Latest

รำพันของชายแก่..เรื่องแท่งปริซึม

     ประมาณปีพ.ศ. 2507 คือห้าสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนเริ่มเรียนชั้นป.5 ผมได้เรียนรู้จากหนังสือวิทยาศาสตร์ว่ามีแท่งแก้วชนิดหนึ่งเรียกว่าปริซึม สามารถเปลี่ยนแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงสีใสๆที่เราเห็นอยู่นี้ให้กลายเป็นสีรุ้งเจ็ดสีได้ ผมไม่เชื่อ จึงพยายามจะหาทางพิสูจน์ แต่จะพิิสูจน์ได้อย่างไร เพราะจะไปหาปริซึมนี้มาจากที่ไหน สมัยโน้นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ไม่มี อย่าพูดถึงอุปกรณ์สอนวิทยาศาสตร์ใดๆเลยเพราะโรงเรียนเอกชนเล็กๆที่ยากจนไม่ได้ร้ับการรับรองวิทยาฐานะที่บ้านนอกคอกนาอย่างนี้จะไปหามาจากไหน ทุกอย่างต้องท่องเอาตามที่หนังสือบอก หนังสือสมัยโน้นก็ไม่มีภาพ อย่างดีก็มีภาพขาวดำเล่มละสองสามภาพ หนังสือวิทยาศาสตร์ของผมมีภาพอยู่ภาพเดียวเท่าที่ผมจำได้ คือภาพตาแก่ฝรั่งหัวล้านชื่อกาลิเลโอ แต่ผมก็ไม่ละความพยายาม ได้พยายามสอบถามครูที่สอนมศ.2ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดที่โรงเรียนนี้ว่าปริซึมมันหน้าตาอย่างไรและจะทำมันขึ้นมาอย่างไร ครูตอบคำเดียวว่าทำไม่ได้หรอก ของจริงครูก็ไม่เคยเห็น ครูบอกว่าที่กรุงเทพคงมี แต่ตัวครูเองก็ไม่เคยเห็นเมืองกรุงเทพอย่าว่าแต่จะเห็นปริซึ่มเลย ได้แต่บอกว่าปริซึ่มมันมีหน้าตาอย่างนี้อย่างนี้ ผมกลับมาบ้านและปักธงลงมือทำโครงการสร้างปริซึมของตัวเองทันที

     ที่หน้าบ้านผมมีคุณอาเพื่อนบ้านตั้งตัวเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเป็นสถานที่ผมเรียนวิธีใช้เครื่องมือช่างเบสิกต่างๆเช่นเลื่อย ฆ้อน และสิ่ว ในวัยเด็ก ในการทำเฟอร์นิเจอร์เขาซื้อกระจกใสเป็นแผ่นมาตัดให้เป็นรูปทรงฝาตู้ตามต้องการ จึงมีเศษกระจกใสเหลือจากการตัดชายขอบทิ้งมีรูปทรงคล้ายไม้บรรทัดอยู่เป็นจำนวนมาก ผมเอามาสามอันมาประกอบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมเอายางรัด แล้วเอาไปอังแดดเพื่อดูว่ามันจะแยกแสงแดดออกมาเป็นสีได้จริงหรือไม่ ปรากฏว่าไม่จริง จึงเอาปริซึมที่ผมประกอบขึ้นนี้ไปให้ครูวิทยาศาสตร์ม.2 ดู ท่านเอาไปทดสอบเอง เอาไปอังแดด เอียงไปเอียงมา เอากระดาษขาวมารองรับ..ไม่มีสีใดๆเกิดขึ้น แล้วท่านจึงว่า

     “..กูว่ามันกลวง มันจึงไม่เป็นปริซึม ถ้ามันตันและมันใส มันก็จะเป็นปริซึม” 

     ว่าแล้วครูก็หันไปสนใจบุหรี่ของตัวเองต่อไป ผมกลับมานอนคิดอยู่หลายวันว่าจะสร้างปริซึมที่ตันด้วยและใสด้วยขึ้นมาได้อย่างไร

