Latest

อาจารย์คณะแพทย์ที่หมดไฟ

ถึง อ.นพ.สันต์ คะ
หนูเป็นอาจารย์ที่คณะแพทย์แห่งหนึ่งค่ะ แต่หนูไม่ใช่แพทย์ หนูได้รับทุนไปเรียนปริญญาเอกต่างประเทศ และกลับมาทำงานได้สิบห้าปีกว่า สอนนักศึกษาแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัช และคณะอื่นๆ
หนูมีความสุขกับหน้าที่การสอนมากที่สุดค่ะ นับได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษามาโดยตลอด เร็วๆนี้ ได้มีโอกาสช่วยเหลือนักศึกษาที่มีปัญหาสุขภาพจิตหลายรูปแบบ แต่อาจารย์บางท่านไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าแนวทางของดิฉัน ถึงแม้จะทำให้นักศึกษาเรียนจนจบได้ แต่ก็เป็นได้แค่หมอที่ไร้คุณภาพเท่านั้น และจะเป็นปัญหาในอนาคต แต่หนูว่าควรให้เขาได้รับการรักษา และมีอาจารย์ประเมินการรักษาระหว่างเรียนด้วย ส่วนนักศึกษาที่ดีขึ้นจะเรียนต่อได้หรือไม่ เป็นเรื่องของความสามารถของเด็กเอง ซึ่งหนูเชื่อว่าถ้าสภาพจิตใจพร้อม นักศึกษาทุกคนมีศักยภาพค่ะ
หนูเชื่อว่าอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องปัญหาทางจิต ไม่ว่าจะเรียนสูงแค่ไหน เป็นแพทย์หรือไม่ก็ตาม
ช่วงนี้หนูคิดว่าอาชีพอาจารย์ของหนูกำลังจะจบแล้วค่ะ เพราะมันทำให้หนูเป็นทุกข์มาก ไม่สามารถวางอัตตาได้ สิ่งที่รับไม่ได้คือ เห็นอาจารย์ระดับสูงบางคนรวมกลุ่มกันเปลี่ยนตัวเลขเพื่อให้นักศึกษาบางคนสอบตก ปรับเปลี่ยนวิธีการวัดผลเพื่อต้องการผลงานวิจัยตีพิมพ์ ให้ได้เลื่อนขั้นตำแหน่งทางวิชาการ อาจารย์ที่ทำงานดีถูกหลอกใช้หมดค่ะ รวมถึงหนูด้วย มิหนำซ้ำยังโดนต่อว่า เสียๆหายๆ อย่างไร้เหตุผล ทั้งๆที่หนูไม่ผิด
หนูไม่รู้ว่าจะเป็นอาจารย์อีกได้นานแค่ไหน หนูเชื่อเรื่องเวรกรรมอย่างลึกซึ้งค่ะ คิดแล้วคิดอีก ทำใจแล้วทำใจอีก แต่ถ้ารู้ว่าพวกเขาเลวขนาดนั้น การทำเฉย ปล่อยวาง และปล่อยให้เขาทำชั่วต่อไป มันเป็นทุกข์ค่ะ  ถึงขั้นที่คิดจะเปลี่ยนอาชีพเลยค่ะ ตอนนี้กำลังมองหาอาชีพใหม่ ที่มีเวลามาดูแลแม่วัยชราที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หนูควรทำอย่างไรดีคะ ในฐานะ อ. นพ.สันต์ เป็นอาจารย์แพทย์คนหนึ่งค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
อาจารย์คนหนึ่งที่หมดไฟ

…………………………………………………………….

