Latest

หมอสันต์พูดถึงพาสชั่น (passion)

ตัดตอนจากบทสนทนาระหว่างนพ.สันต์กับผู้เข้า Spiritual Retreat)

ทำอย่างไรจึงจะสังเกตความคิดได้

     การจะสังเกตความคิดให้เป็น ต้องเลิกสนันสนุนตัวเองให้เสพย์ติดการคิด การเสพย์ติดการคิดหมายควมว่าว่างเป็นไม่ได้ใจมันจะเสาะหายาเสพย์ติดที่มันคุ้นเคยในรูปของการเข้าเน็ท เปิดเฟซ เปิดไลน์ เปิดทีวี. หยิบหนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่น หนังสือธรรมะ โทรศัพท์คุยกัน เม้นท์โน่น เม้นท์นี่ ถ้าใจมันโหยหาสิ่งเหล่านี้ แกล้งลืมสนองตอบเสียบ้าง แค่นั่งลงสบายๆ เงียบๆสักแป๊บ..บ อย่าโฟกัสที่ความคิด โฟกัสแค่ว่าฉันเป็นผู้สังเกต ฉันเป็นจิตสำนึกรับรู้ที่สงบเย็น แค่นี้แหละ นี่เป็นธาตุแท้ของฉัน ฉันอยู่นี่ ฉันดำรงอยู่ สงบเย็น เบิกบาน ได้อย่างนี้สักหนึ่งหรือสองวินาทีก่อนก็ยังดี นี่แหละที่เขาเรียกว่าที่นี่ เดี๋ยวนี้

    คุณอาจจะแย้งว่า อ้าว..ว แล้วไม่กลัวเสพย์ติดการว่างจากความคิดหรือการอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้บ้างหรือ ตอบว่าไม่ต้องกลัว เพราะคุณอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้อยู่แล้วไม่ต้องไปหาที่นี่เดี๋ยวนี้ที่ไหน มันไม่เหมือนคุณเสพย์ติดความคิดซึ่งเป็นสิ่งที่มาแล้วจะพาคุณไปไหนต่อไหน การที่ความคิดไม่ได้อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้นั่นแหละคือปัญหา มันทำให้คุณต้องแสวงหา ต้องไขว่คว้า ต้องมีผิดหวังเสียใจและหวาดกลัว

แล้วถ้าความคิดมันปั่นป่วน จะสังเกตไหวหรือ

     การเป็นผู้สังเกต ไม่เกี่ยวกับความปั่นป่วนรุนแรงของความคิด แม้ความคิดจะปั่นป่วนรุนแรงมาก ผู้สังเกตก็ยังสามารถนิ่งดูอยู่ได้ ถ้านิ่งอยู่ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ผู้สังเกตแล้ว นั่นเป็นผู้คิด ยังติดหล่มของการเป็นบุคคล ถ้ายังมีความชอบชัง ก็ยังมีความเป็นบุคคล คุณไม่ต้องไปสนใจว่าอะไรจะโผล่มา อย่าทำตัวเป็นตำรวจ เป็นนักหนังสือพิมพ์ หรือเป็นตุลาการ ความคิดอะไรจะเข้ามาก็มาได้ ทุกความคิดเป็นแค่นักท่องเที่ยว มาแล้วก็ไป คุณไม่ไปอ้า.. ใช่แล้ว โอ้.. ไมใช่ กับความคิดใดๆ มองอย่างเงียบเชียบเฉยๆ สังเกตเฉยๆ คุณสังเกตตราบเท่าที่คุณยังมีความสนใจ ทำไมเราจึงสนใจสิ่งนี้ อะไรที่เราสนใจ นั่นแหละจะทำให้เราเดือดร้อน อะไรที่เราไม่สนใจ ไม่ทำให้เราเดือดร้อน เพราะตรงที่เราสนใจนั่นแหละ การเกี่ยวพันกับสำนึกว่าเป็นบุคคลเกิดขึ้น เมื่อไม่เหลืออะไรควรค่าต่อการสังเกตแล้วนั่นแหละ จึงจะเห็นตัวจริงของความรู้ตัว คุณต้องลองเป็นเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณพูดจากเดี๋ยวนี้ คุณก็จะวางความคิดได้ตลอดเวลา ทักษะนี้คุณต้องฝึก

