Latest

สนทนากับหมอสันต์ เรื่อง “ความหลุดพ้น”

     เส้นทางนี้มันยาวนานแค่ไหนจึงจะหลุดพ้น

     การจะหลุดพ้นไปจากอิทธิพลของความคิด คงจะมีทั้งทางสั้นและทางยาว ทางไหนสั้นทางไหนยาวผมไม่รู้หรอก ผมบอกได้แต่ทางที่ตัวผมเองเคยเดิน เส้นทางเดินของผมเริ่มด้วย “ความไว้วางใจ” ว่าถ้าผมโฟกัสอยู่ที่ความรู้ตัว ผมจะค้นพบตัวผมเองซึ่งเป็นอะไรที่พ้นไปจากสิ่งที่เห็นได้จินตนาการได้และมีศักยภาพไม่จำกัด ด้วยความไว้วางใจอย่างนี้ ผมมอบชีวิตให้กับความไว้วางใจนี้ทั้งหมด ทั้งความสนใจ ทั้งเวลาทั้งหมดที่ว่างจากการทำงานเลี้ยงลูกเมียและการสอนคนป่วย ด้วยความเอาจริงเอาจังอย่างนี้ เป็นเวลานับตั้งแต่ผมไปเข้าเรียนที่ศูนย์โกเอนก้าเมื่อปีพ.ศ. 2557 มาถึงตอนนี้ผมเพิ่งจะเริ่มโผล่ขึ้้นมาอยู่เหนืออิทธิพลความคิดของตัวเองได้ถึงระดับที่ชีวิตเบาสบายขึ้นตามสมควร รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดก็สามปี

     คุณก็เหมือนกัน ผมแนะนำว่าอย่าไปเสียเวลาได้ปลื้มกับโลกนี้นักเลย เพราะเหมืองทองของจริงนั้นอยู่ในตัวคุณ ภายในตัวเรานี้มีเรื่องให้เรียนรู้สร้างสรรค์มากมายแต่เราไม่รู้ ราวกับว่าเราเกิดมามีปีกแต่เราไม่รู้จักปีกของเรา เราจึงใช้วิธีคลานไปคลานมาเอา อย่าไปเสียเวลากับการเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกอย่างที่คนทั้งหลายเขาพยายามทำกันอยู่เลย ให้มาโฟกัสที่การเข้าหาความรู้ตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเองดีกว่า

     ความรู้ตัวคืออะไรหรือคะ

      “ความรู้ตัว” หรือ “ผู้รู้ตัว” ซึ่งเป็นตัวจริงของคุณนี้ไม่มีภาษาอะไรจะบรรยายได้ จึงต้องอาศัยบรรยายเอาจากสิ่งที่คุณไม่ได้เป็น คือการจะรู้ว่าคุณเป็นใคร หรือเป็นอะไร คุณต้องหาให้พบก่อนว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรบ้าง คุณไม่ใช่อะไรบ้าง เช่น คุณไม่ใช่ร่างกาย คุณไม่ใช่ความรู้สึก คุณไม่ใช่ความคิด คุณไม่ใช่คอนเซ็พท์ คุณไม่ใช่ความเชื่อ คุณไม่ใช่เวลา คุณไม่ใช่พื้นที่ คุณไม่ใช่นี่หรือนั่น ไม่ใช่ทั้งสิ้น อะไรที่คุณรู้จักอยู่ก่อนหน้านี้ซึ่งบรรยายออกมาเป็นภาษาได้ไม่ว่าสิ่งน้้นจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมล้วนไม่ใช่คุณทั้งสิ้น คุณไม่ใช่อะไรที่จะคิดเอาได้ แต่ถ้าไม่มีคุณ ก็จะไม่มีการคิด เพราะคุณเป็นผู้สังเกตการคิดนั้น ยิ่งคุณรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรบ้างได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะเริ่มตระหนักรู้ความเป็นคุณในฐานะ “ผู้รู้ตัว” หรือ “ผู้สังเกต” ซึ่งเป็นสิ่งที่จีรังได้เร็วเท่านั้น

      การจะตระหนักรู้ความเป็น “ผู้รู้ตัว” นี้มันเป็นประสบการณ์ คุณสามารถทำให้ประสบการณ์นั้นเกิดซ้ำๆซากๆจนมันกลายเป็นสิ่งที่เกิดเป็นประจำ เมื่อความรู้ตัวหรือความรู้สึกว่าฉันดำรงอยู่โผล่ขึ้นมา คุณควรจะเฝ้ามองมันอย่างเงียบๆ นิ่งๆ โมเมนต์ที่ความสนใจจดจ่ออยู่กับความรู้ตัวนี้มันเป็นสภาวะที่อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ “ผู้รู้ตัว” เฝ้าดูได้ ขอแค่คุณสร้างประสบการณ์นี้ซ้ำๆ ในที่สุดความรู้ตัวก็จะคงอยู่กับคุณได้เสมือนว่าต่อเนื่อง

