Latest

ทำไมยิ่งเสาะหาความหลุดพ้นยิ่งเซ็กซ์จัด

เรียนคุณหมอสันต์
ผมเกษียณแล้ว แอบติดตามอ่านคุณหมอมานาน ชอบมากที่คุณหมอเขียนเรืื่องความหลุดพ้น นับแต่เกษียณมาผมก็ตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรม ไปเข้า… แล้วสี่ครั้ง ไปปฏิบัติที่วัด.. แนวหลวงพ่อ…บ่อยๆ ก็มีความก้าวหน้าดี แต่มาได้สามปีก็เกิดมีความต้องการทางเพศรุนแรงขึ้นจนเอาไม่อยู่ บางครั้งนั่งปฏิบัติอยู่ต้องแอบลุกไปห้องน้ำ ผมแสวงหาความหลุดพ้น ย่อมไม่อยากจะติดกับหรือข้องแวะกับกามฉันทะ แต่ไม่รู้จะปรึกษาใคร เคยลองปริปากกับ … ท่านไม่เก็ทเลย รบกวนคุณหมอช่วยแนะนำด้วย

……………………………………………..

    ผมชั่งใจอยู่นานว่าจะตอบจดหมายของคุณดีไหม ที่ลังเลไม่ใช่กลัวจะต้องพูดเรื่องเซ็กซ์ ไม่เลย ตรงนั้นหมอสันต์ไม่ลังเลเลย แต่ลังเลเพราะคำอธิบายของผมคนอ่านไม่แน่ว่าจะฟังรู้เรืื่องหรืือเปล่า นอกจากจะฟังไม่รู้เรื่องแล้วอาจจะยิ่งฟังก็ยิ่งชวนให้เชื่อว่าหมอสันต์เป็นบ้าไปแล้วตามที่คนบางคนเขาว่าจริงๆอีกต่างหาก

     ประเด็นที่ 1. ทำไมมุ่งสู่ความหลุดพ้นแต่กลับเซ็กซ์จัดยิ่งขึ้น

     การที่คุณปฏิบัติธรรมแล้วมีความรู้สึกต้องการทางเพศมากขึ้น นี่เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่กลไกซับซ้อนอะไร เพราะร่างกายของเรามีระบบประสาทอัตโนมัติไว้รับมือกับสิ่งคุกคามจากภายนอก ซึ่งก็คืือความเครียดนั่นเอง เมื่อมีความเครียด ระบบของร่างกายที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนสามระบบจะถูกปิดการใช้งานชั่วคราวเพื่อสงวนพลังไว้รับมือกับสิ่งคุกคาม ทั้งสามระบบนั้นได้แก่ระบบทางเดินอาหาร ระบบภูมิต้านทานโรค และระบบสืบพันธ์ ในยุคปัจจุบันนี้สิ่งคุกคามต่อชีวิตเราแทบจะเหลืออยู่อย่างเดียวคือความคิดของเรานั่นเอง ความคิดเป็นต้นเหตุของความเครียด เมื่อมีความคิดมาก ร่างกายเครียด ระบบสืบพันธ์ก็ถูกปิดการใช้งาน พอคุณไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิวางความคิด ความคิดเหลือน้อยลง ความเครียดลดลง ระบบสืบพันธ์ก็กลับมาทำงานใหม่ กลไกมันมีแค่นี้เอง เรื่องการมีความรู้สึกทางเพศมากขึ้นในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมนี้เป็นสิ่งที่รู้กันทั่ว ไม่ใช่ความลับอะไร