    แล้วที่ผมใช้คำว่าวางความคิดนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นการเลือกหยิบความคิดมากกว่านะ คือความคิดนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกโยนขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกหรือความจำของเราตลอดเวลา เหมือนไอน้ำที่ทะยอยระเหยเป็นไปขึ้นไปกลายเป็นก้อนเมฆ ลอยไปตามลมก้อนแล้วก้อนเล่า ผู้สังเกตเปรียบเหมือนท้องฟ้าที่แยกตัวออกมาจากก้อนเมฆ คอยเฝ้าดูเมฆแต่ละก้อนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความคิดไหนไม่ดี ทำให้ไม่สบายใจ ก็เพิกเฉย ไม่สนใจ ไม่ไปคิดต่อยอด ความคิดไหนดี ทำให้เบิกบานใจก็เลือกหยิบเอาไว้ ที่เขาเรียกว่าคิดบวกกลไกมันเป็นอย่างนี้ คือเลือกหยิบความคิดดีๆที่ได้โผล่ขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ไปพยายามคิดนะ

ถ้าเราวางความคิดได้หมด เราจะเป็นอย่างไร

     ก็คุณนึกภาพว่าคุณถอยไปเป็นเด็กทารกสิ สมัยที่ยังไม่สามารถนิยามสิ่งต่างๆ ไม่อาจบอกชื่อหรือบอกรูปร่างสิ่งต่างๆได้ ได้แต่เห็นและได้ยินและสัมผัส นั่นหมายความว่าคุณถอยกลับไปเป็นจิตสำนึกรับรู้หรือเป็นผู้สังเกตที่อาศัยอายตนะของร่างกายนี้เป็นเครื่องมือสังเกต สังเกต รับรู้ เฝ้าดูอย่างเฉยๆ โดยไม่มีควมคิดต่อยอด นั่นคืือผู้สังเกตหรือความรู้ตัว นั่นคือ “ฉัน” ตัวจริง

     คราวนี้ถ้าผมให้คุณถอยไปไกลกว่านั้นอีกละ ถอยไปถึงเจ็ดวันก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะอยู่ด้วยกัน คุณเป็นใครอยู่ที่ไหน คุณก็เป็นเพียงจิตสำนึกรับรู้หรืือเรียกภาษาบ้านๆว่าเป็นวิญญาณที่ดำรงอยู่โดยไม่เกี่ยวกับร่างกาย เหมือนน้ำมหาสมุทรส่วนลึกที่ดำรงอยู่ก่อนที่จะมาเป็นวังน้ำวนหรือมาเป็นลูกคลื่นบนผิวน้ำ เมื่อมาเป็นวังน้ำวนหรือเป็นลูกคลื่นแล้ว มันก็ยังเป็นน้ำอยู่นะแต่เป็นน้ำที่จำกัดตัวเองอยู่ในน้ำวนหรือในระลอกคลื่น และถึงเวลาหนึ่งเมื่อน้ำหยุดวน หรือระลอกคลื่นยุบไป มันก็จะถอยกลับไปเป็นน้ำมหาสมุทรอีกครั้ง นั่นคือเมื่อหมดสิ้นความคิดเกลี้ยงแท้แน่นอน จิตสำนึกรับรู้ของคุณก็จะกลับไปเป็นความรู้ตัวซึ่งเป็นความว่าง ตื่น และสงบเย็น อันเป็น “ฉัน” ตัวจริงโดยไม่เกี่ยวกับร่างกายนี้