ตอบครับ

     แฟนบล็อกหมอสันต์นี้มีทุกเพศทุกวัย ที่ยังเป็นเด็กเอียดยังเรียนหนังสืออยู่ก็มาก จดหมายบางฉบับที่เป็นชีวิตจริงแต่เป็นความจริงของโลกในด้านที่ไม่น่ารักและอาจจะทำลายขวัญผู้อ่านมาก ผมก็มักจะทิ้งเสีย ฉบับนี้ก็เช่นกัน ทิ้งไปแล้วแต่อะไรบางอย่างฉุกใจให้หยิบกลับขึ้นมาตอบใหม่ อาจเป็นเพราะมันเป็นเรื่องในโรงเรียนแพทย์ ไม่ว่าโรงเรียนนั้นจะอยู่ที่ส่วนใดของประเทศก็ตาม มันก็เป็นเสมือนตัวแทนบ้านที่เคยเลี้ยงดูอบรมผมมา จึงกลับไปเอาจดหมายจากถังขยะมาตอบใหม่หลังจากที่ลบทิ้งไปได้ไม่ถึงห้าวินาที

     ในการตอบจดหมายฉบับนี้ขอให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นการคุยกันระหว่างผมซึ่งเป็นคนแก่ผ่านโลกมาถึงวัยต่อคิวเข้าโลงแล้ว กับอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เรียนสูงจบปริญญาเอกมาแล้ว ดังนั้นเนื้อหาสาระมันอาจจะข้ามพ้นคอนเซ็พท์พื้นฐานในทางสังคมที่เราพร่ำสอนเยาวชนไปไกล บทความนี้จึงไม่เหมาะกับเด็ก ดังนั้น คนที่ชอบอ่านบทความของหมอสันต์ให้ลูกฟังในรถ ขอให้ข้ามบทความนี้ไป อย่าอ่านให้เด็กฟังนะ

     1. พูดถึงโลกที่เราอยู่นี้ก่อนนะ ในแต่ละสาขาอาชีพที่มีคนทำงานเป็นคนระดับนักวิชาชีพ รวมทั้งอาจารย์แพทย์ในมหาวิทยาลัยด้วย คนทำงานในระดับนี้ทุกคนจะมีสองบุคลิกอยู่ในคนๆเดียวกัน ด้านหนึ่งคือการเป็นมืออาชีพ เป็นอาจารย์ที่ตั้งใจถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ศิษย์เอาไปสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อไปภายหน้า เปี่ยมด้วยพรหมวิหารสี่มีเมตตากรุณาและน้ำอดน้ำทนต่อศิษย์ อีกด้านหนึ่งคือการเป็นคนที่ติดบ่วงอัตตาของตัวเอง คือการเป็นคนอยากได้อยากดีอยากเด่น โกงได้เป็นโกง เบี้ยวได้เป็นเบี้ยว ชอบเอาเปรียบ ตัดหน้า บ้าอำนาจ อิจฉาตาร้อน ทั้งสองคนนี้อยู่ในคนคนเดียวกัน จะออกทางไหนมากทางไหนน้อยก็แตกต่างกันไปบ้างในแต่ละคน ที่สังคมที่พออยู่กันได้ทุกวันนี้ก็เพราะกฎกติกาในภาพรวมบีบให้ทุกคนแสดงออกทางด้านดีมากกว่าทางด้านเสีย แต่ด้านเสียนั้นไม่ได้ไปไหนหรอก ซุ่มรออยู่ที่นั่นแหละ ตราบใดที่คนคนนั้นยังปักใจเชื่อว่าอัตตาหรือความเป็นบุคคลของตนนี้เป็นเรื่องจริงเป็นของจริง

     ดังนั้นการที่คุณเห็นอาจารย์แพทย์ต่อต้านคุณไม่ให้ช่วยให้นักศึกษาแพทย์ที่มีปัญหาทางจิตให้เรียนจบก็ดี เห็นอาจารย์แพทย์แสดงความบ้าอำนาจโดยการรวมหัวกันแก้คะแนนให้นักศึกษาแพทย์หัวแข็งบางคนสอบตกก็ดี เห็นอาจารย์แพทย์ปลอมผลงานวิจัยเพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่งวิชาการก็ดี เห็นอาจารย์แก่หลอกใช้หรือปล้นผลงานวิจัยของอาจารย์รุ่นเด็กก็ดี ทั้งหมดนี้คือคุณมองเห็นด้านเสียของคน ประเด็นมันอยู่ที่คุณเห็นแล้วคุณเป็นทุกข์จนจะอยู่ทำงานต่อไปไม่ได้