     แต่ทุกวันนี้แทนที่จะทำอย่างนั้นคุณกลับไปผูกเอาสารพัดอย่างเข้ากับความรู้ตัวไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ความรู้สึก ความคิด ความเชื่อในเรืื่องต่างๆรวมถึงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ทำให้คุณเข้าใจไขว้เขวไปว่าคุณคือสิ่งที่ไม่ใช่คุณ คุณไปมีชีวิตอยู่ในความคิดจึงไม่มีวันที่จะสงบเพราะความคิดนั้นไม่เคยสงบ ทางเดียวที่จะสงบคือคุณต้องย้ายโฟกัสจากการอยู่ในความคิดมาอยู่ในความรู้ตัว ปฏิเสธความคิดทุกความคิดยกเว้นความคิดเดียวคือ “ฉันดำรงอยู่” หรือ “ความรู้ตัว” เท่านั้น ซึ่งคุณไม่ต้องไปเสาะหามันหรอก เพราะคุณคือมัน ขอแค่คุณให้โอกาสมันได้โผล่ออกมา โดยการปล่อยวางความคิดซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จริงเสีย แล้วความรู้ตัวซึ่งเป็นของจริงก็จะปรากฎอยู่ตรงนั้นเอง เปรียบเหมือนจอโทรทัศน์ที่จะปรากฎให้เห็นทันทีที่เราปิดภาพยนตร์ที่ฉายอยู่

      ถ้าคุณยังจมอยู่กับความเชื่อที่ว่ามีแต่สิ่งที่เรียกชื่อได้ (names) หรือมีรูปร่างให้มองเห็นได้ (forms) เท่านั้นที่เป็นของจริงและดำรงอยู่ให้คุณเห็นจะจะ ความรู้ตัวก็จะปรากฎแก่คุณในรูปของอะไรที่ไม่ได้ดำรงอยู่ คือพูดง่ายๆว่าความรู้ตัวจะไม่ปรากฎให้คุณเห็น เมื่อใดที่คุณรู้ว่าสิ่งที่เรียกชื่อได้หรือมีรูปร่างให้มองเห็นได้นี้เป็นแค่เปลือกกลวงไม่มีไส้ใน ส่วนของจริงคือความรู้ตัวนั้นไม่มีชื่อไม่มีรูปร่างแต่เป็นแค่พลังงานชีวิตในลักษณะของความตื่นรู้ เมื่อนั้นคุณก็จะพบความสงบเย็น การมองชีวิตว่ามีแต่ความรู้ตัวเท่านั้นที่เป็นของจริง เหมือนการมองภาพยนตร์ว่ามีแต่แสงที่อยู่นิ่งๆและส่องทะลุฟิลม์อยู่เท่านั้นที่เป็นของจริง ส่วนตัวฟิลม์ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาซึ่งเปรียบได้กับความคิดนั้นไม่ใช่ของจริง

     โห..ยากนะ ไม่มีอะไรที่ง่ายกว่านั้นสักหน่อยหรือคะ

     ไม่มี

     เพราะชีวิตของคนทั่วไปทุกวันนี้มันคือการนั่งมองเชือกกล้วยโดยเข้าใจผิดว่ามันเป็นงู คุณฟังให้ดีนะ ชีวิตนี้คือการนั่งมองเชือกกล้วยด้วยความเข้าใจผิดว่ามันเป็นงู เชือกกล้วยคือความรู้ตัว งูคือความคิด ตราบใดที่คุณยังเชื่อว่ามันเป็นงู คุณก็ไม่มีวันที่จะเข้าไปจับต้องลูบคลำทำความรู้จักและใช้ประโยชน์จากเชือกกล้วยได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ตราบใดที่ความคิดอันก่อตัวขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ ความเชื่อ และความสำคัญมั่นหมายว่าคุณเป็นบุคคลนี้ยังอยู่ คุณไม่มีทางจะเห็นความรู้ตัวหรืือคุณในฐานะ “ผู้รู้ตัว” ได้

     หมายความว่าหากเป็น “ผู้รู้ตัว” ก็จะไม่ได้เป็นบุคคลที่มีชื่อนี้เพศนี้อีกต่อไปแล้ว อย่างนั้นหรือคะ

