Latest

ถูกตุ๊ดดูดหัวแม่ตีนแล้วแค้น..น

สวัสดีครับคุณหมอสันต์ วันนี้มีเรื่องจะมาปรึกษา (ยาวหน่อยนะครับ) ผมไม้รู้จะหาทางออกกับเรื่องนี้อย่างไรดี ผมไม่ค่อยกินข้าว เครียด ไม่มีพลังในการจะทำอะไรในแต่ละวันเลย ซึ่งอาการแบบนี้ผมเป็นเกือบจะอาทิตย์ละครับ ปล่อยไปเรื่อยๆ คงแย่
เริ่มเลยก็แล้วกันครับ  ผมเป็นเด็กจังหวัด … เรียนจบจาก รร.ชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนปี2014 ผมติดโควต้า มช แต่ก็ยังไม่ใช่คณะที่อยากเรียน กะว่าจะซิ่วสอบหมอ ทีนี้ช่วงนั้นแม่ผมก็เลยแนะนำให้รู้จักพี่คนนึงที่จบหมอ มช. ได้คุยกับเขาทางมือถือ ขอไลน์ไว้เผื่อมีเรื่องปรึกษา จนประมาณต้นปี 2015 อยู่ๆเขาก็มาที่บ้านผม บอกว่ามาหาแม่ผมแต่เจอแค่ผมเลยนั่งคุยกัน คุยๆไปผมลองถามเขาว่าให้พาผมไปดูการทำงานของหมอได้ไหม ถือเป็นการหาตัวเองด้วยจะได้รู้ว่ามันใช่ไหม เขาบอกว่าพาไปได้ ทีแรกแม่ไม่เห็นด้วยเพราะพี่เขาเป็นตุ๊ด แต่ผมก็ไม่ได้กลัว แต่ในที่สุดแม่ก็ให้ ทีนี้พอไปเท่านั้นแหละครับ เขาเป็นคนที่พูดเก่งมาก ออกแนวขี้โม้ บอกว่ารู้จักผมดีกว่าที่ผมรู้จักตัวเองเสียอีก ทำตัวเป็นโค้ช บอกให้ผมหลับตานึกนั่นนี่ ให้เขียนข้อดีของตัวเองลงในกระดาษ ทีแรกผมก็เขียนนะ คิดว่าเขาคงจะให้ทำแบบทดสอบไรงี้หรอ ก็ยังไม่มี เขาชอบโม้ว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องนี้(หมอครอบครัว) เขาเข้าใจจิตใจคนได้ดี ผมก็ไม่ได้เชื่อหมดหรอก(แต่สุดท้ายเขาก็ได้ไปเรียนต่อหมอครอบครัวจริงๆนะครับ ที่รพ….) ทีนี้คืนแรกเขาก็ทำเป็นลูบหัว ลูบหลัง ลูบไปใกล้ๆก้น ผมตกใจมาก แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลยคืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับ กลางดึกเขาไปเข้าห้องน้ำ อยู่ๆก็มานั่งขอบเตียง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาอมนิ้วเท้า มันแย่มากเลยครับหมอ ทำไมผมไม่ทำอะไรเลย ผมหลับได้แปปเดียวตอนนั้นจะเช้าละ ตื่นมาเจอเขานั่งลูบขาอยู่ ผมกลัวมาก แต่ทำไมผมจะต้องติดภาพที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่รู้จัก ไม่ได้ทำอะไรเขา แต่สุดท้ายก็คุยกับแม่ให้มารับ
