอาหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษาของสถาบันนั้นมายื่นขอให้แพทยสภาพิจารณารับรอง ซึ่งก็ย่อมต้องแน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาพอควร และ

     (2) หากแพทยสภาพิจารณาแล้วเห็นว่ารับรองไม่ได้ เพราะหลักสูตรไม่เข้มพอ ก็อาจจะแนะนำให้ไปเรียนหรือฝึกงานก่อนปริญญา (extern) เพิ่มเติมที่สถาบันซึ่งแพทยสภารับรองแล้วเป็นเวลานานเท่านั้นเท่านี้เพื่อให้นับโหลงโจ้งแล้วได้สะเป๊คที่แพทยสภากำหนดไว้

     ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ลูกชายของคุณอาจจะไปเรียนจบมาจากสถาบันที่แพทยสภาพไม่รับรอง แล้วลูกชายเอาหลักสูตรมาให้แพทยสภาดูแล้ว แพทยสภาดูแล้วและได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นหลักสูตรที่ยังรับรองไม่ได้เพราะเนื้อหาวิชาหรือเวลาฝึกงานก่อนปริญญาไม่ครบถ้วน แล้วแนะนำให้กลับไปเรียนหรือฝึกงานเพิ่มในสถาบันที่แพทยสภาโอเค. ก็เป็นไปได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าไหนๆคุณก็หลวมตัวเชื่อลูกชายมาตั้งเจ็ดปีแล้ว เชื่อเขาอีกหกเดือนก็คงไม่เสียหายอะไรอีกมากมายกระมังครับ

     3. อันนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้สำหรับผู้ที่คิดจะไปเรียนหรือกำลังเรียนแพทย์อยู่ที่ต่างประเทศว่าควรทำดังนี้

     3.1 ถ้ายังไม่ได้ไปเรียน ควรตรวจสอบชื่อสถาบันที่จะไปเรียนก่อนว่าได้รับการรับรองจากแพทยสภาหรือเปล่าก่อน และควรเลือกไปเรียนสถาบันที่แพทยสภารับรองหลักสูตรแล้ว

     3.2 ถ้าไปเรียนแล้ว และขณะนี้กำลังเรียนอยู่แต่ยังไม่จบ ก็ควรเอาชื่อของสถาบันที่ตัวเองกำลังเรียนอยู่มาขอตรวจสอบกับแพทยสภาว่าสถาบันนี้แพทยสภาให้การรับรองแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ให้การรับรอง ก็ต้องยอมลำบากลำบนเองเอาเอกสารชี้แจงหลักสูตรของสถาบันของตนมาให้แพทยสภาตรวจสอบเพื่อรับรอง ขึ้นตอนนี้ให้รีบทำตอนนี้ได้เลย ไม่ต้องรอให้เรียนจบแล้วมาถูกเด้งดึ๋งเข้าฝึกเป็นอินเทอร์นไม่ได้แล้วค่อยคิดทำ เพราะจะเสียเวลาไปอีกเป็นปี หรือเผลอๆหลายปี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์