     ถูกต้อง

     ชีวิตนี้คุณมองมันได้จากสองสำนึกเท่านั้น คือ

     (1) สำนึกว่าเป็นบุคคล ที่มีร่างกายนี้เป็นแก่นกลาง มีความคิด ความเชื่อ หรืออีโก้ ตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์ในสังคม เป็นอาภรณ์ประดับ

     (2) สำนึกว่าเป็น “ผู้รู้ตัว” หรือจะเรียกภาษาบ้านๆว่าสำนึกว่าเป็นดวงวิญญาณก็ได้ ในสำนึกนี้คุณไม่ใช่บุคคล ชื่อนี้ไม่ใช่คุณ ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่คุณ เกียรติศักดิ์ และความภาคภูมิใจใดๆก็ไม่ใช่คุณ คุณเป็นความรู้ตัว หรือเป็นผู้รู้ตัวซึ่งเป็นพลังงานอันว่างเปล่าที่มีความตื่นและความสามารถรับรู้เป็นคุณสมบัติติดตัวแค่นั้น แม้ร่างกายและความคิดซึ่งเป็นอาภรณ์ประดับจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ความเป็นผู้รู้ตัวของคุณจะยังอยู่อย่างจีรัง 


     เมื่อคุณมองจากสำนึกหนึ่ง อีกสำนึกหนึ่งจะไม่มี คุณจะเชื่อสองสำนึกพร้อมกันไม่ได้ หมายความว่าถ้าคุณเชื่อว่าคุณเป็น “ผู้รู้ตัว” คุณก็ต้องทิ้งความเชื่อที่ว่าคุณเป็นร่างกายนี้เป็นบุคคลนี้ไปเสีย  

     ที่ว่า “ผู้รู้ตัว” เป็นสิ่งที่จีรังนี้ อาจารย์เอาอะไรมายืนยัน

     ก็ลองตรวจสอบกับประสบการณ์ของคุณสิ ว่าตั้งแต่จำความได้ นอกจากความรู้ตัวหรือ “ผู้รู้ตัว” ตัวนี้แล้ว มีอะไรส่วนอื่นในชีวิตคุณที่จีรังบ้าง ทั้งร่างกาย ความคิด ความรู้สึก..ไม่มี้ สิ่งเดียวที่คุณมั่นใจก็คือว่าคุณยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ “ฉันดำรงอยู่” หรือ “ความรู้ตัว” นี่แหละที่เป็นของจริงที่จีรัง แม้คุณจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าฉันดำรงอยู่ก่อนเกิดและจะดำรงอยู่หลังตายหรือเปล่า เพราะตรงนั้นคุณไม่มีประสบการณ์จริง แต่ฉันดำรงอยู่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นี่เป็นของจริง และเป็นของจริงที่ไม่เปลี่ยนตามกาลเวลา อย่างน้อยก็นับตั้งแต่เริ่มจำความได้ตอนเป็นเด็กเล็กมาจนถึงวันนี้ “ความรู้ตัว” นี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง

     ไหนๆคุณก็ถามถึงความจีรัง ผมไม่ได้แนะนำให้คุณเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวคุณนะ ผมแค่ชี้ให้คุณเห็นอะไรในตัวคุณที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง อะไรในความเป็นคุณ ส่วนใหนในความเป็นคุณ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อใดที่คุณเห็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงในตัวคุณว่ามันเป็นอันเดียวกับความเป็นคุณ เมื่อนั้นคุณหลุดพ้น

     แล้วการไปโฟกัสที่ “ความรู้ตัว” จะพาไปพบธรรมชาติของตัวเองที่มีศักยภาพไม่จำกัดได้อย่างไร

    งานนี้มันมีอยู่สองขั้นตอนนะ

     ขั้นตอนที่หนึ่ง คุณอาศัยความรู้ตัวค้นหาความคิดที่ทำให้คุณเกาะเกี่ยวผูกพันแล้วปลดมันออกทิ้งไปซะ จนคุณไม่ยึดติดกับอะไร นั่นคุณได้ทำส่วนของคุณหมดแล้ว แต่ผู้รู้ตัวนี้จะเป็นสะพานเชื่อมให้เกิด