    เล่าถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ก่อนหน้านั้นผมเคยสร้างเครื่องฉายหนังขึ้นมาแล้วเครื่องหนึ่ง ซึ่งเวอร์คดีมาก แบบว่าฉลุไม้อัดเป็นกล่องเจาะรูสี่เหลี่ยม เอาหลอดหัวเทียนไฟฉายติดไว้ที่อีกด้านหนึ่ง แล้วเอาดินสอช่างเขียนรูปไปบนเศษแผ่นแก้วใสแล้วเอาเศษแผ่นแก้วนั้นมาอังที่รูสี่เหลี่ยม มันก็ฉายภาพขึ้นจอได้ สามารถเปิดฉายหนังเก็บค่าดูในราคาเป็นหนังว้อง (ยางรัดของ) คนละหนึ่งเส้นได้สำเร็จ ความสำเร็จของผมโด่งดังถึงขนาดคนหมู่บ้านอื่นมาเห็นเข้ามารบเร้าขอซื้อเครื่องฉายหนังของผมซึ่งผมก็ขายให้ทั้งเครื่องรวมทั้งสิทธิบัตรด้วยในราคาสองบาทถ้วน รวยและอิ่มเปรมไปเลย ที่ผมตัดใจขายไปเพราะผมหมดปัญญาที่จะทำหนังให้มันเป็นเรื่องได้เพราะจะเปลี่ยนภาพทีต้องเลื่อนแผ่นแก้วที ลำบากชะมัด แล้วแผ่นแก้วหนึ่งแผ่นก็เขียนได้อย่างมากสี่ห้าภาพ จะสร้างหนังทั้งเรื่องผมจะต้องใช้แผ่นแก้วมากมายเท่าไหร่จึงจะพอ หลังจากขายเครื่องฉายหนังไปได้ไม่นานก็มีสิ่งใหม่ถูกนำเข้ามาในหมู่บ้าน สิ่งนั้นคือกระดาษแก้ว (คำเรียกพลาสติกในสมัยนั้น) กระดาษแก้วเข้ามาครั้งแรกในรูปของถุงศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันดีเหลือเกิน ใส่น้ำได้ไม่มีรั่ว ใช้แล้วล้างเก็บไว้ใช้อีกได้ เป็นคุณสมบัติที่ไม่มีใบตองชนิดใดเสมอเหมือน ผมจึงปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าผมทำหนังเป็นเรื่องได้แล้ว โดยการตัดกระดาษแก้วเป็นริ้วยาวๆแล้วเอามามัวนเป็นแบบฟิลม์หนังแล้วเขียนภาพลงไป แต่จะมีประโยชน์อะไรละเมื่อผมขายเครื่องฉายหนังไปแล้ว และผมก็หันมาสนใจปริซึมแทนเสียแล้ว แต่ว่า..

     ถุงกระดาษแก้ว ใช่แล้ว นั่นแหละคำตอบที่ผมจะสร้างปริซึมขึ้นมาได้ เอาถุงกระดาษแก้วใส่น้ำเอาหนังว้องรัดปาก แล้วยัดเข้าไปในปริซึมที่ผมประกอบขึ้นจากแผ่นกระจกใสสามแผ่น มันก็จะตัน และมันก็จะใส ยูเรก้า ได้การแล้ว แต่จะไปหาถุงกระดาษแก้วจากไหนละ ที่บ้านผมมีอยู่สองถุงแต่คุณแม่ก็ล้างและตากเก็บอย่างดียิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียอีก ผมไม่มีทางขอได้หรอก ทุกบ้านก็ดูจะมีเก็บไว้คนละใบสองใบ บ้างเอาไว้เก็บโฉนดที่ดิน บ้างเอาไว้เก็บทะเบียนทหาร ของสูงค่าอย่างนี้จะไปขอมาจากใครได้ ถ้าจะมีคนให้ คนคนนั้นต้องรักผมมากๆเขาจึงจะให้ แล้วผมก็คิดขึ้นได้ คุณยาย ถูกแล้ว ต้องไปขอจากคุณยาย เพราะเธอรักผมมาก คิดได้แล้วเช้ามืดโดยไม่บอกใคร ผมคว้าจักรยานปั่นออกถนนเกวียนมุ่งไปที่อีกหมู่บ้านหนึ่งที่คุณยายกับคุณตาอยู่ที่นั่น ไปถึงก็ไม่กระมิดกระเมี้ยน กระหืดกระหอบยิงคำถามโป้งเดียวเลยว่าคุณยายมีถุงกระดาษแก้วไหม ปรากฎว่าเธอมีเก็บไว้ใต้หมอนหนึ่งใบ ไชโย้