ยังต้องทำงานอยู่ จะอยู่กับปัจจุบันได้หรือ

     คำว่างานมีสองส่วนนะ คือการลงมือทำ (process) กับเป้าหมาย (target) การลงมือทำนั้นเป็นปัจจุบันนะ ส่วนเป้าหมายนั้นเป็นอนาคต การทำงานแบบอยู่กับปัจจุบันก็คือคุณโฟกัสที่การลงมือทำหรือโฟกัสที่โปรเซส ไม่ไปโฟกัสที่เป้าหมาย คุณแค่ชำเลืองดูว่าเป้าอยู่ทางโน้นก็พอแล้ว ความเป็นจริงก็คือว่ายิ่งคุณมีความสุขกับโปรเซส ยิ่งคุณไม่สนใจผลลัพท์ คุณก็ยิ่งบรรลุเป้าเร็วและได้ผลงานดี ในทางตรงกันข้ามหากคุณโฟกัสที่เป้าหมาย การทำงานจะมีแต่ความทุกข์กังวลและผลงานที่ได้นั้นก็จะเป็นผลงานระดับพื้นๆ

แต่งานของหนูเป็นงานครีเอทีฟ มันต้องคิดจินตนาการ จะไม่คิดได้ไง

     เมื่อตะกี้ผมพูดว่าการไม่คิดผมหมายถึงการเลือกหยิบความคิดโดยผู้สังเกตนะ ความคิดลบทิ้งไป ความคิดบวกหยิบมา อย่างเช่น “ฉันเป็นจิตสำนึกรับรู้ที่สงบเย็น” นี่ก็เป็นความคิด แต่เราเลือกที่จะหยิบมันขึ้นมาและอยู่กับมันให้มาก ทิ้งความคิดอื่นไป

     คุณพูดถึงจินตนาการขึ้นมาก็ดีแล้ว จินตนาการของจริงนั้นแตกต่างจากความคิดปกติที่ถูกโยนขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกหรือความจำซึ่งผมเรียกว่าความคิดส่วนตื้นนะ คือความฉลาดของคนเรานี้มีสองระดับ คือปัญญาญาณส่วนลึก (intuition) กับความคิดส่วนตื้น (intellect) จินตนาการเป็นท่อที่นำเอาสัญญาณจากปัญญาญาณส่วนลึกผ่านท่อมา มาโผล่ในความรู้ตัว ในรูปของความสนใจอย่างยิ่ง ความตื่นเต้นหรือความชอบอย่างยิ่ง หรือความอยากทำอย่างยิ่ง ตื่นเต้นแบบเร่าร้อนกระตือรือล้นเป็นพลังงานสั่นสะเทือนร่างกาย (vibration) ได้แบบที่คนเขาพูดว่าดีใจจนเนื้อเต้นนั่นแหละ นั่นคืือพาสชั่น ( passion) ที่คนเขาพูดถึงกัน คำนี้ถ้าจะแปลเป็นไทยก็คงแปลว่า “ถูกจริต” ได้กระมัง นั่นคือเสียงเพรียกมาจาก  “ฉัน” ส่วนลึก ความคิดในลักษณะเป็นความชอบอย่างยิ่งหรือพาสชั่นนี้ ปกติมันจะถูกความกลัวกรองทิ้งออกไปเสียก่อนที่คุณจะหยิบเลือกเอาไว้ได้ แต่ผมแนะนำคุณว่าเมื่อความรู้ตัวได้รับรู้พาสชั่นนี้เมื่อใด หมายถึงว่าเมื่อคุณจับสัญญาณได้ว่ามีความตื่นเต้นอยากทำเมื่อใด ให้คุณลุยตามไปเลย อย่าไปอิงเหตุผลที่ความคิดบ้องตื้นของคุณคิดขึ้นมาขัดขวาง ให้คุณแสดงความเป็นคุณออกมาแทนที่จะปล่อยให้ความกลัวหรือความคิดลบออกมาดึงดูดสิ่งลบๆเข้ามาหาคุณต่อไปไม่รู้จบสิ้น เพราะปัญญาญาณส่วนลึกนั้นเหมือนเหยี่ยวที่เกาะอยู่บนยอดไม้ย่อมจะเห็นอะไรกว้างไกลและคาดเดาว่าอะไรจะเข้ามาหาได้เด่นชัดกว่าเหยี่ยวอีกตัวหนึ่งที่กำลังสร้างรังและสาละวนหาอาหารมาเลี้ยงลูกอยู่ เหยี่ยวตัวหลังนี้คือความคิดส่วนตื้นของคุณนั่นเอง ดังนั้นทุกๆเดี๋ยวนี้ ให้คุณเลือกเดินตามความตื่นเต้นหรือพาสชั่นนี้ไปโดยไม่สนใจผลลัพท์แม้ว่าหากคิดเอาตามเหตุผลแล้วมันจะเป็นศูนย์หรือมันจะดูอึมครึมอย่างไรก็ตาม