หมอคนนี้เป็นคนกลับกลอกมากครับ โกหกแม่ผม ว่าจะพามาค้นหาตัวตน สุดท้ายพามาลวนลาม ชอบขอตรวจนั่นนี่ กำลังตรวจทำแบบทดสอบส่งอ. แอบจับนิดจับหน่อย ใช้วิชาชีพแพทย์มาหลอก มาทำพฤติกรรมโรคจิต เลวสุดๆครับ
จากนั้นกลับมาบ้านผมโทรบอกพ่อเขาให้เขามาขอโทษที่บ้าน ทีแรกกะจะต่อยหน้าแต่ก็ปล่อยไป เห็นมาขอโทษ เลยอภัยไป แต่สุดท้ายแล้วผมยังนึกถึงเรื่องนี้เป็นระยะๆ มาจนถึงตอนนี้ 2 ปีแล้ว อยู่ๆผมมาเป็นหนักตอนนี้ แค้นใจที่ว่าตัวเองใจดีเกิน ทำไมให้อภัยคนเลวๆแบบนี้ง่ายไป นึกถึงตอนที่มันมาอมนิ้วเท้า ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเสียซิงให้กะเทยเลยครับ ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ลืมไปละ หมอสันต์ว่าส่วนนี้ผมคิดมากไปไหมฮะ
และปัจจุบันนี้เขาเป็นแพทย์ประจำบ้านด้านเวชศาสตร์ครอบครัวที่ … ผมแอบเห็นในเฟซบุ๊กเขายังชีวิตดี มีแต่คนเห็นว่าเขาเป็นคนดี แต่ไม่รู้มีใครเคยเห็นสันดานแท้ของเขาเหมือนผมไหม เลยเกิดความรู้สึกแค้นใจว่า ทำไมคนชั่วๆแบบนี้ยังได้ดี เวรกรรมไม่มีจริงหรอก ผมเกิดความคิดอยากเอาคืน อยากให้เขาตายไปเลย ยิ่งถ้าโดนอุบัติเหตุตายยิ่งดี มันเริ่มแรงขึ้นๆ จนผมคิดว่านี่บ้าไปแล้วหรือเปล่า ผมเคยปรึกษาพี่คนนึงเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หมายความว่าผมคิดมากไปเองหรอครับ เขามีพฤติกรรมแบบนี้มันควรเข้าข่ายโรคจิต ผมปล่อยไปง่ายๆมันถูกต้องไหม ผมน่าจะแจ้งที่ทำงานเขาหรือเปล่า (ตอนปี 2015 นั้นก็คิดจะทำแต่แม่บอกไม่ต้องหรอก ทำให้เป็นเรื่องใหญ่เปล่า) เอาวิชาชีพมาใช้ผิดๆแบบนี้มันควรได้รับการอภัยง่ายๆหรือครับ ผมคิดว่าเขาสมควรได้รับกรรม แต่ทำไมมันยังลอยหน้าในสังคมได้ คนอื่นยังเห็นแต่ด้านดีๆของเขาซึ่งเขาอาจจะแสร้งทำเหมือนแสร้งทำดี ยิ้มให้กับผม แต่ความจริงคือใส่หน้ากาก ผมเกลียดที่ต้องเห็นคนเลวๆที่ใส่หน้ากากคนนี้ยังมีที่ยืนอยู่ ผมมองตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่จนผมเครียด แค้น ส่งผลให้สุขภาพตัวเราเองแย่เลย ใจนึงอยากที่จะลืมๆซะแต่อีกใจเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กับคนอย่างนี้
ถึงตรงนี้ขอบคุณมากครับที่อ่านจนจบ ผมหวังอยากให้หมอสันต์ตอบกลับจริงๆนะครับ เผื่อผมอาจจะได้เจอแสงสว่างเสียที