     ขั้นตอนที่สอง ซึ่งเป็นส่วนที่จะทำโดย “สิ่งหนึ่ง” ซึ่งเป็นพลังงานลึกลับที่พาคุณมาที่นี่ มันจะพาคุณออกไปจากที่นี่เอง ความจริงขั้นตอนที่สองนี้มันแทบจะเป็นอัตโนมัติ เพราะความรู้ตัวที่ถูกขังโดยความคิดเหมือนลมที่ถูกขังไว้ในลูกโป่ง เมื่อหมดความคิดก็เหมือนลูกโป่งแตก ลมนั้นก็จะถูกปลดปล่อยสามารถกระจายขยายตัวออกไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้ตัวเมื่อหมดสิ้นกรงของความคิดก็เป็นเช่นนั้น คือความเป็น “ผู้รู้ตัว” จะสลายไปเป็นส่วนหนึ่งของ “สิ่งหนึ่ง” ซึ่งเป็นความว่างขนาดใหญ่อันเป็นแหล่งของพลังงานทั้งมวลโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องไปจงใจทำลายหรือสลายหรือไปฆ่าความเป็นผู้รู้ตัวเลย

     ดิฉันไม่เข้าใจ “สิ่งหนึ่ง” ที่ว่านี้ ในตำราหรือทางศาสนาเขาเรียกว่าอะไรหรือ

      คุณอย่าไปสนใจตำรา เพราะ “การรู้” คือ “การเป็น” คำพูดไม่อาจพาคุณข้ามไปถึงสิ่งที่อยู่พ้นความคิดได้ ความรู้ตัวของคุณนั่นแหละจะเป็นครูที่แท้ ส่วนครูคนอื่นนั้นอย่างดีก็เป็นได้แค่หลักกิโลเมตร

     อาจารย์ทำให้มันเข้าใจได้ง่ายกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือคะ

     ก็ได้ แต่มันต้องเริ่มต้นด้วยความไว้วางใจนะ อย่างที่ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมตั้งต้นด้วยความไว้วางใจว่าถ้าผมโฟกัสอยู่ที่ความรู้ตัว ผมจะค้นพบตัวผมเองซึ่งเป็นอะไรที่พ้นไปจากสิ่งที่เห็นได้จินตนาการได้และมีศักยภาพไม่จำกัด ความไว้วางใจนี้มันมีพื้นฐานอยู่บนความไว้วางใจอีกอันหนึ่ง แบบที่เหล่าจื่อใช้คำพูดว่า

     “….มีสิ่งหนึ่งไร้รูปแต่สมบูรณ์แบบ มันคงอยู่มาก่อนที่จักรวาลนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก มันสงบเย็น ว่าง วิเวก สถาพร ต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด  ดำรงอยู่เป็นนิรันดร มันเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจักรวาลนี้ เนื่องจากไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรดี ข้าจะเรียกมันว่า “เต๋า” ก็แล้วกัน มันไหลผ่านทุกสรรพสิ่งจากข้างในทะลุข้างนอกแล้วไหลกลับไปสู่ต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่งนั้น..”

    คือคุณต้องไว้วางใจก่อนว่าสิ่งหนึ่งที่มีศักยภาพไม่จำกัดถึงขั้นให้กำเนิดจักรวาลนี้ได้นั้นมีอยู่ และไว้วางใจว่าความรู้ตัวเมื่อหมดสิ้นความคิดซึ่งเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวผูกพันแล้วจะสามารถเชื่อมโยงและรับถ่ายทอดศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดมาจากสิ่งหนึ่งนี้ได้ ถ้าคุณไม่ไว้วางใจอย่างนี้ก็จบข่าว ไปต่อไม่ได้ แต่ถ้าคุณไว้วางใจอย่างนี้จึงจะไปต่อได้

     ในส่วนของพลังงานที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวเราได้นี้ ผมใช้คำเรียกว่า Grace ก็แล้วกันนะ แปลว่าพลังกรุณาปราณีก็ได้มัง มันมีอยู่จริงที่ข้างนอกตัวเรา และมันเข้ามาสู่ตัวเราได้ แล้วเราก็เผื่อแผ่ไปให้คนอื่นได้ อันนี้ไม่ใช่ความเชื่อ แต่มันเป็นประสบการณ์จริงที่ผมยืนยันว่ามันมีอยู่ และมันถ่ายทอดมาสู่ตัวผมและจากผมไปสู่คนอื่นได้

     หมายความว่าต้องบรรลุคุณวิเศษอะไรสักอย่างจึงจะรับโอนศักยภาพนั้นมาได้

     ไม่ต้อง เพียงแค่คุณมองให้เห็นว่าคุณเป็นผู้รู้ตัวหรือคุณเป็นแค่พลังงาน ไม่ใช่เป็นร่างกายหรือความคิด คุณก็สามารถรับพลังงานมาจากข้างนอกได้แล้ว

