Latest

จดหมายจั่วหัวว่า “ไร้สาระ”

สวัสดีค่ะอ.หมอสันต์ที่นับถือ
ดิฉันได้ติดตามบทความของคุณหมอมาได้เกือบปีแล้ว รู้สึกศรัทธาในความเป็นผู้ให้ และจิตใจ
ที่เป็นสาธารณกุศลของคุณหมอมากค่ะ ดิฉันเคยทำงานพยาบาลเอกชนในกทม.มาหลายรพ.
แต่ก็ไม่เคยพบหมอที่มีจิตวิญญาณเป็นหมอเช่นคุณหมอมาก่อน จากการได้สัมผัสจากงานเขียนและสื่อฯ
เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ดิฉันมั่นใจว่าคุณหมอเป็นคนดีจริง เมื่อมีความศรัทธาเชื่อมั่นในตัวคุณหมอ พอมีคนในวงการ(วิชาชีพ)เดียวกันมากล่าวหาคุณหมอทำให้ดิฉันไม่พอใจ เท่าที่พอรวบรวมได้คือมีอยู่ 3 ข้อหาคือ

1. การอ้างข้อมูลอ้างอิงไม่เป็นจริง เพราะมีคนตามดูเปเปอร์แล้วไม่เป็นอย่างที่อ้าง อันนี้ดิฉันไม่สามารถพิสูจน์ได้เพราะภาษาไม่แข็งแรง และคิดว่าเมื่อรักแล้วรักเลย คุณหมอย่อยให้ขนาดนี้แล้ว และไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเอง มีแต่ประโยชน์ เลยเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ค่ะ

2. คุณหมอหลอกเอาเงิน อันนี้ดิฉันเห็นว่าแค้มป์ที่คุณหมอจัด คนที่ไปร่วมจะได้มากกว่าเสียเสียอีก
เท่ากับไปพักผ่อนและได้ความรู้ในการใช้ชีวิต และดูแลตัวเอง อันนี้ก็ยังไม่เคยไปแต่จากงานเขียนของคุณหมอดิฉันเชื่อว่าดีจริง

3. ตามที่คุณหมอเล่นเรื่อง จิตวิญญาณ อาจเข้าขั้น คนไข้ศรีธัญญาไปแล้ว ส่วนตัวดิฉันเข้าใจค่ะ เพราะสนใจเรื่องนี้อยู่

4. นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องคือ คุณหมออาจแอบทานยารักษาตัวอยู่ ทั้งๆทีี่เสนอการดูแลตัวเองแบบธรรมชาติ ดิฉันยิ่งสุดโต่งกว่าคุณหมออีก คือไม่เอาวัคซีน หรือวิตามินเสริม (ทานมังฯอยู่)เลย

คนที่กล่าวหาคุณหมอเป็นคุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทดิฉัน และบอกว่าหมอหลายคนที่รพ.เขาก็พูด(กล่าวหา)อย่างนี้เหมือนกัน ดิฉันเป็นเดือดร้อนแทนว่า ทำไมนะ พวกนี้นอกจากไม่ทำอะไรที่เป็นสาธารณะประโยชน์นอกจากคอยเอาแต่ผลประโยชน์ใส่ตัวเองแล้ว ยังเหยียบย่ำ หรือดูถูกคนที่มีความคิดเห็นหรือกระทำไม่เหมือนตัวเอง แล้วอ้างว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำกัน การกระทำหรือความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ไม่ใช่จะถูกเสมอไป แม้แต่ศาสดาของศาสนายังมีคนดูถูก