     ในที่สุดผมก็สร้างปริซึ่มขึ้นมาได้สำเร็จ ในวันนำออกทดลอง มีเพื่อนเด็กและชาวบ้านที่เป็นผู้ใหญ่นับรวมได้สี่ห้าคนมาร่วมเป็นสักขีพยาน ฮูเร่ มันแยกสีใสๆของแสงแดดออกมาเป็นสีอื่นได้จริงๆด้วย ไม่ครบเจ็ดสีแต่ก็หลายสีอยู่ และพอเปลี่ยนมุม สีเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป ลุงคนหนึ่งซึ่งเป็นกรรมกรแบกข้าวสารและเป็นพยานการทดลองครั้งนี้ด้วยถึงกับอุทานว่า

     “..งืด แต๊แต๊ 

     ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     ที่ผมคิดถึงเรื่องปริซึ่มขึ้นมานี้เพราะวันนี้ผมเพิ่งกลับจากเดินทางไกล ยังไม่หายโทรม จึงนั่งจิบกาแฟเอ้เตไม่ทำงานทำการอะไรอยู่ กำลังคิดถึงว่าโลกที่ปรากฎต่อเรานี้มันปรากฎต่อเราได้อย่างไร ผมรู้ว่าเพราะมีจิตสำนึกรับรู้ จึงมีโลก หากไม่มีจิตสำนึกรับรู้เสียอย่าง โลกนี้ก็ไม่มี โลกที่ปรากฎต่อเรานี้มองเผินๆเหมือนมันปรากฎอยู่ภายนอกตัวเรา 360 องศา เหลียวมองไปทางไหนก็เห็น ได้ยิน สัมผัสได้ แต่ความที่เป็นแพทย์ที่คุ้นเคยกับกายวิภาคและสรีระศาสตร์ของร่างกายมนุษย์ดีแล้ว ผมรู้ว่าโลกที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ปรากฎอยู่ภายนอกตัวเรานี้ แท้จริงแล้วมันปรากฎที่ภายในตัวเราผ่านการใช้อายตนะของร่างกายแปลงสัญญาณคลื่นการสั่นสะเทือนจากสิ่งเร้าภายนอกให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าวิ่งไปตามเส้นประสาทไปสร้างเป็นเรื่องหรือภาพเสียงกลิ่นรสสัมผัสขึ้นที่สมอง

     เอาละ โลกนี้ปรากฎอยู่ในตัวเราเพราะมีจิตสำนึกรับรู้ แล้วอะไรละที่เปลี่ยนจิตสำนึกรับรู้ให้กลายเป็นโลก คิดมาถึงตรงนี้ผมจึงคิดถึงปริซึมสมัยเด็กๆ แสงแดดใสๆเมื่อผ่านปริซึมแล้วก็กลายเป็นแสงสีรุ้งแบบต่างๆแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมุมและเหลี่ยมของปริซึม ถ้าอุปมาว่าแสงแดดใสๆนั้นคือจิตสำนึกรับรู้ซึ่งเป็นของกลางที่มีอยู่ของมันตามปกติอยู่แล้วในจักรวาลนี้ เมื่อผ่านปริซึมก็กลายเป็นสาระพัดสีอันอุปมาได้กับโลกส่วนตัวที่ปรากฎต่อหน้าผมตอนนี้ แล้วอะไรละที่ทำหน้าที่เป็นปริซึมเปลี่ยนจิตสำนึกรับรู้ให้เป็นโลกที่ปรากฎต่อหน้าเรา ความเป็นบุคคล (persona) อันประกอบด้วยความคิดความเชื่อของเรานี้หรือเปล่าที่เป็นปริซึ่ม เราหนึ่งคนก็คือปริซึมหนึ่งอัน จิตสำนึกรับรู้อันเปรียบได้กับแสงแดดนั้นเป็นหนึ่งเดียวที่ทุกคนก่อกำเนิดมาจากที่นั่น แต่ความเป็นบุคคลทำให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์และมีโลกของตัวเอง บางอย่างเหมือนกันและแชร์กันได้ แต่บางอย่างก็ไม่เหมือนกัน เหมือนสีรุ้งจากบางเหลีี่ยมบางมุมของปริซึม ซึ่งเหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง นั่นหมายความว่าโลกที่ปรากฎต่อเรานี้เกิดจากความเชื่อและความคิดของเราเองละสิ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้นหากทุบความเป็นบุคคลนี้ทิ้งเสีย โลกในรูปแบบที่เราเห็นอยู่นี้ก็จะหายไป เหลือแต่จิตสำนึกรับรู้อันเป็นของปกติดั้งเดิมอยู่ นั่นก็คือความหลุดพ้น หรือพูดให้เบากว่านั้นหน่อย  หากเรารู้วิธีควบคุมความคิดความเชื่อของเราได้ เราก็จะกำกับความเป็นไปของโลกที่ปรากฎต่อเรานี้ได้สิ ถูกแมะ