    ทำไงละคะ ดาวน์โหลดมาเลยหรือ

     จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ในทางปฏิบัติเขามีทำกันอยู่หลายวิธีนะ ผมเล่าให้ฟังได้แต่วิธีที่ผมใช้ เทคนิคที่ผมเรียนมาจากครูของผมแล้วเอามาประยุกต์ใช้เองก็คือตั้งต้นด้วยการค่อยๆรู้สึก (feel) ลมหายใจที่เราดูดเข้ามาสู่ร่างกาย ค่อยๆรู้สึกที่รอบๆรูจมูก แล้วค่อยๆรู้สึกให้ไกลออกไปจากรูจมูก ว่ามันเป็นแหล่งของพลังงานภายนอกที่เมื่อหายใจเข้า พลังงานข้างนอกหรือ Grace นี้ก็จะถูกดูดจากแหล่งข้างนอกเข้ามายังตัวเรา พอหายใจออกพลังงานนี้ก็กระจายไปทั่วตัว ผ่านทะลุทุกรูขุมขนออกไปเผื่อแผ่ให้คนอื่นๆหรือชีวิตอื่นๆรอบๆตัวเราได้อีกด้วย แล้วพลังนี้มันไม่รู้หมดนะ ดาวน์โหลดมาได้เรื่อยๆ ที่แปลกคือยิ่งเราเอาพลังไปทำอะไรที่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง พลังมันยิ่งมา ยิ่งไม่อยากอะไรให้ตัวเอง คือยิ่งอยากที่จะหมดความอยาก นั่นแหละพลังมันก็ยิ่งจะมา

     การเพิ่มศักยภาพพอเข้าใจแล้ว ส่วนการทิ้งความคิดละ จะทำได้อย่างไร

   ขั้นตอนแรก คุณต้องเลิกเสาะหาความรู้ เพราะความรู้ก็คือการสะสมความจำและความคิดนะ มันเป็นการสร้างกำแพงความคิดล้อมตัวคุณเอง คุณต้องเลิกสร้างกำแพง แล้วทลายความคิดทั้งหลายลงเพื่อออกไปหาประสบการณ์ตรงในเรื่องการรู้ตัว ซึ่งเป็น ขั้นตอนที่สอง โดยสามารถทำได้สามวิธี คือ

     วิธีที่ (1) เลิกคิดดื้อๆ วางความคิดทั้งหมดลงเสีย นี่หมายถึงความคิดถึงอดีตอนาคตที่จะบากร่องใหม่ลงในความจำของคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการใช้ความคิดทำงานซึ่งเป็นเรื่องของการอยู่กับปัจจุบันนะ การวางความคิดถึงอดีตอนาคตจะนำไปสู่การสิ้นสุดของความอยากทั้งมวล เทคนิคปฏิบัติมีมากมาย แต่ผมแนะนำเทคนิคเดียวคือการตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆว่า “ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า” ถามแล้วพยายามตอบ ในความพยายามตอบนั้นความสนใจจะถูกดึงกลับจากข้างนอกเข้าไปสนใจความรู้ตัวที่ข้างใน ณ เดี๋ยวนี้โดยอัตโนมัติ

     วิธีที่ (2) ลงมือทำงานที่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ทำอย่างตั้งใจโดยไม่หวังเอาผลจากการกระทำนั้น หรือ

     วิธีที่ (3) ใช้ชีวิตแบบแม่น้ำที่ไหลผ่านทั้งฝั่งทุกข์และสุขไป ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านมาและผ่านไปแบบตื่นตัวและโอนอ่อน (alert and allow) อะไรผ่านมายอมรับหมด อะไรผ่านไปยอมรับหมด แค่อยู่นิ่งๆไม่ยี่หระอะไรทั้งนั้น จุ่มอยู่แต่กับ “ฉันดำรงอยู่” ซึ่งเป็นของจริง ทุกเหตุการณ์เล็กๆที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลแสดงออกของทั้งหมดของเอกภพซึ่งมีความกลมกลืนอยู่ในตัวตลอดเวลา โดยเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรเกี่ยวดัดแปลงอะไร  