     เขียนมาถึงตรงนี้ขอนินทาเพื่อนบ้านหน่อย ที่หมู่บ้านที่มวกเหล็ก นานหลายปีมาแล้วมีเพื่อนบ้านใหม่คู่หนึ่งมาซื้อบ้านอยู่ มีอายุสี่สิบกลางๆแล้ว จึงจัดว่าเป็นคู่ที่อายุเกือบจะน้อยที่สุดในหมู่บ้าน พวกเราก็จัดเลี้ยงต้อนรับตามประสาเพื่อนบ้านสอดรู้สอดเห็น จึงได้ทราบว่าทั้งคู่ไม่มีลูกมิใยว่าจะพยายามกันอย่างไร เงินทองก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ไหน จึงปลงสังขาร เอ๊ย ไม่ใช่ปลงชีวิต ตัดสินใจซื้อหมามาหนึ่งตัวกะจะเกษียณก่อนกำหนดหนีความเครียดพากันมาใช้ชีวิตเงียบๆกับหมากันที่นี่ แล้วเป็นไงรู้ไหม ยังไม่ทันยื่นใบลาออกเลย ได้ลูกซะแล้วหนึ่งคน ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น นี่ช่วงนี้ผมไม่ได้เห็นหน้าทั้งคู่มาหลายเดือนแล้วคงยุ่งกับการพาลูกไปกวดวิชาเข้าอนุบาล.. อามิตตาภะ พุทธะ

     ประเด็นที่ 2. จะรับมือกับความอยากมีเซ็กซ์ได้อย่างไร

     คนฉลาดไม่มีใครอธิบายถึงสิ่งที่ผมพยายามจะอธิบายเพราะมันเป็นสิ่งที่ใช้ภาษาอธิบายไม่ได้แล้วจะอธิบายไปทำไม แต่ผมมันคนปากอยู่ไม่สุข มันอดไม่ได้ที่จะต้องอธิบาย ก่อนจะอธิบายขอเกริ่นเล่าเรื่องย้อนหลังไปราวสามสิบปี สมัยที่ประเทศไทยเริ่มจะญาติดีกับคอมมูนิสต์เวียตนามใหม่ๆ รัฐบาลเวียดนามได้ส่งศิลปะการแสดงมาเชื่อมสัมพันธ์นำร่องก่อนเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย ผมไปดูการแสดงนั้น มันเป็นการแสดงคล้ายๆหุ่นกระบอก เพียงแต่คนชักใยแต่งตัวชุดดำอยู่ใต้เวที พื้นเวทีเป็นผ้าสีน้ำเงินที่ถูกสบัดเป็นคลื่นตลอดเวลาเพื่อสื่อว่าเป็นพื้นน้ำมหาสมุทร ส่วนหุ่นกระบอกทั้งหลายก็เป็นเรืือล่องลอยอยู่บนผิวน้ำและผู้คนบนเรืือ แต่เนื่องจากเวทีนั้นทำขึ้นแบบไม่ได้ซีเรียสในการที่จะปิดบังข้างใต้เวทีให้มิดชิดนัก ผมนั่งอยู่แถวหน้าๆจึงเห็นคนนุ่งชุดดำอยู่ใต้ผิวน้ำคอยชักใยหุ่นที่ขยับไปขยับมาที่เหนือผิวน้ำอยู่ เท่ากับได้ดูทั้งบนเวทีและใต้เวทีพร้อมกัน

     ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้น มีส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำเสมือนตัวหุ่นทั้งหลาย และมีส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำซึ่งเรียกชื่อไม่ถูกว่าเป็นอะไรแต่เป็นผู้ชักใยหุ่นเหนือผิวน้ำอยู่ ส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำนั้นคือสิ่งที่บอกเล่าสู่กันได้ด้วยภาษาและรูปร่าง (names and forms) หรือสมมุติบัญญัติ ส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำนั้นแม้จะเป็นองค์ประกอบของชีวิตเหมือนกัน แต่อธิบายไม่ได้ เพราะมันเป็นพลังงานที่มีแต่คลื่นความสั่นสะเทือน (vibration) ล้วนๆ ไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาใดๆ ได้แต่ใช้คำที่สื่อถึงได้เลาๆ ว่ามันเป็น “พลังงาน” หรืือโดยการลาดตระเวณอายตนะร่างกาย (สัมปชัญญะ) ว่ามันรับรู้ได้เป็นความร้อนวูบวาบซู่ซ่าๆยิบๆพริ้วๆไหวๆแต่มองไม่เห็นราวกับเป็นพยับแดด บางคนเรียกมันว่า “ปรมัตถ์” ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเรียกอย่างนั้นจะทำให้เข้าใจมากขึ้นหรือยิ่งเข้าใจน้อยลง เอาเป็นว่าพลังงานนี้ซ้อนทับอยู่กับร่างกายนี่เองและมีปฏิสัมพันธ์กับร่างกายและความคิดแบบเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนแยกจากกันไม่ออก แต่สองส่วนนี้มีโลกทัศน์วิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันลิบลับ กล่าวคืือร่างกายและความเป็นตัวตนบุคคลคนหนึ่งอันเป็นเสมือนส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำนั้นมีธรรมชาติแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศไม่ปะปนยุ่งกับสิ่งอื่นข้างนอก แต่พลังงานชีวิตอันเป็นเสมือนส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำนั้นมีธรรมชาติมุ่งขยายตัวสู่ความไม่จำกัด จึงมีความพยายามจะแหกด่านแหกกรงออกไปสู่อิสรภาพอันกว้างใหญ่นอกกรงของร่างกายและความเป็นบุคคลคนนี้อยู่ตลอดเวลา