    ผมขอนอกเรื่องเพื่อเล่าเรื่องอะไรให้คุณฟังสักหน่อยนะ เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องของคนในแวดวงของการแสวงหาความหลุดพ้น พูดง่ายๆว่าตัวละครในเรื่องนี้เป็นพวกแก่ธรรมะระดับลุ้นการบรรลุอรหันต์กันทุกคน เป็นเรื่องของเว่ยหล่าง ซึ่งเป็นประมุขคนดังของนิกายเซ็นในประเทศจีนสมัยกลาง (ประมาณพ.ศ. 1000) ธรรมดาการสืบทอดความเป็นประมุขทำโดยประมุขเก่าเลือกประมุขใหม่ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนบรรลุธรรมแล้วมารับมอบบาตร ไม้เท้า และจีวรที่มอบต่อๆกับมาตั้งแต่ประมุของค์แรกให้ การได้เป็นประมุขของนิกายเซ็นนี้เป็นที่หมายปองของเหล่าภิกษุผู้แสวงหาโมกขธรรมทั้งหลาย เพราะมันหมายถึงความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจในสายอาชีพพระ เว่ยหล่างนั้นเป็นคนตัดฟืน มาสมัครบวชเป็นพระเพื่อศึกษาธรรม มาถึงก็พูดจาคมคายแสดงความหลักแหลม เจ้าอาวาสซึ่งเป็นประมุขได้ยินเข้าเห็นท่าไม่ดีก็รีบไล่ให้ไปผ่าฟืนอยู่ในครัวหลังวัดไม่ให้บวชพระ นานๆเจ้าอาวาสจึงจะแกล้งเกร่ๆเข้าไปในครัว ถามคำถามคนตัดฟืนคำสองคำ แล้วสอนสั้นๆสองสามคำ วันหนึ่งก็ได้เวลาที่เจ้าอาวาสต้องหาผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำโดยการให้ศิษย์ทั้งสำนักเขียนโฉลกเพื่อแสดงภูมิธรรมของตน ใครที่เขียนอะไรที่อาจารย์อ่านแล้วตัดสินว่าบรรลุธรรมแล้วก็จะได้เป็นประมุขคนต่อไป ศิษย์ตัวเต็งซึ่งเป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนธรรมะแก่ศิษย์รุ่นน้องๆทุกวันอยู่แล้ว ได้เขียนโฉลกว่า

“ใจเราเหมือนกระจกใส

เราหมั่นปัดกวาดเช็ดถูทุกวันไม่ให้ฝุ่นลงเกาะ”

เจ้าอาวาสผ่านมาเห็นก็ผงกหัวเป็นเชิงยอมรับภูมิธรรมของศิษย์เอก

พอตกกลางคืนเว่ยหล่างคนตัดฟืนขอให้เณรอ่านโฉลกนั้นให้ฟัง ฟังแล้วก็ส่ายหัวว่าไม่ใช่ แล้วขอให้เณรซึ่งเขียนหนังสือเป็นเอาถ่านฟื้นขีดเขียนโฉลกต่อท้ายว่า

“ไม่มีกระจก

แล้วฝุ่นจะลงเกาะอะไร”