 
     ช่วยอธิบายว่าตอนนี้อาจารย์กับดิฉันต่างกันอย่างไร

     ผมกับคุณโดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรต่างกัน ชีวิตของเราต่างก็เป็นการอุบัติขึ้นของเหตุการณ์หนึ่งต่อกับอีกเหตุการณ์หนึ่งต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด เพียงแค่ผมปล่อยวางและเห็นละครที่ดำเนินอยู่ว่าเป็นละคร แต่คุณยึดติดกับโน่นนี่นั่นและขยับตามมันไป ขณะที่ผมเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นอะไรเหล่านั้นทั้งสิ้นนอกจากความเป็น “ผู้รู้ตัว” ซึ่งเป็นแค่พลังงานที่ว่างเปล่าเท่านั้น ผมก็จึงไม่สนอะไรทั้งสิ้นที่มันไม่ใช่ผม ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่ในความคิด ผมอยู่กับประสบการณ์ความรู้ตัวที่ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในความรู้ตัวนี้ คุณก็มีสิ่งเดียวกับที่ผมมี เพียงแต่คุณมัวไปอยู่ในความคิดจนมองไม่เห็นความรู้ตัวเท่านั้น ความคิดเหล่านั้นมันเป็นกำแพงคุกที่คุณสร้างขึ้นมารอบตัวคุณเอง กำแพงนั้นของผมผมทุบมันทิ้งไปแล้ว แค่คุณยังไม่ได้ทุบของคุณ

     คุณกับผมต่างก็มีสถานะอันเป็นธรรมชาติเดียวกัน ผมขอยกตัวอย่างเรื่องทองคำมาเปรียบเทียบ คุณกับผมต่างก็เป็นทองคำ สมมุติว่าคุณเป็นกำไลทองคำ ผมเป็นฝุ่นทองคำ คุณชื่อกำไล ผมชื่อฝุ่น คุณมีรูปร่างกลมสวมใส่แขนได้ ผมมีรูปร่างเป็นผง แต่ทั้งคุณและผมต่างก็เป็นทองคำ เราต่างกันที่ชื่อและรูปร่าง ทองคำในที่นี้หมายถึงการเป็น “ผู้รู้ตัว” หรือการเป็น “ดวงวิญญาณ” ซึ่งเป็นพลังงานของความตื่นรู้ ไม่ใช่เป็นร่างกายหรือความคิด เราต่างเป็นสิ่งเดียวกันแต่ต่างกันที่การปรากฎเป็นรูปร่างและชื่อฉายาที่ได้รับ เมื่อผมตระหนักรู้ธรรมชาติที่แท้ของตัวเอง ผมก็รู้ว่าผมกับคุณเป็นสิ่งเดียวกัน แต่คุณไม่รู้เพราะคุณยังถูกล้อมกรอบอยู่ด้วยความคิดของคุณเอง ผมมองคุณว่าเป็นสิ่งเดียวกับผม แต่คุณมองผมว่าเป็นคนละส่วนคนละอันที่แยกจากกัน เราต่างกันแค่นี้

    ดิฉันเป็นอย่างอาจารย์ไม่ได้เพราะมันติดที่ร่างกายนี่สิคะ ทำใจไม่ได้ถ้าต้องพรากจากร่างกายนี้
    ผมเข้าใจ ในบรรดาสิ่งที่ชวนให้ยึดติด เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เงินทอง เกียรติยศ แม้กระทั่งความผูกพันกับคนรอบข้าง คนส่วนใหญ่ทิ้งได้ แต่ร่างกายนี้คนส่วนใหญ่ทิ้งไม่ได้ แม้ลมหายใจสุดท้ายมาจ่อแล้วก็ยังทิ้งไม่ได้ ผมเคยร่วมซัทซังกับพวกฝรั่ง มีจำนวนมากที่อุตสาห์มาได้ไกลมาก แต่พอจะเข้าด้ายเข้าเข็มถึงขั้นที่จะต้องวางว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราก็ใส่เกียร์ถอย เพราะมันเป็นด่านที่หินที่สุด 
     แต่ว่านี่เป็นทางเดียว มันไม่มีทางอื่น อย่างที่ผมย้ำแล้วว่าตราบใดที่ยังเชื่อว่ามันเป็นงู ก็ไม่มีวันได้รู้จักเชือกกล้วย ตราบใดที่ยังเชื่อว่าร่างกายนี้เป็นเรา ตราบนั้นก็จะไม่เห็น “ผูู้รู้ตัว” ซึ่งเป็นแค่พลังงาน  
     ถ้าไปไม่ถึงหลุดพ้น จะทำอย่างไรกับชีวิตที่ไม่มีความสุข

     ทำไมคุณไม่มีความสุข เพราะคุณได้สิ่งที่ไม่อยากได้ และไม่ได้สิ่งที่อยากได้ ทำไมคุณไม่กลับข้างซะละ คืออยากได้สิ่งที่คุณได้มาแล้ว และไม่สนสิ่งที่คุณยังไม่ได้