    หลายอย่างในชีวิตคนเรานี้มีสองขา ขาหนึ่งเหมือนสิ่งที่อยู่เหนือน้ำในศิลปะการแสดงของเวีียดนาม มีเนื้อหาสาระที่อธิบายได้ด้วยชื่อและรูปร่าง อีกขาหนึ่งเป็นพลังงานที่อธิบายไม่ได้อยู่ใต้น้ำ “ความอยาก” เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มีคุณสมบัติสองขาเช่นนี้ ความอยากมีธรรมชาติที่จะแหกด่านแหกกรงออกไปสู่อิสรภาพอันไม่สิ้นสุด แล้วกรงหรือด่านอะไรละที่กักขังความอยากนั้นไว้ ก็คือขอบเขตของร่างกายนี้และความเป็นบุคคลคนนี้นี่ไงที่เป็นความจำกัดของความอยาก เพราะความอยากก็เป็นพลังงานชีวิตอันหนึ่งที่มีศักยภาพไร้ขอบเขต มันต้องดิ้นรนไปของมัน ได้หนึ่งจะเอาสอง ได้สองจะเอาสาม ไม่สิ้นสุด การที่จิตสำนึกรับรู้ของเราไปยึดถือความเป็น “ฉัน” โดยนิยามว่าฉันคือร่างกายนี้และความเป็นบุคคลคนนี้ คืือไปเชื่อว่าสิ่งที่ไม่ใช่ฉันเป็นฉัน นั่นเป็นการใส่กรงครอบลงบนพลังงานอันล้นเหลือของชีวิตทำให้เกิดการขัดขืนดิ้นรน ปัญหาก็คืือกรงนี้มันขังความอยากได้ซะที่ไหนละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนหรืือความคิดยึดมั่นว่าฉันเป็นบุคคลคนนี้นั้นมันเป็นกรงที่ด้อยประสิทธิภาพมาก มีแต่จะเผลอวิ่งตามความอยากไป  มนุษย์เราต้องสาละวนกำราบความอยากเพราะกลัวความทุกข์จะเกิดตามมาหากปล่อยให้ความอยากนั้นดำเนินไป แต่ในอีกด้านหนึ่งพลังที่ขับดันความอยากก็คืือพลังชีวิตนั่นแหละ การไปทอนพลังของความอยากด้วยวิธีจับยัดกรงมันก็เหมือนกันการทอนพลังชีวิตของเราเองให้หงอยจ๋อยแด่ว แล้วคุณจะมีชีวิตไปทำไมถ้าชีวิตมันต้องดำเนินไปแบบหงอยจ๋อยแด่วทำอะไรก็ไม่ได้อย่างนั้น ดังน้้นคุณจึงมาถึงทางแยกที่จะต้องตัดสินใจว่าในการดำเนินชีวิตเพื่อให้พ้นทุกข์ด้วยและมีพลังสร้างสรรค์ด้วยนี้ คุณจะคุมความอยากของคุณหรือคุณจะปลดปล่อยความอยากของคุณให้มันมีอิสระเสรีดี ถ้าคุณเลือกจะปลดปล่อยมัน คุณจะเอาน้ำยาอะไรมาคุมมันไม่ให้มันทำอะไรเลยเถิด นี่เป็นทางสองแพร่งที่คุณเผชิญอยู่

