Latest

มะเร็งลำไส้ใหญ่ จะไม่ให้เคมีบำบัดได้ไหม

เรียนอาจารย์สันต์ครับ
ผมมีคนไข้เป็นมะเร็งลำไส้ ผ่าตัดแล้ว หมายถึงตัดลำไส้เพราะใส้ตันถ่ายไม่ออก ไปเจอมะเร็งลำไส้ หลังจากนั้นผมแนะนำให้ทานผักผลไม้ปั่น เขาทานได้และชอบทานและรู้สึกดีมากๆ และเมื่อ 27 ธค 60 ที่ผ่านมาเขาไปให้คีโมครั้งแรกแล้วอาการแย่มากเลยไม่อยากให้อีก เขาถามว่าถ้าเขาไม่ให้คีโมอีกได้มั๊ย และจะหันมาดูแลสุขภาพเอง เพราะต้องให้อีกถึง11ครั้งเขากลัวไม่ไหว…เลยขอถามอาจารย์ครับ.
1.ถ้าไม้ให้คีโม ครบตามที่หมอนัดได้มั๊ยเคยมีใครให่แค่ครั้งเดียวแล้วหยุดมั๊ยครับ
2 การลุกลามของโรคจะกำเริบมั๊ยครับถ้าหยุดคีโม แล้วทานผักอย่างเดียวเลย
จึงขอเรียนถามอาจารย์ครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงครับอาจารย์
…. (แพทย์แผนไทย)

…………………………………………….

ตอบครับ

     เมื่อเป็นมะเร็ง ประโยชน์ของเคมีบำบัดจะมีมากหรือน้อย พิจารณาจากสองประเด็น คือ

     1. ระยะ (stage) ของมะเร็ง กล่าวคือยิ่งมะเร็งระยะท้ายๆ เคมีบำบัดก็ยิ่งมีประโยชน์คือลดอัตราตายได้มากกว่าไม่ให้ยาได้ชัดเจน คนไข้รายนี้ผมเดาว่ามะเร็งอยู่ในระยะท้ายแล้ว คือประมาณ stage 3 หรือ 4 แล้ว เพราะตัวเนื้องอกมีขนาดใหญ่ถึงระดับขัดขวางการเคลื่อนตัวของอุจจาระได้แล้ว เคมีบำบัดจึงน่าจะมีประโยชน์มาก

    2. การสนองตอบของเซลมะเร็งต่อเคมีบำบัด เผอิญว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งชนิดที่สนองตอบต่อเคมีบำบัดดี การให้เคมีบำบัดจึงจะได้ประโยชน์มาก

     สรุปว่าผู้ป่วยรายนี้ เป็นกรณีที่เคมีบำบัดมีประโยชน์มาก คำแนะนำที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ก็คือหากไม่มีข้อขัดข้องจนทนไม่ไหวก็ควรจะให้เคมีบำบัดให้ครบ

     แต่ในกรณีที่มีข้อขัดข้อง คือทนยาไม่ไหว อันนี้ผู้ป่วยต้องตัดสินใจเลือกเอาเองระหว่าง

    1. ถูลู่ถูกังให้เคมีบำบัดไปให้ครบ โดยยอมรับความทรมานจากยา หรือ

     2. เลิกให้ยาแล้วหันมาพึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแทนอย่างเดียว โดยยอมรับความเสี่ยงที่มะเร็งจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ (recurrence) มากขึ้น ทั้งนี้ต้องเข้าใจก่อนนะว่าทั้งสองทางเลือกคืือไม่ว่าจะเคมีบำบัดหรือไม่เคมีบำบัด ต่างก็มีโอกาสที่มะเร็งจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ทั้งคู่ แต่การให้เคมีบำบัดมีความเสี่ยงที่มะเร็งจะกลับเป็นน้อยกว่าไม่ให้

     การตัดสินใจเลือกตรงนี้ไม่มีข้างไหนถูกข้างไหนผิด และไม่มีใครตัดสินใจแทนได้ ตัวผู้ป่วยต้องตัดสินใจเลือกเอง คนอื่นรวมทั้งแพทย์ทำได้แค่ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น