     คุณอยากได้สิ่งที่สบายใจ ไม่อยากได้สิ่งที่เจ็บปวด คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งไหนทำให้คุณสบายใจ คุณรู้จากประสบการณ์ในอดีตใช่ไหม นั่นหมายความว่าคุณอาศัยความจำจากอดีตมาเป็นเครื่องชี้นำให้อยากได้อะไรไม่อยากได้อะไร แล้วการดำเนินชีวิตด้วยการเอาอดีตมาชี้น้ำอย่างนั้นมันทำให้คุณประสบความสำเร็จไหมละ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จใช่ไหม

     การจะบรรลุความสงบเย็น คุณต้องไว้วางใจก่อนว่าคุณคือ “ผู้รู้ตัว” ที่มีศักยภาพไม่จำกัด ไว้วางใจแล้วใช้ชีวิตตามนั้น คุณต้องพยายามไม่หยุดหย่อนด้วยใจแน่วแน่และฝังมันลงไปในชีวิตของคุณ อะไรที่ทำให้ใจว้าวุ่นก็วางมันลงเสีย การที่คุณทำตัวเป็นทาสของความอยากและความกลัว รวมทั้งกลัวสูญเสียร่างกายด้วย นั่นเป็นการทำให้ใจตัวเองว้าวุ่น คุณต้องวางความคิดอย่างนั้นลง นิ่ง เงียบ ตื่น ระวังระไวต่อสิ่งรอบตัวสดๆที่เดี๋ยวนี้ นี่เป็นทางเดียวที่จะเข้าถึงความสงบเย็น

     การเป็นอิสระจากความอยากไม่ได้หมายความว่าไม่มีความอยากเกิดขึ้นให้รู้เห็นเลย แต่หมายถึงไม่มีความเร่งเร้าที่จะต้องสนองตอบ ไม่รู้สึกว่าต้องลงมือทำอะไรเพื่อมัน
 
     อีกอย่างหนึ่ง ปัญหาชีวิตบางมุมก็แก้ได้ง่ายๆด้วยสามัญสำนึก คุณต้องการสันติภาพ ความรัก และความสุข แต่ทำงานหนักเหลืิอเกินเพื่อก่อความเจ็บปวด ความเกลียด การทะเลาะเบาะแว้ง คุณอยากอายุยืน แต่กินเอากินเอา และกินไม่เลือก คุณอยากมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนใกล้ชิด แต่กลับสะบั้นสัมพันธภาพนั้นเสียเอง เรื่องแบบนี้แค่สามัญสำนึกก็แก้ได้แล้ว ไม่ตัองมีวิธีีีที่ลึกซึ้งหรือต้องเสาะแสวงหาอะไรมากมายเลย

    แล้วความหวังที่แห้วซ้ำซาก ความกลัว และความเจ็บปวด ละคะ จะทำอย่างไร

      ความหวังเป็นการเอาความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบวาดเป็นอนาคตขึ้น

     ความกลัวเป็นการเอาความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บปวดวาดเป็นอนาคตขึ้น

     ทั้งสองอย่างคือความคิดที่ฉุดลากคุณออกไปจากความรู้ตัวในปัจจุบัน อย่าไปให้ราคา คุณควรให้ราคาความไว้วางใจหนึ่งเดียวที่จะพาคุณบรรลุธรรมชาติที่แท้จริงของคุณ นั่นคือความไว้วางใจที่ว่าคุณเป็น “ผู้รู้ตัว”ที่เชื่อมโยงกับสิ่งหนึ่งที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดได้ และเชื่อว่าคุณไปถึงตรงนั้นได้ คุณต้องไม่ปล่อยตัวเองไปกับพฤติกรรมที่ทรยศต่อความไว้วางใจอันนี้ จำไว้นะ..พฤติกรรมต้องไม่ทรยศต่อความไว้วางใจ คุณจะเรียกมันว่าศรัทธา ความซื่อสัตย์ ความมุ่งมั่น ความพากเพียร ความบันดาลใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ประเด็นคือคุณต้องไม่กลับหลังหัน ไม่ละทิ้งพื้นที่ที่คุณพิชิตได้แล้ว คุณต้องบากบั่นไปข้างหน้า พลิกหันความสนใจที่เคยออกไปข้างนอกให้กลับเข้าข้างใน อยูุ่กับความรู้ตัวตลอดเวลาที่เอื้อให้คุณทำได้จนมันกลายเป็นอัตโนมัติ นี่เป็นทางเส้นทางเดียว ไม่มีเส้นทางที่ง่ายกว่านี้

