Latest

ปาย.. ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ

เราไปตั้งหลักกันที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง 

ห้วยน้ำดัง

เรามากันสามคนพ่อแม่ลูก ขับรถเช่่าอีซูสุ.มิวเอ็กซ์โฟร์วีลไดรฟ์ออกจากสนามบินเชียงใหม่ ทริปนี้เรามีเวลาสามวันสองคืน มิชชั่นหลักก็คือเพื่อขึ้นไปเยี่ยมชมไร่กาแฟของเพื่อนผู้อาวุโสกว่าท่านหนึ่ง ซึ่งท่านปลีกวิเวกขึ้นมาทำไร่กาแฟบนเขาที่ทางไปเมืองปาย และไหนๆก็มาแล้ว เราจึงวางแผนว่าจะขับไปตั้งหลักเที่ยวที่เมืองปายสักหนึ่งวันก่อน แล้วจึงค่อยขึ้นไปไร่กาแฟ ออกจากสนามบินเราขับตามจีพีเอส. เพื่อไปตั้งหลักเริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง วันนี้สามารถเข้ามาในอุทยานโดยไม่ต้องเสียเงิน เพราะเป็นวันพ่อ

อะฮ้า แหล่งพลังงานทดแทนเนื้อสัตว์

     มาถึงก็หิวแล้ว เพราะเลยเวลาอาหารเที่ยงมาเกือบชั่วโมง พอจอดรถได้ สิ่งแรกที่เตะตาก็คือหญิงลีซอขายมันเทศย่าง อะฮ้า..คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แหล่งพลังงานอย่างดีทดแทนเนื้อสัตว์ ผมรี่เข้าไปอุดหนุนก่อนเลยจนลูกชายทักท้วงว่าจะไม่ถ่ายรูปวิวสวยๆก่อนหรือ ผมถามหญิงชาวลีซอที่ขายว่านี่คุณปลูกเองหรือ เธอตอบว่า

     “ไม่ช่า ซื้อมาจากเชียหม่า”

     ใกล้กันหญิงสาวลีซออีกคนหนึ่งขายน้ำขิงร้อนๆ เธอได้ยินเราคุยกันจึงรีบจับประเด็นไปเพิ่มมูลค่าสินค้าของเธอทันที

     “น้ำขิงร้อ..ร้อ ปลูกเอโต้เอ”

     ซื้อมันเทศเผาแล้วไม่ซื้อน้ำขิงได้ไง ถูกแมะ ไม่ว่าเธอจะพูดว่าอย่างไร ผมก็ต้องอุดหนุนน้ำขิงอยู่แล้ว เพราะมันเทศเผากับน้ำขิงเนี่ย มันของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ

ดอกบัวตองข้างกระต๊อบชาวบ้านที่ริมถนน

     เสร็จจากซื้อของกินแล้ว ยัง..ยังไม่ถึงคิวดูวิวถ่ายรูป เราเห็นป้ายว่าร้านอาหารชี้ไปทางโน้น เราตรงแน่วไปตามป้ายก่อน เป็นร้านอาหารของวนอุทยาน สะอาด สะอ้าน บริการแบบราชการ ท่านต้องร่างนโยบายแถลงวัตถุประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนจึงจะได้กิน เราสั่งผัดสิ้นคิดโปะไข่ดาวมานั่งกิน อุณหภูมิราว 15 องศา แต่เรามาจากกรุงเทพไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมามากพอ โชคดีที่หลังคาร้านอาหารแห่งนี้เขาเจาะช่องเอาแดดลงมาเป็นจุดๆ จึงขยับที่นั่งให้ตัวเองตากแดดพอให้หายสั่นไปได้

     อิ่มอร่อยแล้วคราวนี้จึงถึงคิวเดินดูวิวถ่ายรูป ห้วยน้ำดังนี้คนเขาจะมาดูทะเลหมอกกันตอนเช้า แต่เรามาดูทะเลคนตอนบ่ายแทน บรรยากาศก็น่ารื่นรมย์ไม่แพ้กัน วิวดี ดอกไม้สวย อากาศเย็น ผู้คนแต่งตัวเต็มยศจนบางคนดูตะลุ้กปุ๊กไปหน่อย แต่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นบรรยากาศฮอลิเดย์ทริปของแท้ เราดูวิวถ่ายรูปแล้วก็ชวนกันเดินทางต่อไป ผมถามเจ้าหน้าที่อุทยานว่าจุดท่องเที่ยวที่ดีที่สุดจากนี้ไปคือที่ไหน เขาตอบว่าต้องไปดูสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ซึ่งเป็นสะพานที่ญี่ปุ่นสร้างไว้เพื่อการเดินทัพสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย

นี่..มันสะพานนวรัฐนี่หว่า

     จากจุดชมวิวดอยกิ่วลมในอุทยานห้วยน้ำดัง เราขับกลับลงเขามา 6 กม. ก็ถึงถนนสายเชียงใหม่ปาย แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปปาย ขับมาอีกราวยี่สิบกม.ก็ถึงจุดที่นักท่องเที่ยวจอดกันเต็ม มีป้ายตัวบะเฮ่งว่า “สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย” พวกเราจอดรถลงไปดูและถ่ายรูปด้วยความกระตือรือล้น แต่พอลงไปถึงสะพาน ผมก็เผลออุทานว่า

     “เฮ้ย..นี่มันสะพานนวรัฐนี่หว่า”