…………………………………………………
ตอบครับ
     ขอบคุณมากครับที่กรุณาเล่ามา
     1. เรื่องเอกสารอ้างอิงในบรรณานุกรมบางอันตามไปไม่เจออาจเป็นความจริงได้นะครับ โดยเฉพาะช่วงที่ผมเร่งเขียนหนังสือ “ป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเอง” เมื่อพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง ผมใช้เอกสารอ้างอิงสามพันกว่าชิ้น คัดเลือกนำมาอ้างราวสามร้อยชิ้น การจัดการเชื่อมโยงการอ้างอิง (citation) อาจมีผิดพลาด ซึ่งหากแฟนบล็อกหรือผู้อ่านหนังสือท่านใดอ่านพบว่าเอกสารอ้างอิงอันไหนของผมไม่ว่าจะเป็นในบล็อกก็ตาม ในหนังสือก็ตาม หากพบว่าตามไปอ่านเอกสารอ้างอิงแล้วหาไม่พบก็ขอความกรุณาเขียนมาบอกผมด้วยนะครับ ผมจะได้แก้ไขให้ ไม่ว่าจะเป็นบทความเก่าที่เขียนไว้กี่ปีแล้วก็ตามหากบรรณานุกรมผิดพลาดผมรับปากว่าจะแก้ไขให้ ผมเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้เพื่อท่านผู้อ่านที่จะมาอ่านภายหลังจะได้ใช้ประโยชน์จากบรรณานุกรมได้เต็มๆ
    ความจริงตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผมเขียนบล็อกมานี้ ได้มีเพื่อนแพทย์จำนวนมากช่วยเขียนมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง ทักท้วงความผิดพลาดบกพร่องของบทความบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทั้งในแง่ที่เป็นการให้ความรู้แก่ผมเอง และทั้งในแง่ที่จะทำให้คนอ่านบล้อกได้ประโยชน์ และผมได้ตรวจสอบย้อนหลังและแก้ไขบทความของผมตามคำทักท้วงทุกครั้ง ผมต้องขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนแพทย์เหล่านั้นทุกท่านด้วย 
     2. เรื่องที่มีคุณหมอท่านหนึ่งนินทาว่าหมอสันต์หากินหลอกเอาเงินชาวบ้านนี้ แหม หิ หิ อันนี้ประเมินความสามารถของหมอสันต์สูงเกินไปเสียแล้วมังครับ เพราะภรรยาหมอสันต์ประเมินหมอสันต์ไปอีกทางคือประเมินว่าชอบไปถูกคนอื่นเขาหลอกเอาเงินอยู่เรื่อย  แต่ไหนๆคุณก็เขียนมาแล้วก็ขอแถลงไขเสียเลย โดยแยกเป็นสองประเด็นนะ
     ประเด็นแรก หมอสันต์นี้เป็น professional ซึ่งคำนี้ดิกชันนารีของ ส.เศรษฐบุตรแปลเป็นภาษาไทยว่า “พวกหากิน” อันนี้เป็นความจริงแท้แน่นอนว่าหมอสันต์เป็นพวกหากิน สมัยก่อนหากินทางรับจ้างผ่าตัดหัวใจ ทุกวันนี้หากินทางรับจ้างสอนให้คนป่วยรู้วิธีดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังหากินซื้อถูกขายแพงใดๆที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมด้วยตลอดมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ สมัยพวกหมอเขาบ้าหุ้นกันหมอสันต์ก็ซื้อขายหุ้น สมัยพวกหมอเขาบ้าที่ดินกันหมอสันต์ก็ซื้อขายที่ดิน ไม่มีหมอคนไหนบ้าปลูกผักขาย แต่หมอสันต์ก็ไปปลูกผักขาย สองอย่างแรกได้เงินบ้างเสียเงินบ้าง แต่อย่างหลังนี้เสียเงินลูกเดียว แต่กล่าวโดยสรุปที่คนเขาพูดว่าหมอสันต์เป็นพวกหากิน นั่นเขาพูดถูกแล้ว
     ประเด็นที่สอง ที่คุณหมอท่านนั้นท่านว่าหมอสันต์หลอกเอาเงินชาวบ้าน หุ หุ อันนี้ขอให้เป็นดุลพินิจของผู้ซื้อสินค้าและบริการจากหมอสันต์ก็แล้วกันนะว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริงหรือความเท็จ เพราะสินค้าหลักที่หมอสันต์ใช้ทำมาหากินก็คือความรู้วิชาชีพแพทย์ซึ่งพิสูจน์ความจริงหรือเก๊กันได้ไม่ยาก โดยขายในรูปของการเปิดคอร์สฝึกอบรมโดยเสียเงินลงทะเบียนเข้ามาเรียน ส่วนความรู้ที่เผยแพร่ทางบล็อกและวิดิโอคลิปทางยูทูปนั้นไม่เกี่ยวนะ เพราะนั่นแจกฟรี 