     รุ่งเช้าเจ้าอาวาสมาเห็นเข้าก็ตกใจร้องเอะอะว่าเฮ้ย คนโง่ที่ไหนมาเขียนโฉลกไร้สาระ แล้วสั่งให้เอาเกี้ยะลบโฉลกนั้นออกเสีย สองวันต่อมาเจ้าอาวาสแกล้งเกร่ไปที่ครัวอีก แล้วแอบสั่งให้เว่ยหล่างไปหาตอนตีสอง แล้วมอบบาตร จีวร และไม้เท้าให้เว่ยหล่างเป็นประมุขคนต่อไป  พร้อมสั่งให้รีบหนีไปในคืนนั้นก่อนที่จะถูกพวกลูกศิษย์ลูกอิจฉาคนอื่นๆรุมตื๊บตายเสียก่อน ลูกศิษย์อื่นเมื่อทราบก็ออกตามล่าแต่เว่ยหล่างหนีตายไปได้หวุดหวิด จนอีกหลายสิบปีต่อมาจึงได้ไปบวชที่วัดอื่นแล้วแสดงตัวเป็นประมุขคนใหม่และได้สั่งสอนธรรมะที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น “สูตรของเว่ยหล่าง” ซึ่งมีชื่อเสียงมากนั่นเอง ที่เล่าให้ฟังเนี่ยเพื่อให้เห็นว่านี่ขนาดในแวดวงของคนที่ใกล้จะบรรลุธรรมกันแล้วนะ ความอิจฉาตาร้อนชิงดีชิงเด่นยังมีมากจนแค่การจะแต่งตั้งบรรจุตำแหน่งแต่ละครั้งต้องทำกันอย่างยากเย็นขนาดนี้

    2. ตีวงให้แคบลงแค่เรื่องที่ควรค่าแก่การสนใจ ผมไม่สนใจเรื่องที่คุณเล่าในมหาวิทยาลัยหรอก เหมือนกับสมัยลูกชายยังเด็กเรียนชั้นประถม กลับจากโรงเรียนเขาก็เล่าเรื่องต่างๆ ผมก็ฟังแบบเออ เออ เพราะผมก็พอเดาได้ว่าเรื่องราวในชั้นเรียนระดับประถมแต่ละวันมันจะมีอะไรบ้าง แต่ที่ผมสนใจมากกว่าคือคำพูดของคุณที่ว่าคุณเชื่อเรื่องเวรกรรมอย่างลึกซึ้งและรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น อ้าว..คุณก็เป็นนักคิดกับเขาเหมือนกันเหรอเนี่ย เรื่องเวรกรรมเป็นคอนเซ็พท์นะคุณ คือเป็นรูปแบบหนึ่งของความคิด คุณเชื่อว่าเวรกรรมมีจริงหากคุณหลับหูหลับตาให้กับความชั่วที่กระทำต่อหน้าคุณนี้บาปก็จะตกแก่คุณ ตัวตนที่คุณวาดไว้ก็จะเสียหายตกนรก สู้หนีไปเสียดีกว่า คือคุณก็ปักใจเชื่อในคอนเซ็พท์เหมียลกัลล..แล้วมันจะไปต่างอะไรจากอาจารย์ที่ปลอมตัวเลขผลงานวิจัยเพื่อเอาตำแหน่งวิชาการละ เขาทำไปเพราะเชื่อในคอนเซ็พท์เช่นกัน คือเชื่อในคอนเซ็พท์ที่ว่าความเป็นบุคคลของเขานี้มันเป็นความจริง หากได้ตำแหน่งวิชาการ ความเป็นบุคคลของเขาก็จะยิ่งสูงเด่นได้รับความเคารพบูชาซึ่งจะทำให้เขาเป็นสุขมากขึ้น รูปแบบการใช้ชีวิตของเขาก็เหมือนคุณเลยนะ คือเชื่อและมอบกายถวายชีวิตให้กับความเชื่อของตัวเอง โดยไม่ฉุกใจคิดสักนิดว่าความเชื่อนั้นมันเป็นเพียงความคิด