     คือย้อนหลังไปประมาณปีพ.ศ. 2512 ผมเป็นจิ๊กโก๋..เอ๊ย ไม่ใช่ เป็นนักศึกษาอยู่แม่โจ้ เชียงใหม่ ความที่มีเชื้อคริสต์อยู่ด้วย ผมจึงได้ไปสนิทสนมกับบราเดอร์คนหนึ่งเป็นฝรั่งสอนอยู่ที่โรงเรียนปรินซ์รอย ฝรั่งคนนี้ได้มอบภาพ “ขัวเหล็ก” หรือสพานวรัฐซึ่งทอดข้ามลำน้ำปิงที่เชียงใหม่ให้ พร้อมกับเขียนคำสอนไว้ใต้ภาพทำนองว่าให้ผมเลิกเป็นจิ๊กโก๋เสียเถอะ มันไม่ดี ผมจำรายละเอียดของคำสอนของเขาไม่ได้ดอก แต่จำภาพขัวเหล็กได้ เพราะผมเสียบภาพขัวเหล็กนี้ไว้บนหัวนอนผมอยู่หลายปีก่อนที่จะหายสาบสูญไปไหนก็ไม่รู้ในเวลาต่อมา มาเห็นขัวเหล็กที่เมืองปายจึงจำได้แม่น และเมื่อไปอ่านดูป้ายให้ความรู้ที่เขาตั้งไว้ก็จึงถึงบางอ้อ สพานที่ญี่ปุ่นสร้างไว้ของจริงนั้นเป็นสะพานไม้ ถูกชาวเมืองปายรื้อไปทำฟืนเรียบร้อยหมดแล้ว หิ หิ พูดเล่น ป้ายจริงเขาบอกว่าสะพานไม้นั้นญี่ปุ่นระเบิดทิ้งตอนใกล้จะแพ้สงคราม พอมาปีพ.ศ. 2518 เขาจึงเอาสะพานนวรัฐที่รื้ออกมาจากเชียงใหม่มาสร้างไว้ที่นี่ให้คนดูเล่น

     จบการถ่ายรูปขัวเหล็กแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป ผมเสาะหาคำแนะนำที่ท่องเที่ยวใกล้ๆเอาจากแม่ค้า เธอแนะนะว่าให้ไปเที่ยวปายแคนยอน ผมถามว่า

ปาย..ไมโครแคนยอน ฝรั่งว่าดีกว่าแกรนด์แคนยอน

     “อะไรนะ แกรนด์ แคนยอนหรือ”

     เธอพูดช้าๆเป็นภาษากรุงเทพให้ฟังชัดถ้อยชัดคำว่า

    “ปาย แคนยอน ค่ะ” ผมอดติดใจไม่ได้จึงถามว่า

     “แล้วมันเหมือนกับแกรนด์ แคนยอน หรือเปล่า” เธอตอบว่า

     “เหมือนกันนั่นแหละ แต่ฝรั่งเขาว่าปายแคนยอนดีกว่า” 

    พอกลับมาขึ้นรถภรรยาถามว่าไปไหนต่อ ผมตอบว่าไป “มินิแคนย่อน” พอขับรถไปถึง ซึ่งก็แค่ราวไม่เกิน 5 กม. เราจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเขาไปราวสามร้อยเมตร พอไปถีงผมต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่

     “เมื่อกี้บอกชื่อผิด ขื่อจริงเขาคือปาย..ไมโครแคนย่อน”

สองข้างคือเหว ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น

     เราไปถึงได้สักพักก็ประเมินสถานะการณ์ออกว่านักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดจะออกันแน่นอยู่ที่ฝั่งแผ่นดินใหญ่ที่เราเพิ่่งขึ้นไปถึง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นทางเดินวกวนกว้างประมาณครึ่งเมตรเข้าไปในป่านั้นมีนักท่องเที่ยวข้ามไปน้อยมาก มีแต่ฝรั่งอยู่สองสามคน สาเหตุที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ไปเดินในส่วนที่เรียกว่า “แคนยอน” นั้นก็เพราะจะต้องเดินผ่านทางเดินที่เป็นขอบผาหินผสมดินสีเหลืองส้ม หน้ากว้างราว 50 ซม. สองข้างเป็นเหวลึก ไม่มีราวกันตกหรือระบบความปลอดภัยใดๆรองรับทั้งสิ้น ใครคิดจะเข้าไปเดินในแคนยอนต้องตั้งนะโม ท่องพ่อแก้วแม่แก้วประคองสติไม่ให้ขาสั่นเอาเอง

วิวสวย แต่จิตหมกมุ่นอยู่กับความกลัวตกเหว

     ผมชวนภรรยาและลูกข้ามปากเหวเข้าไปเดินในแคนย่อน ภรรยาไม่เอาด้วย แต่ลูกชายตกลง เราเข้าไปเดินไปตามปากเหว บ้างจุดต้องปีนขึ้นปีลง เผลอไถลบ้าง ถลอกปอกเปิดบ้างเล็กน้อย วิวสวยมาก แต่ส่วนใหญ่จิตจะวิตกอยู่กับความกลัวตกเหว ทำให้ความสวยของวิวกลายเป็นเรื่องนอกประเด็นไป เดินและปีนกันอยู่นานราวหนึ่งชั่วโมง ก็กลับมายังที่ภรรยารออยู่ได้โดยสวัสดิภาพ มาถึงก็เห็นว่าคนที่ว่าแน่นอยู่แล้วตอนนี้แน่นขึ้นอีกราวสามเท่า ฟังว่าเขาแห่มาดูพระอาทิตย์ตกติดกัน แต่มองไปทางไหนก็มีแต่หัวคน เราก็เกร่รอดูหัวคนจนพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจึงชวนกันเดินทางต่อไป

ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ

     พอออกมาถึงที่จอดรถ จึงได้เห็นป้ายเล็กๆบอกชื่อสถานที่ที่เป็นทางการของที่นี่ ชื่อ “กองแลน” ปั๊ดโธ่ ชื่อจริงเขาอย่างนี้นี่เอง คำว่า “กองแลน” เป็นภาษาเหนือ “กอง” แปลว่าตรอกแคบๆ “แลน” แปลว่ากวาง กองแลนก็คือตรอกแคบๆที่กวางใช้เดิน ถ้ารู้ชื่ออย่างนี้เสียแต่แรกก็ไม่ต้องจินตนาการผิดไปใหญ่โตแล้ว ใครนะมาตั้งชื่อว่าปาย แคนย่อน ช่างขี้จุ๊จริงๆ
   

ข้าวปุกงา 

     ค่ำแล้ว เราขับรถเข้าเมืองปาย หาที่จอดรถไม่ได้ จะไปจอดที่อำเภอเขาก็มีงานถวายพระพรกับ ในที่สุดก็ไปได้ที่จอดที่โรงเรียน ซึ่งคณะครูและนักเรียนพากันมาจัดบริการให้เช่าที่ เราจอดรถแล้วก็ไปเดินถนนคนเดินในเมืองปายยามกลางคืน บรรยากาศก็คือถนนข้าวสารดีๆนี่เอง แต่ความที่มันมีอากาศหนาวและมันอยู่เหนือ ผมจึงของเรียกว่า “ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ” ก็แล้วกัน มีคนมาจากให้กันบ้างก็ไม่รู้ ทั้งฝรั่ง ไทย จีน จำนวนสักเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นคนเห็นจะได้ ข้างพวกพ่อค้าแม่ขายก็ค้าขายสินค้ากันสาระพัดแบบ แม่ค้าคนหนึ่งร้องขายสินค้าซึ่งเธออ้างว่าถ้ามาเมืองปายแล้วไม่ได้กินก็เท่ากับมาไม่ถึงเมืองปาย สอบถามได้ความว่าขาย “ข้าวปุกงา” เป็นข้าวกล่ำสีม่วงทำเป็นแป้งตีแบนๆปิ้งบนไฟให้ร้อนได้ที่ พอร้อนแล้วจะไม่แข็งกรอบเหมือนข้าวเกรียบ แต่จะนุ่ม แล้วเอางาบดโรยจากนั้นก็พับครึ่งเป็นแซนด์วิชแล้วตัดเป็นชิ้นเอาไม้จิ้มฟันจิ้มทาน ผมซื้อแล้วให้เธอม้วนแบบทองม้วน เธอก็เอาใบกล้วยม้วนให้ เวลาจะทานก็ทะยอยฉีกใบกล้วยออกให้ข้าวปุกงาแลบออกมาให้กัดทานได้..อร่อยดี

ยมพบาลกำลังร้องขายน้ำต้มใส่กระบอกไม้ไผ่

     มีนักร้องหนุ่มๆสาวๆตั้งไมค์ร้องเพลงกันอยู่สองข้างทางเดินพร้อมกับกล่องหรือหมวกรับเงินบริจาคหลายคน บ้างก็แต่งตัวเป็นทหารตำรวจในเครื่องแบบเท่ๆ บ้างสีซอดีดซึงโดยมีสาวชาวเขามาเต้นรำแบบชาวเขาเป็นหางเครื่อง บ้างก็เป็นคณะนักเรียนมานั่งเล่นดนตรีไทย มีอยู่คนหนึ่งเรียกร้องความสนใจจากผมได้สำเร็จโดยที่แต่งตัวเป็นยมพบาลมีเขาสีดำด้วย สะพายดาบไขว้ ที่เอวห้องระเบิดมือสองลูก แผงหน้าอกคาดด้วยกระบอกไม้ไผ่เรียงเป็นตับ สินค้าของเขาคือน้ำร้อนใส่กระบอกไม้ไผ่ขาย โดยบรรยายว่าเป็นน้ำชาสมุนไพรหลากชนิดแล้วแต่ลูกค้าจะเลือก เช่นชามะตูม ชาใบเตย เป็นต้น โดยน้ำร้อนนั้นเขาจะเทบรรจุลงกระบอกไม้ไผ่แบบวันเวย์โค้กคือรับไปแล้วเอาไปทิ้งข้างหน้าไม่ต้องเอากลับมาคืน ผมอุดหนุนเขาเพราะต้องการอะไรอุ่นๆดื่มแก้หนาว เขารับเงินแล้วยังแจ้งบริการหลังการขายด้วยว่าผมสามารถเอากระบอกไม้ไผ่นั้นมา refill น้ำชาผลไม้ได้อีกตลอดชีวิต ช่างเป็นการค้ำประกับสินค้าที่น่าเลื่อมใสเสียนี่กระไร