     ในแง่ของการเลือกทิศทางชีวิต ความสั่นสะเทือนเร่าร้อนอยากทำเป็นการแสดงออกของร่างกายที่บ่งชี้ความเป็นตัวจริงของคุณ การลงมือทำตามนั้นไปเป็นการเดินตามเข็มทิศจริงซึ่งพาไปไม่ผิดทิศแน่ และบนเส้นทางนั้นสิ่งดีๆที่จะเอื้อให้คุณสำเร็จก็จะถูกดูดเข้ามาหาเอง แต่ทั้งนี้คุณต้องไม่เผลอไปจับเอาสัญชาติญาณความกลัว หรือความโกรธ หรือแรงขับดันทางเพศของสัตว์ทั่วไปมาเป็นพาสชั่นของชีวิตคุณนะ เพราะปัญญาญาณเป็นเรื่องคนละระดับกับสัญชาติญาณของสัตว์

     เมื่อคุณจับสัญญาณพาสชั่นได้แล้ว ให้ลงมือทำตาม แล้วให้คุณติดตามพาสชั่นของคุณทุกๆเดี๋ยวนี้ ทำสิ่งตื่นเต้นนี้จบแล้ว มองว่าเดี๋ยวนี้อันใหม่จะนำความตื่นเต้นอะไรมาอีก แล้วก็ทำมันอีก คุณจะเป็นเซ็นเซอร์ที่ไวขึ้นว่าอะไรทำให้คุณตืื่นเต้นบ้าง ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะพาคุณไปไหน ให้คุณลงมือทำตามเลย ทำให้สุดความสามารถของคุณโดยหวังผลลัพท์ว่าจะเป็นแค่ศูนย์.. zero result แล้วคุณจะเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งตื่นเต้นที่คุณอยากทำมันมีสิ่งต่างๆที่คุณควรพิจารณาอย่างละเอียดอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้วโดยคุณไม่ต้องไปตั้งตะแกรงกลั่นกรองก่อนทำเลย และสิ่งที่ไม่มีอยู่ในความตื่นเต้นนั้นก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ต้องพิจารณาอยู่ดี นี่มันเป็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ของชีวิตนะครับ ซึ่งผมก็อธิบายเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน

แล้วถ้าพาสชั่นที่โผล่ขึ้นมานั้นมันไม่เกี่ยวกับชีวิตเดิมๆเลยละคะ

     คำถามนี้ของคุณถูกโยนขึ้นมาจากคอนเซ็พท์อดีตอนาคต ซึ่งเป็นคอนเซ็พท์ที่ว่าเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นต่อจากเมื่อตะกี้ซึ่งเป็นอดีต และจะตามมาด้วยอีกประเดี๋ยวซึี่งเป็นอนาคต เหมือนคนเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งเดินตามกันมา คนแรกผ่านไปแล้ว คนที่สองอยู่ที่นี่ คนที่สาม สี่ ห้า กำลังจะโผล่มาตามลำดับ เป็นแบบแผนตายตัวไม่มีผิดเพี้ยนไปจากนี้