ส่งจาก Outlook
………………………………….

ตอบครับ

     นานๆงัดจดหมายของเด็กน้อยขึ้นมาตอบเสียบ้างเป็นการแก้ความเลี่ยนในชีวิต แฟนประจำที่เป็นผู้สูงอายุคงไม่ว่ากันนะครับ คิดเสียว่าอ่านนิยายของคนรุ่นลูกหลานก็แล้วกัน

     1. ถูกอมหัวแม่เท้า

     “..อมแล้วดูด  แต๊ด ต่าแรด แต้ด แต๊ด แตน แตน”

      ผ่านไปสองปีแล้วยังแค้นฝังหุ่นไม่หาย โห.. ทำไมถึงเป็นคนช่างจำเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ อดีตคือความฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วฝันนั้นก็หมดไปแล้ว เคยไหมบางคืนเราฝันเรื่องทุเรศมากเลย ในฝันนั้นไม่รู้ตัวเองทำเข้าไปได้ไงน่าขายหน้าตายชัก แต่พอตื่นมาเราไม่เห็นโกรธตัวเองข้ามภาพข้ามชาติอย่างตอนโดนดูดหัวแม่เท้าเลย เพราะเรารู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน

     ดังนั้น บทสรุปที่หนึ่ง ที่หมอสันต์จะสอนคุณ ก็คืออดีตคือความฝัน มันไม่ใช่ความจริงแล้ว ไม่มีแล้ว บ๋อแบ๋ แต่ที่มันยังโผล่มาในใจเราได้เพราะมันถูกเก็บไว้เป็นความจำ การทวนความจำเป็นแค่ความคิด ดังนั้นให้หัดวางความคิด เมื่อเรื่องนี้โผล่ขึ้นมาก็ให้วางซะ โผล่ขึ้นมาก็วางซะ เดี๋ยวมันก็จะเลิกโผล่ไปเอง

     ผมเข้าใจว่าคุณเสียความรู้สึก ขยะแขยง และโกรธในเรื่องที่ผ่านมา แต่มันก็ผ่านไปแล้ว คนเราไม่ควรคร่ำครวญถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ควรอยู่กับปัจจุบัน ดำเนินชีวิตไปข้างหน้า ระหว่างการบ่มเพาะความคิดแค้นซ้ำซากและหาทางแก้แค้นไม่เลิกรา กับการลืมเรื่องนี้เสียแล้วใช้ชีวิตที่ดีๆของเราต่อไปดีกว่า ผมแนะนำว่าการลืมเรืื่องนี้เสียชีวิตของเราจะเป็นสุขมากขึ้น ขณะที่การคิดแค้นซ้ำซากและหาทางแก้แค้นจะทำให้ชีวิตเรามีแต่ความทุกข์ใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ และท้ายที่สุดจะจบด้วยการทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่น ซึ่งไม่มีใครได้ประโยชน์เลย มีแต่จะทำให้พ่อแม่ที่รักเราเสียใจ

     2.   ถูกดูดหัวแม่เท้าแล้วปักใจเชื่อว่าตัวเองเสียซิงให้กะเทย โห.. ตรงนี้มันเป็น “คอนเซ็พท์” นะ มันไม่ใช่เป็นความจริง คอนเซ็พท์คือความคิดเรื่องย่อยๆหลายเรื่องผูกโยงเข้าเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตุเป็นตะ เป็นตรรกะล็อกจิก เช่น

– การมีเซ็กซ์ครั้งแรกหรือเสียซิง (ผมชอบศัพท์คำนี้แฮะ) กับกระเทยเป็นการง่าวและซวยซุดหัวซุดตีน
– การถูกกระเทยดูดเท้าเป็นการมีเซ็กซ์กับกระเทย
– การถูกกระเทยดูดเท้าจึงเป็นการเสียซิงให้กระเทยซึ่งถือเป็นความง่าวและซวยซุดหัวซุดตีน

– ซ.ต.พ.

     ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นคอนเซ็พท์ กล่าวคือเป็นชุดของความคิดที่เราสมมุติเองเป็นตุเป็นตะรับกันเป็นลูกระนาด ยังมีคอนเซ็พท์อีกหลายเรื่องที่อยู่ในหัวของคุณ เช่น คนชั่วจะได้ดีไม่ได้ เวรกรรมต้องมีจริง คนหน้าไหว้หลังหลอกสมควรตาย ฯลฯ การมีคอนเซ็พท์ในหัวไม่ใช่เรื่องซีเรียสมากมายดอก แต่การเชื่อคอนเซ็พท์ว่าเป็นของจริงนี่สิเป็นเรื่องซีเรียส เพราะจะทำให้คุณเป็นบ้าได้แน่นอน จะบ้าดีหรือบ้าชั่วก็ไม่รู้ แต่บ้าได้ก็แล้วกัน