ใครจะปั้นหุ่นโดยปั้นพุงได้เหมือนจริง

     เดินมาได้สักครู่ก็ผ่านจุดที่คนมุงดูอะไรสักอย่างและคุยกันอื้ออึง บ้างก็ว่าเป็นหุ่น บ้างก็ว่าเป็นคนจริงๆ เมื่อมองไปจึงเห็นอะไรคล้ายหุ่นรูปร่างเป็นชายสวมหมวกแต่ว่าเนื้อตัวถูกทาสีจนเป็นสีม่วงและเขียนอะไรลายพร้อยไปหมด ข้างล่างที่เท้าหุ่นมีกระป๋องสีและพู่กันวางระเกะระกะ เสียงคนเถียงกันว่าเป็นหุ่นหรือเป็นคนจริงดังไม่ขาด เพราะหุ่นนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติงจริงๆ ผมมองดูการหายใจเพื่อจับเท็จก็ไม่เห็นมีการขยับหายใจแต่อย่างได้ สิ่งที่จะบอกว่าเป็นคนจริงมีอยู่อย่างเดียวคือพุง เพราะสมัยที่อาหารเนื้อสัตว์หาง่ายและราคาถูกอย่างปัจจุบันนี้คนจริงกับหุ่นจะต่างกันก็ตรงที่พุงนี้แหละ เพราะผมผ่านมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำยังไม่เคยเห็นใครปั้นหุ่นโชว์แบบมีพุงพลุ้ยเลย ความที่อยากพิสูจน์ให้แน่ชัดไปอีกขั้นหนึ่งผมจึงใส่แบงค์ยี่สิบบาทลงบนถาดรับเงินของเขาแล้วก้าวเข้าไปเอานิ้วชี้ที่พุงทำท่าจะจั๊กจี๋เข้า เห็นเขานิ่งอยู่ผมจึงเอานิ้วจิ้มพุงแบบจั๊กจี๋เขาจริงๆ เสียงผู้หญิงสูงอายุในหมู่ผู้ชมคนหนึ่งร้องว้ายด้วยความหวาดเสียวกลัวหุ่นจะปล่อยก๊ากออกมา แต่ผิดคาด นิ้วผมจิ้มลงไปบนพุงเขาจนบุ๋มลงไปสักสองเซ็นต์ได้ เขากลับแน่นิ่งไม่ไหวติง จนเสียงผู้ชมบางคนสรุปว่าเป็นหุ่นจริงๆเห็นไหม ส่วนตัวผมนั้นรู้ความลับแล้วจากสัมผัสที่ปลายนิ้วตอนจิ้มพุงเขา แต่ผมไม่พูด ปล่อยให้ผู้ชมคาดเดาและถกเถียงกันต่อไป

     เราเดินถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือมาจนถึงร้านอาหารริมถนนชื่อ “ปายใจดี” จึงตัดสินใจแวะเข้าไปกินอาหารมื้อเย็น เป็นร้านอาหารใหญ่ที่อาหารมีรสชาติดี เสร็จแล้วก็พากันกลับรถเพื่อขับไปหาที่พักที่จองไว้ว่าอยู่ที่ไหนต่อไป

สายหมอก กาแฟ และมันเทศต้ม

     พอขับตามจีพีเอส.มาถึงซอยปลายตันมีแต่บ้านคนหลังเล็กหลังน้อยก็คิดว่าหลงทางจึงลงไปถามชาวบ้านดูว่าโรงแรมชื่อที่เราจองมานั้นอยู่ที่ไหน ผู้หญิงที่บ้านหลังที่เปิดไฟไว้รอแล้วก็รีบออกมาบอกที่ประตูว่าหลังนี้แหละ ภรรยาผมเห็นความอัครฐานของโรงแรมของเราแล้วตะลึงและตำหนิผมว่าคุณทำไมจองที่พักแบบนี้ละ ผมหัวเราะหึๆนึกในใจว่าผีมาถึงป่าช้าแล้วเหลือทางเลือกอยู่สองอย่าง คือไม่เผาก็ต้องฝังแค่นั้นแหละ จะพาผีกลับออกจากป่าช้าได้ไง เราขนของเข้าไปยังห้องพัก โรงแรมแห่งนี้เป็นบ้านชั้นเดียวของชาวบ้านแล้วปลูกที่พักขนาดประมาณใหญ่กว่าห้องส้วมหน่อยหนึ่งไว้สี่ห้องเพื่อให้แขกเช่านอน แต่พอเข้าไปในห้องแล้วก็พบว่าสะอาดผิดจากภายนอกทุกห้อง ไม่มีแอร์ เหอะน่า คืนละหนึ่งพันบาทต่อห้อง จะเอาอะไรกันนักหนา อย่างน้อยก็มีหม้อต้มกาแฟนะ โรงเตี๊ยมหลายแห่งในยุโรปยังไม่มีเลย พอรุ่งเช้าอากาศหนาวเย็นมาก เราตื่นมาต้มกาแฟและต้มมันเทศที่ชื้อมาจากหญิงลีซอกินเป็นอาหารเช้า ออกไปนั่งที่ระเบียงนอกห้อง มองดูหมอกปกคลุมบนผิวบึงน้ำข้างนอก แม่เฮย..สายหมอก กาแฟ และมันเทศต้ม เปิดเอานัทที่อบมาจากบ้านออกมากินด้วย ได้ขนาดนี้แล้วจะเรียกร้องอะไรอีกก็เกินไปละมัง พอสายหน่อยฝรั่งชายหนุ่มที่นอนอยู่หลังข้างๆก็โผล่ระเบียงมานั่งกินกาแฟชมสายหมอกเช่นกัน เขาร้องทัก ผมจึงกำนัลเขาด้วยนัทอบไปสองกำมือซึ่งเขาดูจะพอใจมากเพราะไม่ต้องฝ่าลมหนาวออกไปหาอะไรหนักๆที่ข้างนอก