     3. ที่คุณกระซิบบอกว่าคุณหมอท่านนั้นบอกว่าที่หมอสันต์เล่นเรื่องจิตวิญญาณนั้น เข้าขั้นเป็นคนไข้ศรีธัญญาหรือเป็นคนบ้าไปแล้ว ฮิ ฮิ ตรงนี้ถูกใจมากเลย คุณอย่าไปโกรธคุณหมอเขาแทนผม ตัวหมอสันต์เองยังตบเข่าฉาดด้วยความถูกใจเลย สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัดได้มีโอกาสหมุนเวียนไปประจำอยู่ที่รพ.หลังคาแดง (สมเด็จเจ้าพระยา) ซึ่งเป็นรพ.รักษาคนบ้าอยู่หลายเดือน ผมได้พยายามเปรียบเทียบผมกับคนบ้าคนหนึ่งว่าเราสองคนมีอะไรที่เหมือนและที่แตกต่างกัน และส่วนที่แตกต่างกันของผมกับของคนบ้าของใครดีกว่ากัน ผมมีข้อสรุปตั้งแต่สมัยนั้นแล้วว่า ในบางประเด็นเช่นการเข้าถึงความจริงที่ว่าความเป็นบุคคลหรืออัตตาของเรานี้แท้จริงเป็นเพียงความคิดไร้สาระที่ไม่ควรไปหลงยึดถือ ตรงนี้คนบ้าคนนั้นเข้าถึงความจริงนี้ได้ดีกว่าผมมาก ดังนั้นการที่คุณหมอท่านที่คุณเล่ามาพูดอย่างนั้นท่านพูดความจริงนะ เพราะผมเทียบตัวผมสมัยเป็นแพทย์ฝึกหัดกับตัวผมตอนนี้ ตัวผมตอนนี้ตีตื้นทำคะแนนในเรื่องการวางความคิดขึ้นมาถึงระดับใกล้เคียงกับคนบ้าแล้วจริงๆ
     4. คุณเล่าว่าคุณหมอท่านนั้นพูดอีกว่าหมอสันต์แอบกินยารักษาตัวอยู่แต่ไม่บอกใคร ฮ้า..า ฮ้า..า ถูกใจอีกละ คนไข้ที่ผมรู้จักมีหลายคนที่พอหมอให้ยามาแล้วไม่ยอมกินแต่ไม่กล้าบอกหมอเพราะกลัวถูกหมอเอ็ดตะโรเอา แล้วก็มีคนไข้ของผมเองอีกจำนวนหนึ่งซึ่งพอปรับเปลี่ยนอาหารการกินและออกกำลังกายได้ที่แล้วตัวชี้วัดต่างๆเช่นความดันเลือดไขมันในเลือดน้ำตาลในเลือดดีขึ้นจนหมอออกปากชม แต่พอคนไข้พาซื่อบอกหมอว่าที่ผ่านมาไม่ได้กินยาที่หมอให้หรอก แค่นั้นแหละหมอไม่เชื่อแถมโกรธเอาจนจะตัดเป็นตัดตายกันเลย ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่ต้องปรับตัวยอมโกหกหมอว่ายังกินยาอยู่ทั้งๆที่ความจริงเก็บยาที่หมอให้ไว้ที่บ้านเป็นปี๊บ (ไม่เป็นไร..ยาฟรี ว่างั้น) 
     แต่เนื่องจากตัวหมอสันต์นี้นอกจากจะเป็นคนไข้แล้วยังเป็นหมอด้วยแบบทูอินวัน การเป็นแพทย์หมายถึงการเป็นนักวิทยาศาสตร์ จะไปโกหกข้อมูลต่อกันเพื่อไม่ให้โกรธกันนั้นไม่ใช่วิสัยที่นักวิทยาศาสตร์พึงทำ เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพของผมดีขึ้นจนไม่มีข้อบ่งชี้ให้กินยาผมก็เลิกกินยาแล้วผมก็พูดตรงๆว่าผมเลิกกินยา คุณหมอท่านจะไม่เชื่อผม จะโกรธผม ผมก็เข้าใจและเห็นใจท่านนะ แต่ผมก็ไม่รู้จะช่วยท่านให้บรรเทาความโกรธของท่านได้อย่างไร
     ตอนขึ้นต้นจดหมายนี้ผมขอบคุณคุณที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมและเล่าเรื่องมา แต่ก่อนจะจบจดหมายนี้ผมอยากให้คุณใช้เรื่องนี้เป็นบทเรียนในการใช้ชีวิต กล่าวคือสิ่งเร้าจากภายนอกที่เข้ามาสู่ตัวเรานั้น จะเป็นอะไรอย่างไรไม่สำคัญ แต่สำคัญที่เราจะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นอย่างไร คนอื่นเขาจะพูดอะไรเข้าหูคุณนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่พอฟังปุ๊บคุณโกรธปั๊บนี่สิเป็นเรืื่องสำคััญ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้านะ คุณโกรธเพราะคุณยังแยกประเด็นสิ่งเร้ากับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าว่าอะไรสำคัญกว่ากันไม่ออก คุณต้องทำความเข้าใจและฝึกหัดตรงนี้เสียใหม่ เช่น สมมุติว่าเราถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หรืือเราได้เคมีบำบัดแล้วมะเร็งกลับเป็นอีก หรือเราเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ทั้งหมดนี้คือสิ่งเร้าจากภายนอกนะ ซึ่งไม่สำคัญ เราจะไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่ได้ด้วยเพราะมันมีเหตุปัจจัยมากมาย แต่การที่เราจะสนองตอบต่อสิ่งเร้านั้น (ด้วยการคิด) อย่างไรนั้นสำคัญ การสนองตอบด้วยการคิดลบเท่ากับเรายอมให้สิ่งเร้าพาชีวิตเราให้ต่ำลง แต่การสนองตอบในทางบวกเท่ากับเราพลิกตัวอาศัยสิ่งเร้านั้นดันชีวิตเราให้สูงขึ้น 
  
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์