Latest

มะเร็งรังไข่ ทรมานมาก

สวัสดีค่ะ ชื่อ … อายุ 46 เป็นมะเร็งรังไข่
ตามหมอในสุขภาพดีกับ 8 อ. ตามหมอ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไข่ เป็น มาเกือบปีนึง
ตอนนี้ท้อง บวม ขาบวม มีน้ำซึมที่ขา อยากปรึกษาคุณหมอว่าต้องรักษาอย่างไรถึงจะถูกต้องคะ หนูไม่ชอบ detox ค่ะ เคยไปที่ค่ายหมอเขียว แต่ยังสับสนผักไม่ให้ทานกระเทียม หอมแดง ฤทธิ์ร้อนเย็น ทำสมาธิ บำบัดค่ะ
คุณหมอช่วยหน่อยนะคะ ขอคำปรึกษา เร็วที่สุดค่ะ  ตอนนี้ทรมานมาก
ขอบคุณค่ะ

……………………………………

ตอบครับ

ผมตอบคำถามนี้โดยเดาเอาว่าคุณได้ผ่านการผ่าตัดและการรักษาอื่นที่แพทย์นรีเวชแนะนำไปหมดเรียบร้อยแล้ว

     1. เรื่องดีท็อกซ์ ที่คุณไม่ชอบดีท็อกซ์ก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปทำ เพราะในทางการแพทย์ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้แม้แต่ชิ้นเดียวที่สรุปยืนยันได้แน่ชัดว่าทำดีท็อกซ์ให้ผลแตกต่างจากไม่ทำตรงไหน พูดแบบบ้านๆก็คือสำหรับวิชาแพทย์แผนปัจจุบันการทำดีทอกซ์ไม่มีประโยชน์

     แต่ถ้าชาวบ้านคนอื่นเขาอยากจะทำดีทอกซ์ หมอสันต์ไม่ห้ามไม่ขัดขวางนะ เพราะทวารของใคร คนนั้นก็มีสิทธิสวนได้ อีกอย่างหนึ่ง วันนี้วงการแพทย์ยังไม่พบว่าดีทอกซ์มีประโยชน์อะไร แต่วันหน้าอาจจะพบว่ามีประโยชน์ก็ได้ เพราะฉนั้นหมอสันต์จึงไม่ขัดขวางการทำดีท็อกซ์ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ให้ท้ายสนับสนุนให้ใครไปทำเพราะการไปส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ป่วยทำอะไรที่วิชาแพทย์บอกว่าไม่มีประโยชน์ เป็นการประกอบวิชาชีพที่ผิดวิธี ผิดจริยธรรมของแพทย์

     ในกรณีของคุณดีท็อกซ์มีโทษนะ เพราะมันจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการเสียดุลย์ของน้ำและสารเกลือแร่ (fluid-electrolyte imbalance) ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะคุณมีน้ำออกไปอยู่ในช่องท้องมากอยู่แล้ว

     2. เรื่องอาหารการกิน คุณจะกินกระเทียม หอมแดง หรือผักอะไรก็ตาม กินไปเหอะ หลักวิชาแพทย์แผนปัจจุบันสนับสนุนให้กินพืชผักผลไม้ที่หลากหลาย จำนวนมากๆ ไม่มีข้อห้ามแบบเจาะจงว่านู่นกินได้ นั่นกินไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุนให้เจาะจงอาหารอย่างนั้น เพียงแต่ในความหลากหลายของพืชที่กินนั้น ผมอยากจะแนะนำว่าให้มีเจ้าประจำอยู่สี่กลุ่ม ซึ่งวงการแพทย์จัดเป็นอาหารระดับต้นๆที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งน้อยลง คืือ
2.1 พืชกลุ่ม allium เช่น กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่
2.2 พืชกลุ่ม cruciferous เช่น บร็อคโคลี กล่ำปลี กล่ำดอก
2.3 ขมิ้นชัน (termeric) หมายถึงขมิ้นสีเหลือง
2.4 แฟลกซีด (flax seed)
     นอกจากนั้นอาการท้องบวมน้ำจะรุนแรงขึ้นถ้าร่างกายมีโปรตีนไม่พอ จึงควรเพิ่มอาหารโปรตีนเช่น ถั่วเหลืองและถั่วอื่นทุกชนิด งา เมล็ดพืชไม่ขัดสี และผลเปลือกแข็ง (นัท) ต่างๆ
    ส่วนที่หมอทางเลืิอกบางท่านแนะนำว่าอย่ากินนั่นนะจะร้อน ต้องกินนี่สิจะเย็น อันนั้นมันเป็นหลักวิชาแพทย์แผนไทยหรืออายุรเวชของอินเดียเขา ส่วนตัวหมอสันต์นี้เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน จึงไม่ทราบว่าเท็จจริงดีไม่ดีเป็นประการใดเพราะไม่มีความรู้เรื่องร้อนเย็น เมื่อไม่รู้ จึงขอไม่พูดถึงในส่วนนั้น (no comment)

    3. ส่วนการทำสมาธิ ผมสนับสนุนว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคุณในแง่ของการช่วยลดปริมาณความคิดลง เพราะความคิดเป็นตัวใส่ไฟลงไปบนความเจ็บปวดให้กลายเป็นความทรมาน ทำให้ความเจ็บปวดใหญ่โตเกินที่มันเป็นจริง ผมจึงสนับสนุนให้คุณทำสมาธิต่อไป

    4. คุณควรจะออกกำลังกายด้วย เช่นเดิน ทุกวัน เอาให้ถึงระดับเหนื่อย ลากไปให้ได้วันละอย่างน้อยครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ถ้ายังไม่ทันออกกำลังกายก็เหนื่อยแล้ว ก็ให้กระย่องกระแย่งออกไปเดินแบบฝืนสังขารให้ได้ทุกวัน เดินกลางแดดบ้างก็ยิ่งดี