     เรารอให้หมอกจางอยู่นานจนรอต่อไปไม่ไหว เพราะสายแล้วหมอกก็ยังไม่จาง จึงต้องเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางต่อไปโดยตั้งใจจะไปตามคำแนะนำของคนที่นี่ว่าให้ไปดูเมืองจีนปลอมชื่อหมู่บ้านสันติชล แต่พอขับออกจากซอยออกมาก็พบกับตลาดซึ่งมีชาวบ้านใส่เสื้อกันหนาวสวมหมวกอุ่นนั่งตั้งวงกินโจ๊กกันอยู่ สมาชิกของเราคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆมาก็ร้องเรียนขอกินโจ๊กบ้าง เราจึงตกไปนั่งกินโจ๊กเพิ่มอุณหภูมิร่างกายกัน กินไปก็ชมเมืองปายยามเช้าไป ผู้คนเริ่มออกจากบ้านมาสัญจรไปมาโดยเดินบ้าง จักรยานบ้าง มอเตอร์ไซค์บ้าง มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ บ้านเรือนก็มองเห็นแต่เค้าโครงร่างๆอยู่หลังม่านหมอก

     อิ่มโจ๊กได้ที่แล้วก็พากันเดินทางต่อไป เราขับรถต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านท้องนาซึ่งลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา ตัวผืนนากว้่างไกลแค่ไหนไม่รู้เพราะภาพหายไปในความขาวของม่านหมอก เห็นแต่ภูเขาสีน้ำเงินรางๆเป็นฉากหลังไกลๆ ชาวนาสุบกุบ (สวมหมวก)เกี่ยวข้าวกันอยู่ตะคุ่มตะคุ่ม
   

ซูมอินชาวนาเกี่ยวข้าวกลางสายหมอก

   
หมู่บ้านสันติชล

เกาลัดย่างห่มผ้า

     ขับมาได้ประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็มาถึงหมู่บ้านสันติชล ชุมชนคนจีนที่สืบเชื้อสายมาจากกองพล 93 ทหารจีนคณะชาติสมัยพ่ายแพ้แก่คอมมิวนิสต์ ซึ่งแยกย้ายกันตั้งหลักแหล่งอยู่ตามจังหวัดชายแดนภาคเหนือหลายแห่ง ซึ่งมาถึงสมัยนี้ได้กลายเป็นคนไทยไปหมดแล้ว

บัวหิมะ โฆษณาว่ากินดิบๆได้

     ทันทีจอดรถได้และลงจากรถ สิ่งที่เรามองหาก็คืออะไรก็ได้ที่จะมาแก้ความหนาวเย็น แล้วก็เจอ ฮั่นแน่ เกาลัดย่างร้อนๆ แต่แม้แต่เกาลัดที่นี่คนขายยังต้องห่มผ้าให้เลยนะครับ เพราะหากปล่อยให้สัมผัสอากาศตรงๆย่างเสร็จแป๊บเดียวก็เย็นแล้ว ผมตรงรี่เข้าไปอุดหนุน ครึ่งโลร้อย ถ้าซื้อเต็มโลก็ 180 บาท เรื่องความอร่อยของเกาลัดย่างนั้นไม่ผิดหวัง ไม่ว่าคุณจะกินที่ญี่ปุ่น ที่ไต้หวัน ที่ปักกิ่ง หรือแม้กระทั่งที่เมืองจีนปลอมนี้ก็ตาม
   
     อาหมวยชาวจีนฮ่อหน้าตาสวยอีกคนหนึ่งร้องขายบัวหิมะ เข้าไปดูใกล้นึกว่าจะได้เห็นดอกบัวเย็บเจี๊ยบมีเกล็ดน้ำแข็งจับ ที่แท้กลายเป็นหัวมันแกว เธอยืนยันว่านี่ไม่ใช่มันแกว นี่เป็นบัวหิมะพันธุ์แท้จากเมืองจีนที่เธอซื้อมาจากตลาดเชียงใหม่ โอเค. บัวหิมะ ก็บัวหิมะ จะต้องซื้อไปลองกินดูหน่อยเพื่อพิสูจน์ว่ามันใช่มันแกวหรือไม่ใช่ สนนราคาก็ไม่ได้แพงเลย กิโลละยี่สิบบาท

หมู่บ้านสันติชล ความสำเร็จการพัฒนาชุมชน

     หมู่บ้านสันติชล ได้พัฒนาจากเดิมที่เป็นดงยาเสพย์ติดมาเป็นเมืองจีนปลอม เอ๊ย ไม่ใช่ ชุมชนจีนยูนานที่สร้างขึ้นใหม่จากวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวชุมชนเอง ทุกวันนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับท็อปของเมืองปาย และนักท่องเที่ยวที่มาไม่ใช่มีแต่คนไทยนะครับ คนจีนแท้ๆยังมากันเลย นับว่าเป็นการพัฒนาชุมชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามจริงๆ

ร้านกาแฟที่วิวสวย ถ้าหาจังหวะหลบเวลาที่ทัวร์ลงพ้น

ร้านกาแฟ

     ออกจากหมู่บ้านสันติชล เราเดินทางต่อมุ่งหน้าจะขึ้นไปไร่กาแฟของเจ้าภาพตามที่ตั้งใจมา นั่นหมายความว่าเราต้องวิ่งย้อนกลับถนนเส้นปายมุ่งหน้าเชียงใหม่ กำลังขับจะพ้นเมืองปายก็ผ่านจุดที่มีคนยั้วเยี้ยจึงจอดแวะดูว่าเขามีอะไรกัน จึงพบว่าเป็นร้านกาแฟชื่อ “ปายอินเลิฟ” ที่นักท่องเที่ยวยั้วเยี้ยเพราะเขามาถ่ายรูปวิวสวยๆ มีบ้านสองชั้นเท่ๆสีเหลืองหลังหนึ่ง ร้านกาแฟ สวนดอกไม้ ตัวร้านกาแฟนั้นคิวยาวแน่นขนัด แต่หากสบจังหวะที่แร้ง..เอ๊ย ไม่ใช่ ทัวร์ไม่ลง ก็จะมีช่องว่างให้ไปนั่งกินกาแฟได้บ้าง วิวจากระเบียงโต๊ะนั่งกินกาแฟนี้ดีมาก ผมถ่ายรูปมาด้วย แต่ภาพบ้านสีเหลืองและวิวสวนดอกไม้นั้นผมไม่สามารถถ่ายรูปมาได้ เพราะไม่สามารถหลบกล้องพ้นเหล่าคนหนุ่มคนสาวและคนเฒ่าคนเถิบที่มาแอ๊คชั่นแอ๊บแบ๊ว คิกขุ อาโนเนะ แบบว่าเอาสองมือโค้งขึ้นไปบรรจบกันเป็นรูปหัวใจแล้วเอียงสะโพกไปทางโน้นที่..แชะ เอียงสะโพกมาทางนี้ที..แชะ ไม่สามารถหลบพ้นจริงๆ

แผ่นดินแยก 

     เดินทางกันต่อไป คราวนี้จะจากเมืองปายจริงๆละ อ้าว เดี๋ยว ป้ายเล็กๆขวามือนั่นว่าอะไรนะ Land Split แปลว่าแผนดินแยก ผมเกิดความสนใจขึ้นมาทันที จึงเลี้ยวขวาควับเข้าถนนซอยนั้นไปได้ทันเวลา แล้วขับต่อไปในถนนชนบทแคบๆไปอีกหลายกิโลเมตร ก็มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า Land Split หรือแผ่นดินแยก

Business model ที่ไม่ซ้ำใครในปาย

ธุรกิจดีจนเปลี่ยนหลังคาตองตึงได้

      พบว่ามันเป็นที่ดินของชาวบ้าน แต่เปิดให้คนนอกเข้าไปเยี่ยมชมได้ ไม่เก็บเงิน แต่ตั้งกล่องบริจาคทิ้งไว้ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ไม่โปรดก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่าบ่นก็แล้วกัน เพราะนี่เป็นของฟรี ห้ามบ่น ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไทยมาที่นี่เลย เห็นมีแต่ฝรั่งคนหนึ่งนั่งละเลียดกล้วยอย่างอ้อยอิ่งอยู่ เราจอดรถแล้วเดินตามลูกศรชี้ขึ้นเขาเพื่อไปดูแผ่นดินแยก ต้องเดินขึ้นเขาสูงชันขึ้นไปประมาณสองร้อยเมตร ก็ไปถึงแผ่นดินแยกที่เกิดจากอะไรไม่รู้ อยู่ๆก็แยกผลั๊วะออกจากกันทิ้งช่องว่างไว้เมตรหนึ่งบ้าง เมตรครึ่งบ้าง เบื้องล่างนั้นรอยแยกลึกจนมองไม่เห็นก้น น่าจะราวยี่สิบเมตรได้

     พอเดินกลับลงมาถึงที่จอดรถเราก็หอบได้ที่พอดี หนุ่มเจ้าของบ้านซึ่งอายุน่าจะประมาณ 40 ปี เชื้อเชิญให้เรานั่ง เขาทำเครื่องดื่มน้ำกระเจี๊ยบมาให้ เอามันเทศเผา กล้วยฉาบ มะละกอ และแยมกระเจี๊ยบที่เขาทำเองมาให้ วิธีทำธุรกิจของเขาก็คือเขาโฟกัสที่การแสดงน้ำใจ ถ้าแขกชอบเขาจะหย่อนเงินลงกล่องเอง ซึ่งก็ดูจะได้ผลดี เพราะตอนที่เรานั่งอ้อยอิ่่งกันอยู่ที่นี่ก็มีฝรั่งซำเหมาขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาคู่สองคู่ มาแวะกินอะไร แล้วหย่อนเงินลงกล่อง หลักฐานอีกประการหนึ่งที่แสดงว่า business model ที่ไม่ซ้ำแบบใครของเขาเวอร์คดีก็คือบ้านของเขาซึ่งเป็นเรือนมุงตองตึงนั้น ตอนนี้หลังคาส่วนใหญ่ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนแล้วเรียบร้อย

     ผมคุยกับเจ้าบ้านสองสามคำ แล้วหยอดเงินในกล่องให้ 200 บาท พอผมขึ้นรถแล้วเขายังวิ่งตามมาเคาะหน้าต่างและยื่นมะละกอสุกลูกงามให้ภรรยาผมและว่า