    เวลาผมนั่งคิดอะไร ผมมักคิดแบบมีคนอยู่ในใจสองคน อีกคนหนึ่งก็กังขาขึ้นมาว่า

    “..ปริซึมกระจายแสงขาวเป็นสีรุ้งได้ พอเข้าใจ เพราะมันเป็นของนิ่งๆทั้งคู่ แต่ความเป็นบุคคลอันประกอบด้วยความคิดความเชื่อนี้จะสร้างอนาคตซึ่งเป็นภาพยนตร์เคลื่อนไหวขึ้นมาจากจิตสำนึกรับรู้หรือความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งนิ่งๆได้อย่างไรนี้..ไม่เข้าใจ” 

     ถ้าผมเป็นคนฉายภาพยนตร์ การทำงานของผมจะมีม้วนภาพยนตร์วางเกลื่อนบนโต๊ะหลายม้วน แต่ละม้วนประกอบด้วยเฟรมภาพนิ่งๆจำนวนนับไม่ถ้วนภาพ ทุกภาพทุกม้วนมีอยู่แล้วพร้อมกันตรงหน้าผมเดี๋ยวนั้น แต่ผมเลือกเอาแสงจากหลอดโปรเจ็คเตอร์ฉายผ่านภาพเหล่านั้นไป ฉายผ่านภาพนั้นแล้วไปฉายผ่านภาพนี้ แช้บ แช้บ แช้บ อย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฎบนจอมันก็จะกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีการเคลื่อนไหวไปตามลำดับที่ผมต้องการได้ถูกแมะ ถ้าผู้กำกับเปลี่ยนแสงจากหลอดโปรเจ็คเตอร์ให้เป็นภาพยนตร์เคลื่อนไหวบนจอได้ด้วยวิธีฉายแสงผ่านภาพที่สลับกันเข้ามาอังรับแสงทีละแช้บ ทีละแช้บ ทีละแช้บ ทำไมความเป็นบุคคลจะเปลี่ยนแสงของจิตสำนึกรับรู้ให้เป็นเหตุการณ์ในชีวิตไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ต่างๆก็ล้วนดำรงอยู่พร้อมหน้ากัน ณ เดี๋ยวนี้เหมือนเฟรมภาพในแผ่นฟิลม์ที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะของผู้กำกับอยู่แล้ว แค่รอให้ทะยอยถูกเลือกมาเป็นเดี๋ยวนี้ ต่อจากเดี๋ยวนี้ ต่อจากเดี๋ยวนี้ ของบุคคลคนน้้นเท่านั้น

    “หมายความว่าอนาคตมันมีพร้อมอยู่แล้วบนโต๊ะ ให้เลือกหยิบเอาได้เลยหรือ”    