     กรณีให้เคมีบำบัดแล้วหยุดกลางคันเพราะทนไม่ไหว คือให้ไม่ครบคอร์ส ก็ยังมีผลดีกว่าไม่ได้ให้เลย (ถ้าไม่มีเหตุพิเศษเช่นแพ้ยารุนแรง) มันไม่เหมือนการผ่าตัดที่สมมุติว่าผ่าไปได้ครึ่งเดียวแล้วหมอเกิดเซ็งทิ้งมีดไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไม่ทำต่อ ทิ้งให้แผลหน้าท้องเปิดเหวอะหวะไว้อย่างนั้น คนไข้ย่อมจะตายแหงแก๋ แต่การให้เคมีบำบัดไปแล้วบ้างครึ่งๆกลางๆแต่ไม่ครบคอร์ส ไม่ได้มีผลเสียเหมือนการผ่าตัดแล้วทิ้งไปกลางคันอย่างนั้น เหตุผลเดียวที่หมอเขาลุ้นให้ครบคอร์สก็เพราะงานวิจัยที่ว่าเคมีบำบัดได้ผลไม่ได้ผลนั้นในงานวิจัยเขาให้กันครบคอร์สกันหมด มันก็เหมือนกับการออกกำลังกายที่ว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้มันต้องออกให้ถึงระดับมาตรฐานคือหอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้ครั้งละสามสิบนาทีสัปดาห์ละห้าวัน แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ออกน้อยกว่านั้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยหรือสุขภาพจะเสียหายเพราะออกกำลังกายไม่ครบ มันไม่ใช่อย่างนั้น ออกไม่ครบก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ประโยชน์มากอย่างที่งานวิจัยเขาว่าไว้เท่านั้น ดังนั้นหากตัดสินใจจะถูลู่ถูกังให้เคมีบำบัดต่อไป ไม่ต้องไปมองถึง 11 ครั้ง มองทีละครั้งๆก็พอ ไปต่อไม่ไหวจริงๆค่อยไปหยุดกลางคันก็ได้ เพราะได้ยาบ้างก็ยังดีกว่าไม่ได้ การไปมองถึง 11 ครั้งทำให้กลัวหัวหดเลยไม่ได้ยาเลย

     ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกข้างไหน สิ่งที่ต้องทำซึ่งเป็นเรื่องใหญ่กว่าและสำคัญกว่า นอกจากการปรับอาหารมากินพืชเป็นหลัก การออกกำลังกายและผ่อนคลายจากความเครียดเพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานดีแล้ว ก็คือการอาศัยการเป็นมะเร็งครั้งนี้มองให้เห็นชีวิตตามที่มันเป็นจริง มองให้เห็นว่าในทั้งสามส่วนของชีวิตคือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) ความรู้ตัวนั้น ร่างกายกับความคิดไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับเราถาวร พูดง่ายๆว่าไม่ใช่ “ฉัน”ที่แท้จริง ความรู้ตัวนั่นแหละคือ “ฉัน” ที่แท้จริง ให้ทิ้งมุมมองของการเป็นบุคคลซึ่งเป็นผลจากการปั้นแต่งร่างกายเข้ากับความคิดให้ขึ้นมาเป็นตัวตนหรือตัวกู หันมามีชีวิตจากมุมมองของการเป็นผู้รู้ตัวหรือการเป็น “ดวงวิญญาณ” ซึ่งดำรงอยู่เฉพาะที่นี่ เดี๋ยวนี้ โดยแยกออกมาจากร่างกายและความคิด

     ความคิดที่ว่าถ้าไม่คีโมแล้วจะยังงั้นไหม ถ้าคีโมแล้วจะยังงี้ไหม เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว ตัดสินใจแล้วก็ให้จบแล้วทำตามนั้น เพราะถ้าไม่จบมันจะกลายเป็นความกังวลถึงอนาคตซึ่งเกิดจากการมองชีวิตไปจากมุมมองของการเป็นบุคคล พูดง่ายๆว่ามันจะกลายเป็นความเป็นห่วงตัวกูเรื้อรังซึ่งจะพาให้ทุกข์ฟรีโดยไม่จำเป็น หากตระหนักรู้ว่าความเป็นบุคคลนี้ไม่ใช่ของจริง ความกังวลนั้นก็จะไม่มีน้ำหนักอะไร เพราะ “ฉัน” ซึ่งเป็นดวงวิญญาณที่ดำรงอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้นั้นเป็นอะไรที่มีธรรมชาตินิ่งและสงบเย็นเสมอ ถ้าเข้าถึง “ฉัน” ตัวจริงนี้ได้ ประเด็นก็จะมาอยู่ที่การมีชีวิตอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างสงบเย็นเป็นนิรันดร์ ส่วนมะเร็งจะกลับเป็นไม่กลับเป็น ก็ไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องของที่นี่ เดี๋ยวนี้

สันต์