Latest

แพทย์ใช้ทุนถามเรื่องจะไปเรียนต่อ

อาจารย์คะ
หนูเป็นหมอใช้ทุนปี 3 กำลังสมัครเรียนต่ออยู่ค่ะ หนูอยากทราบความเห็นของอาจารย์ว่า ถ้าอาจารย์เป็นกรรมการต้องการคนแบบไหนเข้าไปเรียน จะมองผู้สมัครในประเด็นไหนบ้าง
สถาบันที่เราเลือกคงสืบข้อมูลเรามาส่วนหนึ่ง ซึ่งตอนเราเรียนอาจมีดีบ้างไม่ดีบ้างคละๆกันไป แต่พอมาทำงานแล้วเราเปลี่ยนไปมากค่ะ

ตอนนี้หนูเป็นแพทย์ใช้ทุนในระบบสาธารณสุข หลายทีที่ทำงานรู้สึกเหนื่อยล้าและ  burn out แต่พยายามทำงานต่อไปให้ดี ไม่ขาด ไม่ลาถ้าไม่จำเป็น แต่ต้องการไปเรียนต่อส่วนหนึ่งก็ต้องการหลุดพ้นการเป็น GP ค่ะ คงทนไปจนใช้ทุนครบ 3 ปี ขอบคุณสำหรับการแนะนำนะคะ หนูอยากเรียน NeuroMed ค่ะ

ขอแสดงความนับถือ

………………………………………………………..

     ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามนี้ขอนิยามศัพท์ให้คนนอกวงการตามทันก่อนนะ

     GP ย่อมาจากคำว่า General Practitioner แปลว่าแพทย์ทั่วไป หมายถึงคนที่จบแพทย์แล้วไม่ได้ฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาใดสาขาหนึ่ง จบแล้วก็ทำงานยาวเลย แต่สมัยต่อมามีการฝึกอบรมในสาขานี้ขึ้น จึงเรียกผู้จบบอร์ดสาขานี้ว่าแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งหมายถึงแพทย์ทั่วไปนั่นแหละ ไม่ใช่แพทย์วางแผนครอบครัวหรือคุมกำเนิดอย่างที่หลายท่านเข้าใจผิดอยู่

     burn out แปลว่าเอียนการทำงาน หมายถึงคนที่ทำงานไปแล้วเกิดหมดอารมณ์ที่จะทำ บางครั้งเกิดจากการทำอะไรก็ไม่สำเร็จดั่งใจหมาย บางครั้งเกิดจากตัวตนแตกแยก (depersonalization)

     NeuroMed หมายถึงสาขาอายุรกรรมประสาท คืือจบแพทย์แล้วไปฝึกอบรมเป็นแพทย์สาขานี้โดยเฉพาะ ประกอบอาชีพตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อของระบบประสาทและสมองด้วยยา เป็นมนุษย์คนละพันธุ์กับ Neuro ศัลย์ (Neurosurgeon) ซึ่งรักษาโรคระบบเดียวกันแต่ด้วยวิธีการผ่าตัด และเป็นคนละพันธุ์กับจิตแพทย์ (pshychiatrist) ซึ่งประกอบอาชีพรักษาโรคบ้า หิ หิ ขอโทษ พูดใหม่ รักษาโรคทางจิตเวช หมายถึงโรคที่เกิดความผิดเพี้ยนทางความคิด ความจำ การรับรู้ พฤติกรรม หรือการใช้ดุลพินิจ โดยไม่มีหลักฐานว่าเกิดความผิดปกติอะไรในเนื้อเยื่อของระบบประสาทและสมอง

     Resident หมายถึงแพทย์ประจำบ้าน คือแพทย์ที่เรียนจบแล้วเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง ทำงานเป็นผู้ช่วยอาจารย์อยู่ในสาขาใดสาขาหนึ่งนาน สามปีบ้าง ห้าปีบ้าง เจ็ดปีบ้าง สุดแล้วแต่ว่าจะอบรมสาขาที่เรื่องมากหรือเรื่องน้อย