    การจะแก้ปัญหาความอยากทุกชนิด รวมทั้งความอยากทางกามารมณ์ด้วย ต้องแก้ที่กระบวนการเกิดและดับของความอยาก ไม่ใช่ไปแก้ที่เป้าหมายว่ามันอยากอะไรแล้ววิ่งหามาให้มัน กลไกหรือกระบวนการเกิดของมันก็คืือมันเริ่มต้นจากมีสิ่งเร้าภายนอกเข้ามา ในการรับรู้สิ่งเร้าภายนอกนี้ความสนใจซึ่งเป็นเสมือนแขนของจิตสำนึกรับรู้จะเป็นผู้รับรู้สิ่งเร้านั้นโดยแปลงสัญญาณสิ่งเร้านั้นให้เป็นสมมุติบัญญัติที่ใจ (mind) รับรู้ผ่านอายตนะได้ การแปลงสัญญาณนี้ใช้เวลาแว้บเดียว เช่นภาษาพูดถูกแปลงเป็นภาพ เสียงหรือภาพถูกแปลงเป็นภาษา จากนั้นสมมุติบัญญัตินี้จะตกกระทบที่ใจอันทับซ้อนแนบแน่นกับร่างกายนี้ ซึ่งหากเป็นสิ่งเร้าที่รุนแรงก็จะก่อให้เกิดพลังงานกระเพื่อมสะเทือนไหวขึ้นที่ร่างกายทันทีแบบว่าต้องเอามือกุมหน้าอกเพราะใจหายแว้บ..บ อะไรทำนองนั้น นอกจากจะมีความรู้สึกกระแทกที่
หน้าอกแล้วพลังงานนี้ยังรับรู้ได้ในลักษณะห้วใจเต้นเร็วบ้าง หายใจเร็วบ้าง กล้ามเนื้อเกร็งและร้อนผ่าวๆกระจายขึ้นมาทางคอและหน้าบ้างกรณีเป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นความโกรธ ในกรณีที่เป็นสิ่งเร้าทางเพศ พลังงานจะอุ่นวาบหวิวลงไปทางท้องน้อย แล้วไปสะกิดที่จุดยุทธศาสตร์คือที่พีนีสของผู้ชายหรือคลิทอริสของผู้หญิงแบบ

     “น็อค น็อค น็อค”

     ถ้าสังเกตให้ดีจะมีสิ่งคัดหลั่งในลักษณะเมือกเกิดขึ้นและไหลอยู่ในท่อปัสสาวะถ้าเป็นผู้ชายหรือในช่องคลอดถ้าเป็นผู้หญิง จากนั้นแทบจะเป็นอัตโนมัติความจำเก่าๆในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันจะถูกชงขึ้นมาในความคิดทันที แล้วต่อยอดไปเป็นความคิดใหม่เร่งเร้าให้ไปเสาะหาการบำบัดความต้องการนี้กันต่อไป

     “หมอสันต์เป็นผู้ชาย รู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงก็มีปัญหาอย่างนี้ด้วย”

     หิ หิ หมอสันต์ฟังมาจากสุภาพสตรีนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งเล่าว่าเธอปฏิบัติธรรมแบบวางเฉยต่อกามารมณ์มาได้หลายปีโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนนึกว่าตัวเองได้เป็นอะนาคอนด้าไปแล้ว แต่พอสมาธิก้าวหน้าถึงระดับดีเธอต้องเปลี่ยน ก.ก.น. วันละสองสามตัวเพราะมัน…แฉะ