     การที่คุณเองยังยึดติดในความคิด ไม่ว่าจะในรูปแบบของคอนเซ็พท์เวรกรรมดีชั่วอะไรก็แล้วแต่ เป็นประเด็นที่ควรค่าแก่การสนใจสำหรับผม เพราะผมกำลังชี้แนะทางที่จะให้คุณหายทุกข์ ซึ่งมันจะต้องเริ่มด้วยการวางความคิดทั้งหลายลงให้หมดก่อน เวลาที่เหมาะที่จะหัดวางความคิดก็คือเวลาที่ความคิดมันมากจนคุณสับสนวุ่นวายพะว้าพะวังวินาทีต่อวินาทีอย่างตอนนี้นี่แหละ เรื่องตัวเองถูกอัดเพราะไปช่วยแก้ปัญหาให้ลูกศิษย์ยังไม่ทันจาง อ้าวเรื่องเพื่อนอาจารย์แก้คะแนนเพื่อเอานักศึกษาที่สอบผ่านแล้วให้สอบตกมาให้เห็นตำตาอีกละ ไหนจะเรื่องถูกหลอกถูกปล้นผลงานวิชาการ ฯลฯ โฮ้ย ความคิดสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นติดต่อกันในใจไม่หยุดหย่อนจนคุณไม่รู้ว่าคุณกำลังอยู่ที่ตรงไหน จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้หรือเปล่า

     ประหนึ่งว่าวันหนึ่งคุณเปลี่ยนที่นอนไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่ห้องนอนปกติ พอตื่นขึ้นมาขณะงัวเงียคุณสับสนว่าเอ๊ะทางขวามือนี่ไม่ใช่ประตูห้องน้ำนี่ แล้วห้องนี้ทำไมมันใหญ่ นี่คุณกำลังอยู่ที่ไหนกัน

     ผมจะบอกคุณว่าในทางจิตวิญญาณภาวะวุ่นวายใจจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนอย่างนั้นคือปากประตูสู่ความหลุดพ้นเลยทีเดียวนะ เพราะขณะที่ไม่รู้ว่า “คุณกำลังอยู่ที่ไหน” แต่หากคุณเพียงหยุดความพยายามตีความว่าที่นี่มันที่ไหน หยุดนิ่งสักพัก มันก็จะเหลือแต่ความรู้สึกว่า “คุณกำลังอยู่ (being)” นั่นแหละ ตรงนั้นแหละ คือความหลุดพ้น

     เออ พูดอย่างนี้แล้วจะเข้าใจไหมเนี่ย

     คือในการมีชีวิตอยู่นี้คุณอย่าไปว้าวุ่นกับเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุกฎเกณฑ์และสมมุติบัญญัติต่างๆในทางโลกเสียจนไม่เหลือเวลา “อยู่” เฉยๆแม้เพียงนาทีเดียว นั่นเป็นชีวิตของคนบ้าขนานแท้ ความระยำมันก็มีบุญคุณนะ หรือพูดอีกอย่างว่ามันมีประโยชน์นะ การประสบพบเห็นความระยำมันเป็นบันไดทางลัดที่จะทำให้คุณบรรลุความหลุดพ้นในทางจิตวิญญาณ เพราะการยอมรับความระยำว่ามีอยู่ เท่ากับยอมรับว่าอัตตาหรือความเป็นบุคคลของคุณเองที่คุณเฝ้าถนอมนั้นคุณเริ่มยอมรับแล้วว่ามันไม่ได้สำคัญมาก หรือถ้าเห็นได้ลึกซึ้งกว่านั้นก็อาจจะถึงกับเห็นว่าอัตตาของคุณนั้นมันไม่ใช่ของจริง