     คราวนี้มาตอบคำถามของคุณหมอ

     1. ถามว่าถ้าผมเป็นกรรมการคัดเลือกคนเข้าเป็นแพทย์ประจำบ้าน ผมจะเลือกคนแบบไหน ตอบว่าอาชีพ resident คืออาชีพขี้ข้า การคัดเลือกคนมาเป็นขี้ข้าผมก็ต้องเลือกคนที่ “ถึก” หรือ “อึด” ทนมือทนตีน และข้อสำคัญคือทน “ปาก” ของเหล่าอาจารย์ได้ เพราะชื่อว่าอาจารย์ย่อมมีปากเป็นเครื่องมือทำอาชีพ ผมหมายถึงเป็นเครื่องมือในการสอนนะ ดังนั้น resident จะต้องเป็นคนมีอารมณ์ที่เสถียร โดยผมจะวินิจฉัยเอาจากการปรากฎกายของเขาหรือเธอว่าเป็นคนยิ้มง่ายหัวเราะง่าย อาจารย์แกล้งพูดแทงใจดำก็รู้จักทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไม่แสดงความโกรธให้เห็น แต่ไม่ใช่ว่าฉลาดจนรู้ทันอาจารย์ไปหมด เพราะชื่อว่าอาจารย์ย่อมไม่โปรดลูกศิษย์ที่รู้มาก ถ้ามีแต่ลูกศิษย์ที่ฉลาดล้ำเลิศแล้วอาจารย์จะไปสอนลิงที่ไหนละถูกแมะ เวลาสัมภาษณ์จึงต้องเก็บงำความฉลาดของตัวเองให้มิด จะงัดออกมาใช้ก็ต่อเมื่อถูกบีบให้จนตรอกเท่านั้น อย่าแสดงความฉลาดในห้องสัมภาษณ์พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะการทำสีหน้าว่ารู้ทันคำถามของอาจารย์เนี่ย ห้ามทำเด็ดขาด

     นอกจากการปรากฎกายด้วยการยิ้มแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมก็สำคัญ ต้องแต่งกายให้อยู่ในบรรทัดฐานของสังคม ไม่มากไม่น้อย ต้องมีบุคลิกที่อ่อนน้อมถ่อมตนด้วย เพราะอาจารย์เวลาสัมภาษณ์เพื่อรับศิษย์ย่อมจะมองหา “เวไนยสัตว์” แปลว่าสัตว์ที่สอนได้ พบอาจารย์ต้องยกมือไหว้ก่อนแม้ว่าอาจารย์บางท่านจะอายุน้อยกว่าเรา อย่าไปถือตัวว่าเป็นหมอใหญ่ใช้ทุนมาครบเจนจบชีวิตมาแล้วอาจารย์เด็กๆที่จบแล้วเรียนต่อเลยอยู่แต่กรุงเทพไม่เคยไปรู้ไปเห็นชีวิตจริงที่บ้านนอกจะมารู้ชีวิตดีกว่าเราได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้ก็เสร็จ

     ผู้ที่ออกหนังสือแนะนำตัวให้เราก็สำคัญ ต้องเลือกคนที่จะแนะนำเราอย่างพิถีพิถัน สองในสามคนต้องเป็นคนระดับสูงของวงการแพทย์ เพราะวงการแพทย์ย่อมเชื่อถือแพทย์อาวุโสที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงมากกว่าแพทย์ทั่วๆไป อย่างน้อยหนึ่งในสามต้องเป็นอาจารย์แพทย์ที่สอนอยู่ในคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่ง เพราะอาจารย์แพทย์จะเชื่ออาจารย์แพทย์ด้วยกันมากกว่าแพทย์ที่ไปประกอบอาชีพอื่น ยิ่งแพทย์ที่ไปเล่นการเมืองด้วยแล้วคุณอย่าไปให้เขาเขียนหนังสือแนะนำตัวเด็ดขาด เพราะคุณจะได้คะแนนลบตั้งแต่เขายังไม่ได้เปิดจดหมายอ่านแล้ว