     การแก้ปัญหาไม่ใช่ไปวิ่งหาการบำบัดความต้องการ แต่ต้องแก้ที่การเด้งเชือกออกมาเป็นผู้สังเกต ซึ่งในขั้นตอนแปลงสัญญาณกระตุ้นจากภายนอกเป็นสมมุติบัญญัติที่ใจรู้จักนั้นเราสังเกตไม่ทันมันดอกมันไวมาก ต้องมาดักสังเกตตอนมันมา น็อค น็อค น็อค ที่จุดยุทธศาสตร์ของเรา นี่เป็นการเล่นในสนามพลังงานหรือสนามปรมัตถ์ ไม่ใช่ในสนามความคิดซึ่งเป็นสนามสมมุติบัญญัติ คุณต้องฝึกวิชาเดินลมปราณ ผมหมายถึงการรู้ตัวทั่วพร้อมหรืือสัมปชัญญะมาเป็นอย่างดีก่อนจึงจะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของพลังงานในร่างกายได้ การจะสังเกตตรงนี้ต้องสังเกตแบบผู้สังเกตนะ สังเกตแบบรับรู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่สังเกตแบบผู้มีอารมณ์ ถ้าคุณสังเกตแบบผู้สังเกตจริงๆ มันจะจบที่ตรงนั้น จบแล้วจบเลย ไม่สร้างเวรสร้างกรรม หมายความว่าไม่ทันได้ขุดเอาประสบการณ์เก่าๆขึ้นมาก่อตัวเป็นความคิดใหม่ซึ่งจะมีผลบันทึกกลับเป็นความจำใหม่ต่อไปไม่สิ้นสุด เพราะความจำนั้นคือความคิด จึงบันทึกในรูปของสมมุติบัญญัติ ลำพังการเปลี่ยนแปลงกระเพื่อมพริ้วไหวของพลังงานในร่างกายซึ่งเป็นปรมัตถ์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะส่งผลต่อความคิดในวันข้างหน้าแต่อย่างใด

     เมื่อเราอยู่ในฐานะผู้สังเกต ในกรณีที่เราจะสนองตอบต่อความอยากทางกามารมณ์ มันก็จะเป็นการสนองตอบแบบมีความรู้ตัว บนทางเลือกที่มีให้เลือกมากมาย ไม่ใช่แบบถูกลากไปแบบอัตโนมัติ นี่ไม่ใช่เฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะนำวิธีนี้ไปใช้ได้ แม้คนหนุ่มคนสาวที่ยังต้องมีชีวิตขลุกขลิกเวียนว่ายอยู่กับกามารมณ์ก็นำหลักอันนี้ไปใช้ได้เช่นกัน
   
     ประเด็นที่ 3. ความอยากเป็นสิ่งดีถ้าสนองตอบเป็น  

     ปฐมเหตุที่ความอยาก (desire) ชักพาเราเข้ารกเข้าพงได้นั้นเป็นเพราะเราไปตั้งต้นดำเนินชีวิตด้วยการเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าความเป็นเราไม่ใช่ร่างกายนี้และไม่ใช่ความคิดที่ยึดมั่นว่าเราเป็นบุคคลคนนี้ เรารู้ว่าเราคือความรู้ตัวซึ่งเป็นพลังงานที่จับต้องมองเห็นไม่ได้ต่างหาก เรารู้แต่เรา “เผลอ” เพิกเฉย เมื่อเผลอไปตั้งต้นตอบคำถามว่า “ฉันคือใคร” ผิด เราก็เลยหลงไปวิ่งตามความเป็นบุคคลคนนี้เพราะคิดว่ามันเป็นเราทั้งๆที่มันเป็นแค่ความคิด ความอยากก็เป็นความคิดนะ เราไปตามมันแบบเป็นอัตโนมัติ คือพอมันโผล่มาทีไรเราก็กระโดดซ้อนท้ายไปด้วยทุกทีซ้ำๆซากๆเหมือนถูกมัดมือชก เรียกว่าเป็น compulsive reaction ผมใช้คำว่า react ก็เพราะมัันเป็นการสนองตอบออกไปอย่างอัตโนมัติ ผมไม่ได้ใช้คำว่า act เพราะ act เป็นการสนองตอบโดยมีความรู้ตัวเป็นผู้เลือกว่าจะสนองตอบแบบไหน เมื่อชีิวิตมีแต่ reaction เราจึงกลัวความอยากเพราะกลัวมันจะพาเราเข้าป่า เราจึงพยายามไม่สนองตอบต่ออะไรทั้งสิ้น พูดภาษาบ้านๆก็คืือพยายามไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

     “ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นแบบนี้ละ”
     “ก็เพราะแม่ยายของผมนะสิ ผมไม่อยากพูด”
     
     “แล้วเรื่องนั้นละทำไมเละอย่างนี้”
     “เฮ้อ ผมมันซวยที่ได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย เธอทำชีวิตผมเละหมดเห็นไหม”

     “แล้วเรื่องโน้นละเกิดจากอะไร”
     “ก็เจ้าลูกบังเกิดเกล้าของผมนะสิ ตัวต้นเหตุ”