     ดังนั้น บทสรุปที่สอง ที่หมอสันต์จะสอนคุณก็คือให้เข้าใจว่าคอนเซ็พท์เป็นเพียงความคิดซึ่งไม่ใช่ความจริง อย่าไปปักใจเชื่อในคอนเซ็พท์ เราอาจทำตามคอนเซ็พท์บางเรื่องเพื่อให้ตัวเราเป็นพลเมืองดีในสังคม แต่อย่าปักใจเชื่อว่าคอนเซ็พท์เหล่านั้นมันเป็นเรื่องจริง เมื่อใดที่ความทุกข์จากความเชื่อในคอนเซ็พท์เกิดขึ้นในหัว ให้ตั้งสติว่าคอนเซ็พท์เป็นแค่ความคิดนะ ให้วางความคิดลง ทุกอย่างก็จะหายไปในอากาศเอง และเมื่อคนเลวทำเลวแล้วยังได้ดี ก็อย่าไปหัวเสียว่าทำไมคอนเซ็พท์เรื่องทำชั่วได้ชั่วจึงไม่เวอร์ค ก็เพราะมันเป็นแค่คอนเซ็พท์ มันเวอร์คบ้างไม่เวอร์คบ้าง ก็ยอมรับมันตามที่มันเป็นเถอะ เพราะสิ่งที่เป็นอยู่ตรงหน้าแล้วนี้คือของจริง เป็นประสบการณ์จริง แต่คอนเซ็พท์เป็นแค่ความคิด อย่าไปอินกับคอนเซ็พท์เกินความเป็นจริง ที่คนเราทำสงครามฆ่าแกงกันทุกวันนี้ก็เพราะอินกับคอนเซ็พท์เกินความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่นหากคุณอินกับคอนเซ็พท์ทำชั่วได้ชั่วมากๆ เมื่อคนทำชั่วมันไม่ได้ชั่วคุณก็จะขโมยปืนของคุณพ่อไปจัดการให้มันได้ชั่วซะเอง แล้วผลที่จะตามมาคืออะไร ผลก็คือความทุกข์ของทุกๆคน โดยเฉพาะของพ่อแม่ของเราเอง มันคุ้มกันซะที่ไหน

   3. ถูกดูดหัวแม่เท้าแล้วแค้น อยากเอาคืน อยากให้เขาตาย ยิ่งถ้าตายโหงโดนอุบัติยิ่งดี ความคิดนี้มันเริ่มแรงขึ้นๆ ถามว่าคุณเป็นบ้าไปหรือเปล่า ตอบว่ามีส่วนถูกนะครับ คุณกำลังจะเป็นบ้านะ เพราะการย้ำคิด คือคุณกำลังกินยาพิษ แต่จะให้หมอตุ๊ดตาย ท้ายที่สุดคนที่จะตายคือคุณ ไม่ใช่หมอตุ๊ด

     ดังนั้น บทสรุปที่สาม ที่หมอสันต์จะสอนคุณก็คือการที่คุณให้อภัยเขาแล้วตัวเองยังไม่หายแค้นแสดงว่าคุณยังให้อภัยไม่เป็น ให้เอาตรงนี้เป็นบทเรียนแล้วลองหัดให้อภัยใหม่ ครั้งที่แล้วให้อภัยไม่ถูกสะเป๊ค เอ้า ทดลองให้อภัยอีกที อีกที อีกที นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู โอม..นะโมพุทธายะ นะมะอะอุ หิ หิ พูดเล่น เดี๋ยวเด็กจะเถรตรงทำตาม ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณท่องนะโมพุทธายะดอก แต่จะสอนคุณว่าชีวิตนี้อย่าไปแยกแยะว่านั่นเป็นเรานี่เป็นเขาให้มากนักเลย อากาศที่เขาหายใจออกมา เดี๋ยวเราก็หายใจเข้าไป อึที่เขาถ่ายออกมา เดี๋ยวมันก็จะกลายเป็นต้นไม้หรือเนื้อหมูเนื้อวัวให้เรากินเข้าไป ร่างกายของเรากับของคนอื่นเนี่ยแยกกันออกให้เด็ดขาดได้ซะที่ไหน ยิ่งความคิดจิตใจที่เหมือนลมในท้องฟ้าด้วยแล้ว มันแลกเปลี่ยนกันไปกันมาเป็นว่าเล่น เผลอๆมันจะเป็นลมที่พัดมาจากแหล่งเดียวกันซะอีกด้วย ดังนั้นให้คิดเสียว่าเราต่างก็เป็นสัตว์ร่วมโลกที่ล้วนมีรากเหง้าเดียวกัน ผิดพลาดกันไปแล้ว ก็ให้อภัยแก่กันเถอะ ให้คุณฝึกให้อภัย ฝึกจนคุณให้อภัยเป็น แล้วยาพิษแห่งความย้ำคิดที่คุณเผลอกินก็จะหมดฤทธิ์ไปเอง การให้อภัย มองอีกด้านหนึ่งก็คือการฝึกยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว  (surrender) นี่เป็นกลเม็ดขึ้นสุดยอดของการใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่ใช่การไปกัดฟันขุ่นแค้นและจ้องหาโอกาสแก้แค้น