     คุณอย่าไปเดือดร้อนอะไรกับใจที่อยากได้สิ่งที่ดีและกลัวสิ่งที่ไม่ดี ความเจ็บปวดก็ดี ความเพลิดเพลินก็ดี เป็นสองฝั่งที่แม่น้ำแห่งชีวิตไหลผ่านไป ปัญหามันเกิดเพราะคุณไปเกยตื้้นหรือยึดติดกับฝั่งหนึ่ง หรือพยายามหนีอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าคุณปล่อยให้ชีวิตไหลไป ผ่านฝั่งเจ็บปวดก็ยอมรับ ไม่มีหวาดกลัว ผ่านฝั่งเพลิดเพลินก็ยอมรับ ไม่มีถวิลหา ชีวิตจะไปมีปัญหาอะไร เพราะคุณไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น คุณเป็นเพียงเป็นผู้รู้ตัวหรือผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วคุณก็จะไปถึงธรรมชาติที่แท้จริงของคุณซึ่งเป็นศักยภาพไร้ขอบเขต

     ถามนอกเรื่องหน่อย อาจารย์กลัวตายไหมคะ

     แต่ก่อนกลัวเพราะผมมองชีวิตออกไปจากสำนึกของความเป็นบุคคลที่มีความผูกพันและภาระหน้าที่

     แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว เพราะผมมองชีวิตออกไปจากสำนึกของการเป็น “ผู้รู้ตัว” ที่ไม่ใช่บุคคล เป็นแค่พลังงานเท่านั้น สิ่งที่เคยผูกพันผมในฐานะบุคคลไว้ ไม่ได้ผูกพันผมในฐานะ “ผู้รู้ตัว”

     อีกอย่างหนึ่งการที่ผมไว้วางใจว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นนิรันดรมีอยู่และผมมั่นใจว่าผมเชื่อมโยงกับมันได้ มันทำให้ผมเหมือนคนรู้ทางกลับบ้านจึงย่อมจะไม่กลัวหลงทางเมื่อถึงเวลาต้องกลับบ้าน

     ถ้าดิฉันอยากจะปลงได้แบบอาจารย์บ้าง ดิฉันจำเป็นต้องนั่งสมาธิภาวนาไหม

     ไม่จำเป็น แต่ว่าในช่วงแรกที่ต้องทำความคิดให้สงบลงระดับหนึ่งให้ได้ก่อน การทำสมาธิช่วยได้มาก เหมือนการส่งดาวเทียมขึ้นอวกาศต้องอาศัยจรวดส่งขึ้นไปเพื่อเอาชนะแรงดึงของโลก แต่พอขึ้นไปสูงถึงระดับหนึ่งดาวเทียมก็ลอยเท้งเต้งเองได้ เช่นเดียวกัน เมื่อใจสงบได้ระดับหนึ่งแล้ว ที่เหลือเป็นการฝึกวางความคิดในชีวิตประจำวัน การนั่งหลับตาภาวนาก็ไม่จำเป็น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

………………………………………………….

จดหมายจากผู้อ่าน 1

     ช่วยกรุณาสรุปคำอธิบายของคุณหมอให้ด้วยจะได้มั้ยคะ เพราะอ่านแล้วยากที่จะเข้าใจ

จดหมายจากผู้อ่าน2

     คุณจะสามารถเข้าใจสิ่งที่คุณหมออธิบายมาได้ก็จากการปฏิบัติเองเท่านั้นค่ะ ไม่ใช่จากการอ่านแล้วคิดเอา คุณหมอบอกแล้วไงคะ ว่าให้เราหมั่นฝึกสติ ฝึกรู้สึกตัว ที่คุณยังไม่เข้าใจ หรือรู้สึกว่ามันเข้าใจยาก ก็เพราะคุณอาจจะยังรู้ตัวไม่เป็นไง เมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวเป็นแล้ว และหมั่นฝึกรู้ตัวให้เป็นนิสัยแล้ว คุณก็จะเข้าใจสิ่งที่คุณหมอพูดมาทั้งหมดเอง

     เรื่องความรู้ตัวนี้ สอนกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้วค่ะ ไม่ได้เป็นศาสตร์ใหม่หรือสิ่งใหม่ที่คนเค้าพึ่งจะมารู้กัน คนที่เคยปฏิบัติธรรมมาส่วนใหญ่ก็จะรู้จักเรื่องพวกนี้กัน แต่มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยาก เพราะคนเราชอบหลงอยู่ในความคิด ติดอยู่ในอารมณ์รัก โลก โกรธ หลง ติดอยู่กับอดีตหรืออนาคต แต่ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันเลย ซึ่งแม้แต่ตัวเราเอง ก็ยังทำไม่ได้ตลอดเวลาหรอกค่ะ

………………………….