     สรุปว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไรสักอย่างเพราะคนอื่นทำขึ้นมาหมด โลกทัศน์แบบนี้ฟังดูก็น่าจะสบายดีนะ แต่คุณมองให้ดี เมื่อเรื่องทั้งหลายคนอื่นเป็นคนก่อ เป็นหน้าที่ของพวกเขาต้องแก้ เราไม่เกี่ยว ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะเข้าไปแก้ ถ้าเขาไม่แก้เราก็ได้แต่ฮึดฮัดสาปแช่ง ความคิดแบบนี้จะปิดความสามารถหรือปิดอำนาจดำเนินการในชีวิตของเราลงไปทันทีเลยนะ ภาษาคอมเรียกว่าเราจะถูก “disable” ไอ้โน่นผมก็ถูกบีบ ไอ้นี่ผมก็ซวยเพราะคนอื่นทำ ไม่รู้จะโทษใครก็โทษว่าพระเจ้าแกล้ง ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ชีวิตนี้ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเพราะมีข้อจำกัดมากมาย เออ..แล้วจะมีชีวิตไปทำไมกันเนี่ย

     หมอสันต์เสนอโลกทัศน์อีกแบบหนึ่งนะ ทุกอย่างที่เข้ามาสู่การรับรู้ของเรานี้เราเป็นผู้รับผิดชอบหมด มันเป็นผลงานของตัวเราทั้งหมดนั้นแหละ เราต้องสนองตอบต่อทุกเรื่อง แต่จะสนองตอบด้วยการ act แบบไหนนั่นเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งนะ การคิดแบบนี้ภาษาคอมเรียกว่าเราจะได้รับการปลดปล่อยให้มีอำนาจทำการหรืือ “enable” ขึ้นมาทันที เมื่อความรู้ตัวของเราสนองตอบต่อทุกเรื่อง ทางเลือกที่จะ act ก็จะเปิดให้เลือกเป็นหางว่าวไม่มีตีบตันตั้งแต่ลงมือยุ่งด้วยแบบเต็มๆไปจนถึงเลือกที่จะวางเฉยอยู่ห่างๆก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าเราต้องสนองตอบเพราะเรายอมรับมันว่าเป็นความรับผิดชอบของเราทั้งหมด เรามีความเต็มใจหรือ willingness ที่จะรับมือกับมัน

     “เอ..หมอสันต์เพี้ยนหรือเปล่า อยู่ดีๆจะให้ไปยุ่งกับเรืื่องของชาวบ้าน”

     เหตุผลที่ผมแนะนำอย่างนี้คืออย่างนี้นะ ที่คนเราวิ่งตามความอยากก็เพราะเราอยากได้สิ่งที่เรายังไม่มี เมื่อได้สิ่งนั้นแล้วเราก็เต็มใจรับและพอใจมีความสุขแล้ว อย่างน้อยก็ในเรื่องนั้นถูกแมะ ก็ในเมื่อการเต็มใจรับและพอใจสุขใจจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้หรือมีสิ่งที่เราอยากได้อยากมี ทำไมเราไม่อยากได้ทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นอยู่ตอนนี้เรียบร้อยแล้วเสียเลยละ เมื่อเราเต็มใจรับหรือมี willingness กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่เป็นอยู่ตอนนี้ เราก็ได้ 100% แล้ว เราก็จะสุข 100% ทันที ไม่ดีหรืือ ก็ในเมื่อเรามีแม่ยายคนนี้ เมียคนนี้ ลูกโขลงนี้อยู่แล้ว ถ้าเราเต็มใจรับทั้งหมดนี้เราก็สุขทันทีี 100% เลยใช่ไหม บนความเต็มใจรับนี้เราจะ act อย่างไรต่อไปนั่นเป็นทางเลือกที่มีให้เลือกมากมาย ทำให้เรามีอำนาจบงการชีวิตของเราเองขึ้นมาทันที เราใช้ชีวิตแบบเต็มร้อยได้ทันที เป็นการใช้ชีวิตแบบ full-time แทนที่จะนี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ติดอยู่อย่างนี้แบบใช้ชีวิตแบบ part-time ทั้งชาติ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์