     แต่ของจริงนั้นอดีตไม่มี อนาคตไม่มี เวลาไม่มี มีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ทีละเดี๋ยวนี้ แว่บ แว่บ แว่บ แต่ละแว่บเป็นภาพสะท้อนในกระจกเงาที่สะท้อนจิตสำนึกรับรู้ ณ ขณะหนึ่ง ไม่มีการเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งมา ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าแว่บต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนจุดของความเป็นไปได้ (probability) ที่กระจายเกลื่อนหน้ากระดาษ จุดต่อไปจะเป็นจุดไหนบนหน้ากระดาษนี้ก็ได้

    โลกคือแผ่นฟิลม์ภาพยนตร์ แต่ละภาพคือความจริงหนึ่งชุด ไม่เกี่ยวกันและเกิดขึ้นดำรงอยู่พร้อมกัน ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้ แต่การนำภาพบางภาพมาเชื่อมต่อกันของความคิดทำให้เกิดเวลา เหมือนการที่แสงส่องทะลุฟิลม์ภาพยนตร์ทีละภาพทำให้เกิดภาพเคลื่อนไหวทั้งๆที่ภาพเหล่านั้นมีอยู่พร้อมกันหมด ณ เดี๋ยวนั้นแล้ว ดังนั้นทุกอย่างเริ่มต้นทำขึ้นใหม่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ ตลอดเวลา ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ชีวิตเป็นการเรียนรู้ว่าคุณต้องการให้เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ทุกเดี๋ยวนี้คือเดี๋ยวนี้อันใหม่ ทุกเดี๋ยวนี้คือความจริงอันใหม่ แต่ใจเรานี้มีมันมีสองภาค ภาคหนึ่งคือความรู้ตัวซึ่งเป็นของจริงคือเดี๋ยวนี้ อีกภาคหนึ่งคือความคิดที่เรียงภาพจำนวนหนึ่งต่อๆกันไว้เป็นความจริงคู่ขนาน (parallel reality) ซึ่งนั่นก็คือคอนเซ็พท์เรื่องเวลาที่ใจเราสร้างขึ้น ของจริงคือคุณไม่ใช่คนคนเดียวกันกับคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งที่ผ่านมา คุณเป็นคนใหม่ที่อยู่ในความจริงอันใหม่อย่างสิ้นเชิง คุณจะเป็นคนแบบไหนขึ้นอยู่กับใจที่มีความรู้ตัวที่เดี๋ยวนี้ หากคุณทิ้งคอนเซ็พท์เรื่องอดีตอนาคตไปเสีย คุณก็จะมีอิสระเต็มที่ที่จะอยู่ที่เดี๋ยวนี้ อะไรที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตของคุณมีครบถ้วนอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้แล้ว แต่บางทีคุณก็ไม่รู้ เพราะคุณมองไม่เห็น ไม่อยู่ในคลื่นความถี่ที่จะรับรู้ การหัดขอบคุณและหัดยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้เป็นการจูนคลื่นเข้ากับสิ่งต่างๆที่มีพร้อมไว้ให้คุณแล้ว ดังนั้นอย่าไปอยากได้สิ่งที่ไม่มี ให้คุณอยากได้แต่สิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วชีวิตคุณก็จะมีและจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