     3. คำแนะนำในการแก้ปัญหา ให้คุณยอมรับความไม่ถูกต้องเหล่านั้นก่อนว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว มันเป็นของที่เกิดขึ้นได้ ที่คุณรู้สึกแย่มากก็เพราะใจของคุณวาดภาพให้มันแย่ทั้งสิ้น อย่าเพิ่งลนลานไปพยายามแก้ไขอะไร คุณต้องยอมรับว่าของต่างๆในโลกนี้มีอยู่มากมายที่คุณไปควบคุมบังคับแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ให้คุณลองยอมรับมันก่อน อย่าผลักไสมันทิ้งราวกับว่ามันเป็นความเลวร้ายหรือเป็นลบอย่างเหลือแสน อย่าทำอย่างนั้น นิ่ง แล้วยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนิ่งๆและนุ่มๆก่อน แล้วคุณจะประหลาดใจว่าเออชีวิตของคุณนี้นอกจากสิ่งแย่ๆพวกนี้แล้วมันก็มีสิ่งดีๆโผล่ขึ้นมาแลกเปลี่ยนเสมอแฮะ เพราะความจริงชีวิตนี้มันดำเนินไปของมันเองแบบอัตโนมัติ เหมือนเวลาข้าวจะงอก ดอกไม้จะบาน มันเป็นของมันเอง ข้าวหรือดอกไม้มันไม่ได้จงใจหรือตั้งใจจะให้มันเป็นเช่นนั้น ชีวิตมันมีพลังที่ละเอียดอ่อนขับเคลื่อนอยู่ข้างหลัง คุณอย่าไปเข้าใจว่าคุณขยันไปทำโน่นทำนี่บนสมมุติบัญญัติต่างๆที่คุณหลงเชื่อหรือหลงยึดถือแล้วคุณจะควบคุมหรือหันเหชีวิตของคุณได้เบ็ดเสร็จ เปล่าเลย  มันมีความเป็นไปได้อื่นๆที่คุณที่ผมไม่รู้ขับเคลื่อนอยู่ข้างหลังอีกมาก แม้ในระดับตื้นๆทางโลก แต่ละเรื่องมันก็มีมุมให้หยิบฉวยหลายมุม เรื่องเดียวกันนี้หากไปเกิดกับคนอื่นเขาอาจจะเห็นมันเป็นเรื่องท้าทายสนุกสนานก็ได้

     การยอมรับความระยำไม่ใช่ทำด้วยการพยายามคิดหาเหตุผลมากล่อมให้ใจตัวเองยอมรับนะ นั่นเป็นการสร้างความคิดใหม่ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถาวรถมทับเข้ามาบนความคิดเก่าที่ไม่ถาวรอยู่แล้วอีก มันจะไปแก้ปัญหาอย่างถาวรได้อย่างไร การยอมรับความระยำต้องทำโดยการวางความคิดใดๆที่เกี่ยวข้องกับอัตตาของคุณลง ก็อัตตาที่ว่าเป็นคุณเป็นคนบ้าเวรกรรมนั่นแหละ วางหมายถึงว่าไม่สนใจ ไม่หยิบฉวย หรืือหันหลังให้ วางลงให้หมด จนไม่เหลือความคิดเลย ไม่เหลือแม้แต่ความเป็นบุคคลชื่อนั้นชื่อนี้ของคุณซึ่งก็เป็นความคิดเหมือนกัน วางไปให้หมดจนเหลือแต่ความว่างเปล่ารับรู้สิ่งต่างๆอย่างไร้ความเกี่ยวข้องรู้สึกรู้สาใดๆ ประหนึ่งว่าทั้งชีวิตคุณนี้เหลือแต่ลูกตาสองลูกลอยเท้งเต้งมองดูสิ่งต่างๆอยู่กลางอากาศ แม้แต่ร่างกายซึ่งบ่งบอกว่าเป็นตัวคุณก็วางไปเสียด้วย เหลือแต่ความว่างที่มีความตื่นและความสามารถรับรู้อยู่ก็พอแล้ว