     ใช่ แต่การเลือกได้คุณต้องเชื่อก่อนว่าคุณเลืิอกมันได้ ถูกแมะ เหมือนคุณขับรถยนต์ คุณต้องเชื่อก่อนว่าเมื่อคุณหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายรถมันจะเลี้ยวซ้ายตาม ถ้าคุณไม่เชื่อคุณก็ไม่กล้าขับ การขับเคลื่อนชีวิตหรือการควบคุมโลกที่ปรากฎต่อคุณนี้ก็เช่นกัน คุณต้องเชื่อก่อนว่าคุณเป็นผู้ความคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณได้ ความเชื่อนี้แสดงออกในรูปของการยอมรับ คุณต้องยอมรับก่อนว่าโลกที่ปรากฎต่อคุณแล้ว ณ ตอนนี้ไม่ว่าดีหรือร้าย ล้วนเป็นผลงานของคุณเองทั้งสิ้น ไม่ว่าคุณจะตั้งใจทำผ่านจิตสำนึกหรือไม่ได้ตั้งใจทำโดยผ่านจิตใต้สำนึกก็ตาม คุณจะต้องยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ก่อนอย่างไม่มีข้อแม้ก่อน ยอมรับหมด โอเค.หมด นี่คือจุดเริ่มต้นการควบคุมโลกของคุณ คุณยอมรับได้ไหมละ ถ้าคุณยอมรับได้คุณก็จะควบคุมโลกของคุณได้

     “ฮึ..ไม่แน่ใจ” 

     อย่าลืมว่าความกลัวก็ดี ความลังสงสัยก็ดี ความไม่เชื่อว่าตัวเองมีอำนาจความคุมชีวิตตัวเองก็ดี มันก็เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ย้ำ..ความกลัวนี่เป็นความเชื่อนะ คือเชื่อว่าสิ่งร้ายๆจะต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณ คุณก็จะไม่กลัวมัน ถูกแมะ เพราะคุณเชื่อว่ามันจะเกิด คุณถึงกลัวมัน

     นั่นหมายความว่าการที่คุณไม่กล้าขับเคลื่อนชีวิตของคุณไปในทิศทางที่คุณเห็นว่าชอบเห็นว่าดีอย่างเปิดเผยจริงใจ ชีวิตของคุณก็จะถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวแทน เพราะความกลัวมันก็คือความเชื่ออีกแบบหนึ่งที่อยู่ที่จิตใต้สำนึกของคุณเอง มันก็มีอิทธิพลไม่ต่างจากจิตสำนึกรับรู้ที่คุณกำกับได้เนี่ยหรอก ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อความกลัวได้ชักนำให้สิ่งนั้นมาเกิดขึ้นในชีวิตจริงของคุณเพียงครั้งเดียว มันก็ยิ่งจะตอกย้ำ (re-enforce) ให้คุณกลัวยิ่งขึ้น คือคุณยิ่งเชื่อในความกลัวยิ่งขึ้น คุณก็จะยิ่งจมอยู่ในวังวนของความกลัวที่จะเจอแล้วก็ได้เจอของที่กลัวจริงๆซ้ำซากๆไม่รู้จบไม่รู้สิ้น

    กลไกที่มันเป็นอย่างนี้ได้ก็เพราะชีวิตดำรงอยู่เฉพาะที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ทั้งหลายทั้งปวงที่จิตสำนึกรับรู้หรือจิตใต้สำนึกของคุณดลบันดาลให้เกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นหรือหาคุณพบก็ต่อเมื่อคุณอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะการกำกับชีวิตก็คือการเลือกความจริงใดความจริงหนึ่งจากความเป็นไปได้ทั้งมวลที่อยู่ตรงหน้าให้มาเป็นเดี๋ยวนี้ของคุณ (reality shifting) ถ้าคุณไม่ได้อยู่ที่เดี๋ยวนี้ ไปอยู่เสียกับความคิดที่ในอดีตหรืออนาคต โมเมนต์นั้นคุณไม่ได้กำกับหนังชีวิตของคุณแล้วนะ อำนาจอิทธิพลในฐานะผู้กำกับของคุณก็ไม่มี เพราะเมื่อโอกาสจะให้เลือกมาถึง คุณดันไม่อยู่ ดังนั้นคุณต้องอยู่ที่เดี๋ยวนี้ แว้บนี้ แว้บนี้ แว้บนี้ แว้บนี้ ทุกๆแว้บของเดี๋ยวนี้ล้วนเกิดขึ้นใหม่โดยไม่เกี่ยวอะไรเลยกับแว้บที่แล้ว ตรงนี้มันลึกซึ้งนะ ถ้าคุณเข้าใจว่าคุณคนที่นั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้เป็นบุคคลคนละคนกับคุณคนที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้เมื่อตะกี้นี้ คุณก็บรรลุธรรมแล้ว