     อย่างน้อยหนึ่งคนต้องเลือกผู้แนะนำเราที่เขาเห็นว่าเราเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีจริงๆ เดี๋ยวนี้คนไทยชอบธรรมเนียมแบบฝรั่ง คือให้ค่ากับคำแนะนำตัวที่บอกว่าวิเศษเสียจนเลิศลอย สมัยผมจบอินเทอร์น อาจารย์ผู้เขียนคำแนะนำตัวให้ผมไปเมืองนอกเป็นหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ ซึ่งในชีวิตผมเคยเจอท่านเพียงครั้งเดียว คืนนั้นบังเอิญท่านแวะมาดูคนไข้กลางดึกของคืนสุดท้ายในชีวิตอินเทอร์นของผม คือคืนวันที่ 31 มีค. ซึ่งจบเวรก็จะต้องผลัดเปลี่ยนอินเทอร์นรุ่นใหม่ในเช้าวันที่  1 เมย. ท่านเขียนแนะนำผมให้ฝรั่งว่าผม “...เป็นแพทย์ที่มีความรับผิดชอบสูงเยี่ยม” โอ้โฮ อะไรมันจะเกินความจริงไปมากขนาดนั้น ถ้าท่านผู้อ่านรู้ความจริงว่าการประเมินว่ามีความรับผิดชอบสูงเยี่ยมนั้นได้มาจากการเห็นกันเพียงชั่วโมงเดียว ท่านผู้อ่านจะเชื่อคำประเมินนั้นไหมละครับ แต่ว่าไม่ว่าจะจริงเท็จเป็นประการใด จดหมายฉบับนั้ันมันได้ช่วยผมให้หางานได้ง่ายขึ้นมากจริงๆ

     นอกจากหนังสือแนะนำตัวก็ควรจะหา “เส้น” หมายถึงการต่อท่อเข้าถึงและฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งที่เป็นกรรมการสัมภาษณ์ หรืออย่างน้อยก็เป็นอาจารย์ในภาควิชาที่เราจะไปเรียนนั้น เพราะเวลาที่ไม่มีใครรู้จักเราเลย เขาจะถามเอาจากคนวงใน ถ้าเราจิ้มก้องไว้ก่อนก็ได้เปรียบ

     ขณะที่ผมบอกให้วางฟอร์มอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เมื่ออาจารย์เขาเปิดช่องให้ว่าไหนลองบอกมาซิว่าทำไมผมถึงจะต้องเลือกคุณขณะที่มีคนอื่นให้เลือกเยอะแยะ หรือบางท่านอาจถามดื้อๆว่าไหนบอกผมซิว่าคุณมีดีอะไร เมื่อเจอคำถามเปิดอ้าซ่าให้ท่าอย่างนี้อย่าถ่อมตนเด็ดขาด ให้บรรยายสรรพคุณของตัวเองให้สุดลิ่มและอย่างมีความเชื่อมัน โดยเน้นที่การเล่าเรื่องว่าตัวเราอึดอย่างไร ถึกอย่างไร และมีความสุขกับการได้ทำงานสำบุกสำบันอย่างไร ควรจะซ้อมประโยคเหล่านี้แล้วพูดกับตัวเองหน้ากระจกบ่อยๆ จะได้ไม่ออกอาการเลี่ยนตัวเองเวลาพูดต่อหน้ากรรมการสัมภาษณ์
     
     ทั้งหมดนี้ไม่ถึงกับต้องทำได้ทุกอย่างดอก แต่ให้คุณหมอใช้เป็นแนวทาง ดีกว่าที่จะไปสมัครให้เขาเลือกโดยไม่มีแนวทางชี้นำเลย ตอนเข้าสัมภาษณ์ก็ตั้งใจให้ข้อมูลให้ดีที่สุด เมื่อสัมภาษณ์ไปแล้ว ผลจะออกมาว่าอย่างไร เขาจะรับหรือไม่รับก็ให้ยอมรับผลนั้นแบบนิ่งๆสบายๆ การมีอาชีพหมอนี้อย่าไปตั้งธงปักใจเชื่อว่าชีวิตนี้จะต้องได้เป็นหมอสาขานั้นสาขานี้เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือมีความสุขได้ เพราะการเป็นหมอสาขาไหนก็ตาม ก็ล้วนเป็นเพียงแค่ “ลีลา” คือเป็นการสวมบทบาทหนึ่งในละครชีวิตเท่านั้น สาระสำคัญของอาชีพแพทย์คือการได้ใช้เมตตาธรรมช่วยเหลือผู้ป่วย ไม่ว่าเราจะเป็นหมอสาขาไหนเราก็ใช้วิชาชีพสาขานั้นช่วยคนไข้ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งการเป็น GP ที่คุณหมอกำลังดิ้นรนหนีหรืออยากจะไปให้พ้นอยู่ ณ ขณะนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์