     ตรงนั้นแหละ ผมหมายถึงความว่างที่มีความตื่นและความสามารถรับรู้ คือตัวคุณจริงๆหลังจากที่ปอกอัตตาทิ้งไปแล้ว ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรให้ห่วงกังวล ไม่มีอะไรจะได้จะเสีย เพราะมันเป็นแค่ความว่าง คุณอยู่ตรงนั้นคุณยิ้มได้ หัวเราะได้ และมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องรีบร้อนลนลานตะเกียกตะกายไขว่คว้าหรือปกป้องอะไรเลย พอคุณอยู่ตรงนั้นได้ ยิ้มได้ หัวเราะได้แล้ว ค่อยทะยอยหยิบปัญหาในขอบเขตอำนาจที่คุณทำได้ขึ้นมาแก้ทีละปัญหา แก้ได้แค่ไหนก็แค่นั้น แก้ไม่ได้ก็ทิ้งไว้ไม่ต้องแก้ สำคัญที่คุณทำออกมาจากความว่างที่มีแต่ความตื่นและความสามารถรับรู้โดยไม่มีความคิดปกป้องอัตตาของคุณมาเกี่ยวข้อง แล้วอะไรๆมันก็จะดีขึ้นของมันเอง ผมอยู่มาจนแก่ปูนนี้แล้วบอกคุณได้อย่างมั่นใจหนึ่งอย่างว่าชีวิตคนเรานี้มันไม่่มีหรอกที่จะจนตรอกจนไม่มีทางไป มันมีทางไปเสมอ ยิ่งถ้าหยุดนิ่งเป็น ทางไปก็ยิ่งจะเปิดโล่งโถงให้ทุกทิศทุกทาง

     คุณอาจจะนึกแย้งหรือนึกสงสัยว่าอัตตาซึ่งเรายึดถือมานานเนี่ยมันวางกันได้ง่ายๆเลยเหรอ การตั้งข้อสงสัยแบบนี้เป็นกับดักของความคิดนะ มันชวนคุณถกคอนเซ็พท์ ชวนคุณศึกษาเพิ่มเติม เพื่อที่คุณจะได้ไม่ลงมือทำตอนนี้ ถ้าคุณสงสัยว่าอัตตามันไม่น่าจะวางกันได้ง่ายๆ ผมตอบเป็นคำถามย้อนกลับว่าคุณได้ลองทำแล้วหรือยัง ลองลงมือทำดูก่อน ได้ไม่ได้ค่อยมาว่ากัน อย่าเอาแต่สงสัยโดยไม่ได้ลงมือทำ ยิ่งถ้าจะไปเกี่ยงให้อาจารย์คนอื่นซึ่งทำสิ่งไม่ดีให้เลิกทำไม่ดีเสียก่อนยิ่งไร้สาระใหญ่เลย เพราะการแก้ปัญหาความทุกข์ของคุณ ต้องแก้ที่ใจของคุณ ไม่ใช่ไปแก้ที่พฤติกรรมของคนอื่น

     ส่วนเรื่องที่คิดจะย้ายหนีหรือเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นนั้นก็เป็นความคิดไร้สาระแบบเด็กๆ คุณจะไปไหนละ ขนาดวัดที่คนล้วนใกล้จะเป็นอรหันต์กันอยู่แล้วเขายังตามฆ่ากันเพื่อเอาตำแหน่งเลย แล้วคุณจะไปอยู่ที่ไหนที่ไม่มีความระยำใดๆจากความบ้าอัตตาของคนให้คุณเห็น อีกอย่างหนึ่งความหลุดพ้นหรือนิพพานเนี่ยมันไม่อาจถึงด้วยการ “ไป” นะ แต่มันถึงด้วยการ “วาง” ความคิด

     โรงเรียนแพทย์ทุกวันนี้ยังมีอาจารย์ดีๆอย่างคุณอยู่อีกแยะ ไม่งั้นเราคงไม่มีหมอที่ดีเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างตอนนี้หรอก คนดีๆในโรงเรียนแพทย์ที่เหลือให้คุณคบหาสมาคมด้วยยังมีอีกมาก หัดมองหาแต่ด้านดีของคน แล้วเพื่อนที่ดีก็จะเข้ามาหา คุณอยู่ที่เดิมนั่นแหละดีแล้ว อย่าไปคิดเรื่องย้ายไปไหนเลย ถ้าคนดีๆอย่างคุณนี้ยอมพ่ายแพ้แก่ความบ้าดีของตัวเอง ต่อไปใครจะมาสอนหมอให้เป็นคนดีละครับ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมนั่งตอบจดหมายนี้ให้คุณ

ปล. ถ้าฝึกวางความคิดเองแล้วไม่สำเร็จ ให้หาโอกาสมาเข้าคอร์ส MBT

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์