     “…ไม่เข้าใจ”

     คือคนส่วนใหญ่ปักใจเชื่อในคอนเซ็พท์เรื่องเวลาว่ามันเป็นเส้นตรง อดีตเกิดขึ้นก่อน แล้วก็ปัจจุบัน แล้วก็อนาคต แต่นั่นไม่ใช่ภาพใหญ่ของความจริง ภาพใหญ่คืออดีตอนาคตไม่มี มีแต่ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ทุกเหตุการณ์ในชีวิตคือคลื่นของการสั่นสะเทือน ทุกเหตุการณ์ล้วนเกิดขึ้นที่ที่นี่เดี๋ยวนี้พร้อมกันทั้งหมด อุปมาเหมือนหนึ่งว่าคุณกำลังนั่งฟังวิทยุอยู่ที่กรุงเทพ มีสถานีอยู่ร้อยกว่าสถานี ทุกสถานีก็ออกอากาศตามโปรแกรมของตัวเองตลอดวันตลอดคืน คุณเองกำลังนั่งฟังวิทยุอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ แต่คุณหมุนเลือกคลื่นได้ใช่ไหม การจูนหาคลื่นก็เหมือนกับการจูนหาอะไรที่ใช่หรือถูกจริตเรา อะไรที่ excite เรา สมมุติว่าคุณฟังรายการเพลงคลาสสิกที่วิทยุจุฬาก่อน แป๊บหนึ่ง คุณเปลี่ยนใจ ไม่เอาละ หมุนไปฟังรายงานจราจรของ จส.100 ดีกว่า สักพักก็ไม่เอาอีกละ ฟังเพลงฝรั่งที่เอฟเอ็ม 107 ดีกว่า ทุกครั้งที่คุณหมุนไปหาคลื่นใหม่ คุณหมุนที่ที่นี่เดี๋ยวนี้นะ ตอนที่คุณฟังเพลงคลาสสิกที่วิทยุจุฬาอยู่นั้นไม่ใช่ว่าจส.100 เขาจะไม่ออกอากาศ เขาก็ออกอากาศรายงานจราจรของเขาอยู่แต่คุณไม่ได้ฟัง คือทุกรายการของทุกสถานีเป็นความจริง (reality) ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่เดี๋ยวนี้พร้อมกันทั้งหมด แต่คุณเลือกหมุนหา (reality shifting) สถานีที่คุณต้องการ การหมุนหาก็คือการเลือกวิธีสนองตอบต่อสิ่งเร้าที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ นี่คือกลไกที่เราดลบันดาลสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ของมันอยู่แล้วที่เดี๋ยวนี้ ให้กลายมาเป็นเดี๋ยวนี้ของเรา 

     สายโด่แล้ว แล้ววันนี้จะสรุปอะไรได้ไหมเนี่ย หิ หิ สรุปไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเป็นแค่บทรำพึงรำพัน และผมก็ชักสังหรณ์ว่าท่านผู้อ่านยิ่งอ่านยิ่งงง จบดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

……………………………………
จดหมายจากท่านผู้อ่าน

9 มีค. 61
สรุปผม เข้าใจครับ จิตเกิดขึ้นแล้ว ดับไป แล้วก็เกิดใหม่ วนไปเหมือนภาพยนตร์ ทุกอย่างในโลกนี้เกิดขึ้นพร้อมกันแต่เราเห็นแค่อย่างเดียวเหมือนแสงอาทิตย์เราเห็นสีเดียวแต่จริงๆแสงอาทิตย์มี7สี ออกมาพร้อมกันทีเดียว จิตจับๆได้ทีละอย่างแล้วก็ปรุงแต่งต่อ แล้วดับไป เกิดใหม่ วนอยู่อย่างนี้ จึงเห็นว่าคนที่ เดินเข้ามาในห้องกับคนที่นั่ง คนละคนกันเพราะ จิตเกิดกับคนละครั้งกันครับอาจารย์ พอเรามองเห็นจิตเกิดดับ ทุกอย่างเป็นของว่างเปล่า ทั้งหมดยึดถือไม่ได้เลยได้แต่วาง ไม่ทุกข์ไม่สุข. มีแต่ว่างเฉย เห็นเกิดดับ เท่านั้นครับ

…………………………………….