     “พี่เอามะละกอนี่ไปลองดู หวานดีมากครับ”

     นี่แสดงว่าเขาแอบดูตอนแขกหยอดเงินลงกล่อง หากเขาคำนวณว่าเขาได้กำไรมาก เขาก็จะมีวิธีคืนกำไรให้ลูกค้า โดยที่ไม่เสียบิสซิเนสโมเดลหลัก คือขายประสบการณ์ดีๆว่าได้มาพบกับความเอื้อเฟื้อของคนไทย ผมนึกชอบรูปแบบการทำธุรกิจของเขาจริงๆ ต้องคนใจถึงจึงจะทำธุรกิจแบบนี้ได้ ยิ่งถ้าคิดจะเจาะลูกค้าคนไทยด้วยแล้ว นอกจากจะใจถึงแล้วยังต้องให้อภัยทานเก่งด้วยจึงจะทำได้

โป่งเดือด

     เราออกเดินทางต่อ คราวนี้คงได้จากเมืองปายแน่ เจ้าภาพที่อยู่บนไร่กาแฟโทรศัพท์มาถามว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว และแนะนำว่าเราควรจะแวะอาบน้ำร้อนที่โป่งเดือดก่อนขึ้นมาบนไร่กาแฟ เพราะมันหนาวมากเดี๋ยวจะอาบน้ำไม่ได้แล้วจะหาว่าไม่เตือน เราก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยออกจากปายมุ่งหน้าเชียงใหม่ มาได้ราวสี่สิบกม.ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังโป่งเดือด ไปถึงก็พบว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีน้ำร้อนเดือดปุดๆพุ่งขึ้นมาสูงเป็นเมตรและมีไอน้ำกลิ่นกำมะถันโขมง เรามุ่งหน้าไปยังสถานที่อาบน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำไว้เผื่อวันพรุ่งนี้ตามแผนก็ได้รับคำตอบว่าที่อาบน้ำร้อนส่วนตัวเต็ม ผมถามว่าผมจะรอ เธอบอกรอไม่ได้ เพราะน้ำร้อนใส่ได้วันละครั้งเดียว ผมถามว่าแล้วมีที่อาบน้ำที่เป็นห้องมีความเป็นส่วนตัวอีกไหม เธอตอบว่ามี พลางชี้มือไปทางห้องอาบน้ำที่้เรียงอยู่เป็นแถวแต่เธอบอกว่า

     “มันเป็นน้ำเย….นะ”

    ผมบอกว่าไม่ต้องลากเสียงก็ได้ผมรู้ว่ามันเย็น เมื่อผิดหวังไม่ได้อาบน้ำเราก็ชวนกันไปหาอาหารกิน ร้านอาหารอยู่ทางโน้น พากันเดินไปได้แป๊บเดียวก็สวนทางกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งบอกเราว่า

     ”  อย่าเสียเวลาเดินไปเลยค่ะ อาหารหมดแล้ว เหลือแต่มาม่า”

      อ้าว จะอาบน้ำก็เต็ม จะกินข้าวก็หมด เอางี้ เราเดินขึ้นเขาไปดูโป่งเดือดก็แล้วกัน เพราะไหนๆก็มาแล้ว ขณะเดินขึ้นเขาไปเห็นเด็กๆถือชลอมไข่ต้มใบเล็กๆมากันหลายคนจึงชวนกันว่าเออมื้อนี้เราต้มไข่กินก็ดีนะ เพราะทุกคนหิวแล้ว แต่ภรรยาบอกว่าไข่ดิบเขาน่าจะขายกันที่สำนักงานข้่างล่างโน่น เราไม่ได้ซื้อติดมือมาเสียด้วย ผมยังมองโลกในแง่ดีว่าน่าจะมีขายข้างบนน่า เพราะคนขายที่ฉลาดเขาต้องขายของตรงที่ที่คนเกิดมู้ดจะซื้อ แต่ผมคาดผิด เพราะพอไปถึงโป่งเดือดก็พบว่าเขาไม่มีไข่ขาย ผมเห็นเด็กคนหนึ่งมีไข่อยู่ในครอบครองแยะมากนับได้เป็นสิบใบ จึงรี่เข้าไปถามว่าหนูมีไข่ขายไหม คุณแม่ของเด็กซึ่งหน้าตาสะสวยน่ารักตอบแทนลูกด้วยสำเนียงคนเมืองเหนือว่าที่นี่เขาไม่มีขายค่ะ แต่ฉันแบ่งให้คุณได้ ผมก็ร้องโน โน โน ด้วยความเกรงใจ เธอก็ยังยืนยันว่าไม่เป็นไร ฉันมีแยะเหลือเฟือ ซึ่งผมก็เห็นว่าจริง เพราะสองแม่ลูกจะกินไข่อะไรกันนักหนาเป็นสิบฟอง จึงอ้อมแอ้มตอบไปแบบคนหน้าด้านว่า

     “ขอบคุณครับ ถ้างั้นผมขอรบกวนสามฟองก็แล้วกัน”

กระท่อมน้อย อยู่ริมลำห้วยธารา

     เราจึงได้ไข่มาต้มน้ำแร่กินเป็นมื้อกลางวันแก้ขัดไป

เม้าท์ อาราบิก้า

     บ่ายคล้อยแล้ว เราเดินทางกันต่อไปยังน้ำตกหมอกฟ้า ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่เจ้าภาพจะมารับเราที่นั่น หลังจากนั้นก็ขับรถตามเจ้าภาพไปตามทางแคบๆขึ้นเขาไปอีกนาน..น..หนึ่งอสงไขยเวลา แล้วก็มาถึงบ้านบนดอยกลางไร่กาแฟที่โรแมนติกซะไม่มี จนคิดถึงเพลงของทูล ทองใจ ขึ้นมาทันที

     “..กระท่อมน้อย อยู่ริมลำหัวยธารา
ทั่วถิ่นวนา ไร้ความน่ากลัว
เรไรจำเรียง เสียงก้อง
แสงจันทร์ส่อง สลัว
น้องรักอย่ากลัว ว่าจะขื่นขม..”