     4. ถามว่าควรแจ้งที่ทำงานเขาไหม ตอบว่า อ้าว เรากำลังทดลองให้อภัยให้เป็นอยู่นะ จะไปแจ้งไปเจิ้งอะไรอีกละ ผมเห็นด้วยกับคุณแม่ของคุณว่าอย่าทำให้เรื่องมันมากขึ้นไปอีกเลย มีแต่จะทำให้เราเป็นทุกข์มากขึ้น ความเสียหายแค่นี้มันไม่ได้ทำร้ายเรามากมากอะไรเลยหากเราไม่จดจำแล้วย้ำคิดถึงมันอยู่นั่นแล้ว แล้วมันก็ผ่านมาแล้วตั้งสองปี คิดเสียว่าถูกหมาเลียก็แล้วกัน ไม่คุ้มที่จะดึงเราไปคิดถึงคนอย่างนั้นอีกหรอก อีกอย่างหนึ่งถึงคุณแจ้งไป ทั้งระเบียบราชการก็ดี พรบ.การประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภาก็ดี เขาไม่มีบทลงโทษแพทย์ที่ดูดหัวแม่เท้าชาวบ้านนะ ถึงแม้คุณจะหันไปใช้กฎหมายอาญา คำนิยามการพรากผู้เยาว์หรือการกระทำชำเราเด็กก็ไม่ได้รวมการดูดหัวแม่เท้าเช่นกัน ดังนั้นผมแนะนำว่าอย่าเลย

          คุณอาจจะฮึดฮัดอยากบอกว่า

     “ยังไงผมต้องเปิดโปงให้โลกรู้ว่าหมอคนนี้เป็นตุ๊ดให้ได้ อย่างน้อยผมจะไปป่าวประกาศที่โรงพยาบาลของเขาให้รู้ทั่วกันว่าหมอคนนี้เป็นตุ๊ด”

     หิ หิ พี่ๆพยาบาลฟังแล้วอาจจะบอกคุณว่า

    “น้อง ข้อนั้นพี่รู้แล้ว..ว  แต่ข้อที่พี่ยังไม่รู้คือหมอคนไหนไม่เป็นตุ๊ดบ้าง น้องบอกพี่เอาบุญหน่อยดิ”  

    ฮะ ฮะ ฮ่า  แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น..

     (ขอโทษ หมอสันต์พูดเล่นเลอะเทอะ) ในทางกลับกัน แทนที่จะย้ำคิดและต่อความยาวหรือจองล้างจองผลาญ ผมแนะนำให้คุณใช้เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสที่จะได้ฝึกวางความคิด เพื่อจะได้ไปอยู่กับความรู้ตัว วางอดีตอนาคต ไปอยู่กับปัจจุบัน ฝึกทำจิตที่ขุ่นมัวให้มีสมาธิและผ่องใส ในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปภายหน้า โอกาสจะได้เจอมนุษย์พันธ์ตะกวดยังมีอีกมากมายหลายแบบ คุณจะได้มีภูมิต้านทาน ผมเคยเขียนเรื่องการฝึกอยู่กับปัจจุบันไปแล้วบ่อยมาก เมื่อมีเวลาว่างให้คุณย้อนหาอ่านดูบทความเก่าๆในบล็อก

 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

………………………………………….

จดหมายจากผู้อ่าน 1
คิดถึงเรื่องตัวเองเลยค่ะ สามีจากไปเพราะมะเร็ง 5 ปี ยังแค้นที่เค้าไม่ขอโทษ ที่มีเมียน้อยถึง 3 คน วันเสียพาลูกมาที่ รพ.ด้วย รู้สึกทั้งรักทั้งแค้น ทรมานมา 5 ปีแล้ว ยังปล่อยวางไม่ได้สักที