   5. เมื่อนั่งสมาธิจนความคิดน้อยลงระดับหนึ่งแล้ว ให้หัดอยู่กับเดี๋ยวนี้เท่านั้น หัดวางความคิดลง วางแปลว่าไม่คิดต่อยอด ไม่หยิบฉวย ไม่ให้ความสำคัญ หันหลังให้ซะ

     5.1 จะกินนั่นกินนี่ได้ไหม
กินตามที่หมอสันต์ตอบไปแล้วข้างต้น แล้วจบเรื่อง วางคำถามนี้ลงเสีย
     5.2 จะตายไหม
นั่นเป็นการคิดคาดการณ์อนาคต วางลงเสีย
     5.3 ตายแล้วจะไปไหน
นั่นเป็นความคิดเรื่องอนาคตอีกละ วางลงเสีย
     5.4 ทำไมไม่หายสักที หรืือทำไมไม่ตายๆไปซะ
“ทำไม?” เป็นการชักจูงของความคิดเก่า ให้เราแตกประเด็นความคิดใหม่ๆขึ้นมาให้เฟอะฟะฟั่นเฟือนหนักขึ้นไปอีก อันจะทำให้เรายิ่งจมอยู่ในความคิดหนักขึ้น ให้วาง “ทำไม” ลงเสียด้วย ไม่มีคำว่าทำไม อะไรจะเกิดขึ้นกับเราตอนนี้ก็ให้มันเกิด ยอมรับให้หมด จะได้ไม่มีทำไม เพราะเมื่อไม่ยอมรับ จึงมีทำไม
     5.5 ทรมานเหลือเกิน
ตรงนี้ให้แยกให้ออกว่ามีสองส่วนนะ
        ส่วนที่1. เป็นอาการของร่างกาย คือ เจ็บ ปวด แน่น อึดอัด ไม่สบาย ให้ใช้วิธีรับรู้ว่ามันเกิดขึ้น มันมีอยู่ และให้ยอมรับมัน
     ส่วนที่ 2. เป็นความรู้สึก “ทรมาน” ส่วนนี้เป็นความคิด ให้วางลง แค่รับรู้อาการเจ็บ ปวด แน่น อึดอัด รับรู้และยอมรับมัน ก็พอแล้ว ส่วนความรู้สึกว่าทรมานนั้นเป็นส่วนที่เรากุหรือคิดขึ้นในใจ ให้วางมันลงเสีย ถ้ามีความคิดใดโผล่กลับมาในตอนเผลอก็็วางมันลงเสียด้วย
     5.6 แล้วไงต่อละ
“แล้วไง” เป็นความคิดนะ เป็นกลของความคิดที่จะพาคุณหนีจากปัจจุบันซึ่งเป็นชีวิตจริง ไปอยู่ในอนาคตซึ่งไม่มีอยู่จริง ต้องไม่มีคำว่าแล้วไง ชีวิตมีแค่นี้แหละ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่มีแล้วไงต่อ อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ให้เป็นก่อน ที่เหลือชีวิตจะคลี่คลายตัวมันเองในทิศทางที่ถูกที่ควรสำหรับคุณเอง

     ถ้ามีความคิดอื่นใดเกิดขึ้นอีกก็วางลงให้หมดอีก จนไม่เหลือความคิด เหลือแต่ความรู้ตัว อันเป็นความตื่นและความสามารถรับรู้สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว ย้ำว่าตรง “ความรู้ตัว” นี่แหละ คืือการอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีความคิดนะ การมีความคิดแปลว่าไม่มีความรู้ตัวไม่มีปัจจุบัน ก็คือเมื่อใดที่ความคิดมา ปัจจุบันก็ปิ๋วไปเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องวางความคิดลงเพื่อกลับมาอยู่กับปัจจุบันใหม่ มาอยู่กับภาวะไม่มีความคิด หูได้ยินเสียง ตามองเห็นสิ่งรอบตัว ผิวหนังรับรู้ว่าร้อนว่าเย็นเมื่อลมมาสัมผัส เหมือนกับคนนั่งพักผ่อนเงียบๆกับธรรมชาติโดยไม่คิดอะไร แต่รับรู้ ยอมรับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวทั้งหมดโดยไม่พิพากษาหรือพยายามแก้ไข อยู่แบบนี้ครั้งละนานๆ วันละหลายๆครั้ง จนมันเป็นแบบนี้ตลอดทั้งวัน นั่นเป็นปลายทางของการแสวงความสงบสุขหรือความว่างที่ข้างใน ซึ่งคุณจะต้องไปให้ถึง ถ้าคุณไปถึงตรงนั้นได้ ทางที่จะไปต่อมันจะเปิดให้คุณเห็นเอง ในเรื่องทางที่จะไปต่อนี้ แม้คุณจะขอถามข้ามช็อตเป็นความรู้ไว้ล่วงหน้า แต่ผมก็ไม่ตอบเพราะคำตอบนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย เนื่องจากตราบใดที่ความคิดยังไม่หมด ตราบนั้นก็ยังจะมองไม่เห็นทางไปต่อของความรู้ตัวหรือความว่างที่ข้างใน อุปมาอุปไมย ตราบใดที่ยังนั่งดูภาพยนตร์ที่ฉายอยู่บนจอทีวี.อยู่ ตราบนั้นก็ยังจะมองไม่เห็นเนื้อจอทีวีที่เป็นแก้วใสๆ ต้องปิดภาพยนตร์ก่อน จึงจะเห็นจอ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์