บดกาแฟด้วยมือ เพราะไม่มีไฟฟ้า

      น้องผู้ช่วยในไร่รับอาสาบดกาแฟชงให้ดื่มแก้ง่วง ถึงแม้เจ้าของบ้านจะขับรถเล็กซัสแต่การบดกาแฟที่นี่ต้องใช้มือหมุนเครื่องบด เพราะบนเขานี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ บดแล้วก็เอาใส่เครื่องหีบเล็กๆ แล้วใส่น้ำร้อนเพื่อหีบเอาน้ำกาแฟออกมา หลังจากนั่งลุ้นด้วยความเพลิดเพลินสักครู่ก็ได้กาแฟชั้นสูง อาราบิก้า หอมกรุ่น มาดื่ม กาแฟดี บรรยากาศดี ผมเรียกที่นี่ว่า เม้าท์ อาราบิก้าก็แล้วกันนะ จิบกาแฟ..

     “..อ้า..า นี่แหละคือชีวิต

     Ah.. This is life..”

รีสอร์ทเกรดเอ. ซ่อนรูปอยู่ใต้หลังคาใบตองตึง

     กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ เจ้าภาพก็บอกว่าเดี๋ยวจะพาไปกินข้าวเย็นที่รีสอร์ทบนเขาอีกแห่งหนึ่ง จะได้แนะนำให้รู้จักกับเจ้าของรีสอร์ทด้วย ผมนึกประท้วงในใจว่าบรรยากาศดีอย่างนี้อยู่ที่นี่กินบรรยากาศไม่ต้องกินข้าวเย็นก็ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเพราะเจียมตัวว่าเป็นแขกจะเรื่องมากได้อย่างไร เราจึงเดินทางขึ้นเขาลงห้วยกันต่อไปอีก แล้วก็มาถึงรีสอร์ทกลางหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไม่มาเห็นด้วยตาดัวเองก็คงไม่เชื่อว่าจะมีที่สวยๆดีๆอย่างนี้ซ่อนอยู่ในหุบเขาที่ไม่มีคนรู้จัก ห้องพักอย่างดีซ่อนตัวอยู่ภายใต้หลังคาใบตองตึง คอนเซ็พท์การออกแบบต้องจัดว่าไม่เป็นรองใครในเชิงสถาปัตยกรรม เจ้าของรีสอร์ทผู้มีใจอารีย์ ซึ่งผมขอเรียกท่านง่ายๆว่า “ด๊อกเตอร์” ก็แล้วกันนะ ได้เข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นนี้เอง ซึ่งผมถือว่าเป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดของทริปนี้ ไม่ใช่ว่าดีในแง่ของความฟุ้มเฟือยนะ แต่เป็นดีในแง่ที่เป็นอาหาร Plant-based, whole food ขนานแท้ คือมากมายไปด้วยพืชผักสาระพัดชนิด ทั้งผักกูด ผักขี้หูด ผักแม้ว ฟักทอง มะเขือ และผักที่เรียกชื่อไม่ถูกอีกสามสี่อย่าง ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย

     รุ่งเช้า ที่บ้านน้อยในไร่กาแฟบนเขา เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเดินดูกาแฟและสำรวจโลเคชั่นกับเจ้าภาพพร้อมด้วยสุนัขแสนรู้อีกสองตัว เหนื่อยแล้วก็กลับมาทานข้าวต้มร้อนๆที่เจ้าภาพลงมือทำให้เอง ก่อนกลับผมถ่ายภาพวิวที่มองจากบ้านน้อยหลังนี้ไว้กันลืมด้วย เป็นวิวที่สวยที่สุดวิวหนึ่งของทริปนี้

วิวที่หน้าบ้านที่ไร่กาแฟบนดอย ก่อนจากลา

ภูเขา ชายป่า นาขั้นบันได กระท่อม ขาดแค่ควายสักตัวสองตัว

     ผมขับลงเขามาโดยรับปากแข็งขันกับเจ้าภาพว่าผมจำทางได้ เพราะกลัวเป็นภาระให้เจ้าภาพต้องมาส่ง ความจริงผมจำทางไม่ได้ดอก แต่โชคดีที่มันไม่มีแยกให้หลงมาก จึงหลงเพียงเล็กน้อย แต่หลงไปก็ไม่เสียหลาย เพราะทำให้ได้เก็บภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของถิ่นที่อยู่แถบนี้ของเมืองไทยที่หาชมไม่ได้ในแถบอื่น แบบว่าภูเขา ชายป่า นาขั้นบันได กระท่อมชาวนา เสียอย่างเดียว ไม่มีควายสักตัวสองตัว ไม่งั้นก็จะเป็นภาพส่งท้ายทริปที่เพอร์เฟค

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
8 ธค. 58