แต่ว่าหนูทำไม่ดีไว้ในอดีต แล้วมันแก้ไม่ได้แล้ว ทำให้หนูมีปัญหาถึงวันนี้

     อดีตไม่ใช่สิ่งที่นำมาซึ่งปัจจุบัน ปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปสู่อนาคต ทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่เดี๋ยวนี้
คุณมองชีวิตในรูปของความอาจเป็นไปได้สิ แผ่นกระดาษที่มีจุดกระจายอยู่เป็นพันๆจุด ทุกจุดมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเดี๋ยวนี้สำหรับคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกสนองตอบต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แบบไหน เมื่อคุณเลือกสนองตอบอย่างหนึ่ง หากลากเส้นตรงเพื่อจำลองเวลาให้ผ่านจุดนี้ อดีตและอนาคตที่เส้นนี้ลากผ่านก็เป็นอย่างหนึ่ง หากลากเส้นตรงให้ผ่านที่อีกจุดหนึ่ง เส้นจำลองเวลาอดีตและอนาคตก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นอดีตและอนาคตล้วนเกิดขึ้นที่ปัจจุบัน และไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกอะไรให้เป็นปัจจุบันของคุณ ปัจจุบันนี่แหละที่เป็นตัวเปลี่ยนอดีตของคุณได้ เมื่อคุณเปลี่ยนคำนิยามว่าคุณเป็นใครที่เดี๋ยวนี้ คุณเปลีี่ยนการเชื่อมต่อกับความจริงคู่ขนานที่คุณเรียกว่าอดีตอนาคตด้วย เพราะฉนั้นคุณไม่เคยเป็นคนเดิม และไม่เคยมีอดีตเดิมๆ ทุกเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดขึ้นถี่เป็นพันเป็นหมื่นครั้งต่อวินาทีล้วนเป็นความจริงหมด จงเลือกเดี๋ยวนี้อันที่คุณชอบ หากคุณเปลี่ยนตัวคุณเองที่เดี๋ยวนี้ อดีตนั้นไม่ใช่คุณแล้ว คุณคนนี้ไม่ได้ทำ นั่นเป็นคุณอีกคนหนึ่งที่ทำ

     อนึ่ง คำถามนี้ของคุณแสดงว่าคุณกลัว อันที่จริงความกลัวมันก็มีข้อดีนะ มันคือคนที่มาเคาะประตูบอกว่าเฮ้..คุณมีความเชื่ออะไรสักอย่างที่เข้าไม่ได้กับตัวตนที่แท้จริงของคุณซุ่มอยู่ทำให้คุณมีความคิดลบอย่างนี้นะ อย่าลืมว่าสิ่งที่ปรากฎนอกตัวเป็นเงาสะท้อนของสิ่งในตัวนะ เหมือนคุณมองกระจกเงาเห็นคนหน้าบึ้งคุณไม่ไปแก้ไขที่กระจก ถูกแมะ คุณแก้ที่ตัวคุณ คุณไม่ใช่แค่เป็นผู้สร้างจักรวาลรอบตัวคุณนะ ตัวคุณนั่นแหละเป็นจักรวาลรอบตัวคุณ ถ้าคุณโฟกัสที่ความกลัว ทุกสิ่งรอบตัวคุณจะสัมพันธ์กับเรื่องที่คุณกลัว ถ้าคุณโฟกัสที่การมีอำนาจทำการให้สำเร็จ ทุกสิ่งก็จะเอื้อให้คุณมีอำนาจทำการให้สำเร็จ คุณต้องใช้ชีวิตแบบว่าให้ทุกอย่างเกิดขึ้น “ผ่าน” คุณ ไม่ใช่ทุกอย่างเกิดขึ้น “กับ” คุณ

     อะไรบ้างเกิดขึ้นในชีวิตคุณ นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่การทำอย่างไรกับสิิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในชีวิตคุณนั่นเป็นประเด็น เหตุการณ์แวดล้อมไม่สำคัญ การสนองตอบต่อเหตุการณ์แวดล้อมซึ่งเป็นตัวกำหนดสภาวะความเป็นคุณ ณ ขณะนั้นเท่านั้นที่สำคัญ ถ้าคุณเลือกที่จะมีแต่ความตื่นเต้น ร่าเริง รัก เมตตา มีพาสชั่น สร้างสรรค์ เติบโต เฉลิมฉลอง ชีวิตคุณก็จะเป็นแบบหนึ่ง แต่ถ้าคุณเลือกที่จะถูกจำกัด ถูกควบคุม กลัว โกรธ เศร้า ชีวิตคุณก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง

จะไม่สนใจเป้าหมายได้อย่างไรละคะ ในเมื่อเราต้องการความสำเร็จ

     ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าไม่สำเร็จนะ มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย ซึ่งผมถือว่าเป็นมันเป็นสิ่งที่จะบ่งบอกเรื่องที่ผมไม่รู้มาก่อน และนั่นผมถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องตื่นเต้นยินดี ผมจึงมองไม่เห็นว่าอะไรจะเป็นอุปสรรคขัดขวางชีวิตนี้เลย เห็นแต่ความตื่นเต้นที่ผมยังไม่รู้จัก และเมื่อผมเดินตามพาสชั่นของผมไป หมายความว่าผมเปิดใจเชื่อพาสชั่นของผมจนหมดใจ ผมไม่ต้องรู้รายละเอียดว่าพาสชั่นนั้นจะทำสำเร็จได้อย่างไร นั่นไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องคิด นั่นเป็นหน้าที่ของปัญญาญาณ ผมคาดหวังแค่ศูนย์ ผมแค่เดินตามเข็มทิศแห่งความตื่นเต้นนั้นไปอย่างมั่นใจว่าปัญญาญาณจะทำให้มันเกิดขึ้นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็พอแล้ว

ถ้าความคิดที่โยนขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกมันมีแต่ลบ ลบ ลบ จะทำไงคะ

     การจะเลิกสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาและฝังแฝงอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “กรรมเก่า” นี้ ต้องใช้วิธีให้ผู้สังเกตหรือความรู้ตัวหยิบมันขึ้นมาทีละความคิด แล้วสอบสวนเปิดโปงให้เห็นที่มาที่ไปของมันให้ล่อนจ้อน ว่าแท้จริงแล้วมันล้วนมาจากการหลงยึดติดในหล่มของความเป็นบุคคล แล้วเลิกให้ค่าหรือให้น้ำยากับความคิดนั้นเสีย ขึ้นทะเบียนมันไว้เสียด้วย ทำอย่างนี้ไปทีละความคิดๆ ในที่สุดมันก็จะเลิกกลับมา แล้วจะค่อยๆหมดไปเอง

แล้วความเป็นจริงภายนอกตัวเราก็มีส่วนบังคับให้เราต้องเลือกทางเดิน

     ไม่มีความเป็นจริงที่ข้างนอกตัวดอก ความจริงนอกตัวไม่มีอะไรนอกจากการที่ใจเรามีไอเดียเกี่ยวกับมันอย่างไรเท่านั้น เราไปคิดเอาเองว่ามีความจริงที่ข้างนอกตัว ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าสิ่งภายนอกไม่ใช่ของจริง แต่ผมหมายความว่าประสบการณ์หรือการสนองตอบที่คุณมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกในฐานะเป็นสิ่งเร้านั้น เกิดจากความสนใจซึ่งเป็นพลังงานที่ออกไปจากความรู้ตัวที่ภายในตัวคุณเอง

หนูก็อยากลงมือทำตามพาสชั่นของตัวเอง แต่มันมีแรงต้าน มันลังเล

     เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าชีวิตหนักๆและมีแรงต้าน แสดงว่าคุณกำลังพกพาความเชื่อที่ไม่ใช่คุณอยู่ในตัวคุณ ความลังเลสงสัยไม่ใช่เป็นแค่การขาดความเชื่อมั่น แต่มันเป็นความเชื่อมั่นว่าคุณไม่เชื่อมั่น ตรงนี้คือความเชื่อที่คุณติดหล่มอยู่ ความเชื่อเป็นความคิดนะ ผมพูดแค่นี้คุณคงเข้าใจ ว่าควรจะทำยังไงกับมันดี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์