Latest

หมอสันต์ให้สัมภาษณ์เรื่องความตื่น (ให้กับหนังสือ … ของสถาบัน…)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้สัมภาษณ์ (หนังสือ …โดย สถาบัน … )

1. ขอทราบชื่อ นามสกุล อายุ หน้าที่การงานและบทบาทของท่านในสังคม รวมทั้งประวัติโดยย่อของท่าน

ตอบ
     ชื่อ นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์ อายุ 66 ปี เคยเป็นศัลยแพทย์หัวใจร่วมกับทำงานเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไปพร้อมกัน แล้วต่อมาเปลี่ยนมาทำงานเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เน้นการสอนการฝึกอบรมให้คนที่ยังไม่ป่วยมีสุขภาพดีตลอดไปด้วยตนเอง และให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังรู้วิธีพลิกผันโรคด้วยตนเอง ผ่านการกินอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการเข้ากลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน ด้วยการเปิดศูนย์ฝึกอบรมชื่อเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และตอบคำถามสุขภาพและเขียนบทความสุขศึกษาทางบล็อก www.visitdrsant.blogspot.com และเขียนหนังสือหรือบทความเรื่องสุขภาพในวารสารต่างๆบ้างตามโอกาส

2. การตื่นรู้ คืออะไร /หมายความว่าอย่างไรสำหรับท่าน

ตอบ
     การตื่นรู้ (awakening) สำหรับผมคือการตระหนักรู้ (realization) ว่าเมื่อถอยความสนใจออกไปจากความคิดและโลกอย่างที่เห็นอยู่รอบตัวนี้ได้ ก็จะเหลือแต่ความตื่น หรือความรู้ตัว ซึ่งมีลักษณะตื่น รู้ ว่าง สงบเย็น ซึ่งความตื่นนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และเป็นสิ่งหนึ่งเดียวที่คงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดหรือตามโลกอย่างที่เห็นอยู่รอบตัวนี้

3. การตื่นรู้ สำคัญอย่างไรสำหรับท่าน / ท่านคิดว่าคนเราตื่นรู้ไปเพื่ออะไร / ทำไม ถึงต้องตื่นรู้ 

ตอบ
     คนเรามีความเชื่อว่าความเป็นบุคคลของเราซึ่งประกอบด้วยร่างกายและความคิดนี้เป็นสิ่งจริงแท้ถาวร แต่ที่จริงมันไม่ถาวร คนเราจึงเป็นทุกข์ การตื่นรู้คือการวางความเชื่อนั้นซึ่งเป็นแค่ความคิดลงไปได้สำเร็จอย่างน้อยก็สำเร็จเสียเป็นส่วนใหญ่ จนสามารถออกจากความคิดไปอยู่ในความตื่น ทำให้หมดความทุกข์อันสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงในความเป็นบุคคลนี้ ดังนั้นการจะพบความสงบเย็น คนเราจึงจำเป็นต้องตื่นรู้ ถ้าไม่ตื่นรู้ ก็ไม่พบความสงบเย็น

4. ท่านคิดว่าคุณประโยชน์ของการตื่นรู้ หรือการเข้าถึงความจริง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน คืออะไร

ตอบ
     ประโยชน์ต่อตนเองก็คือชีวิตเปลี่ยนจากการจมอยู่ในความเชื่อในความเป็นบุคคลซึ่งเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความคิดลบ ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความคาดหวัง ความผิดหวัง ไปอยู่ในความตื่น ซึ่งเป็นความตื่น รู้ ว่าง สงบเย็น และปราศจากความกลัวตาย

     ประโยชน์ต่อสังคมคือคนที่ตื่นรู้ไม่เหลือความเป็นบุคคลของตัวเองให้ต้องคอยปกป้อง จึงมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้สูงเพราะทำอะไรก็ไม่ทำเพื่อตัวเองเพราะตัวเองเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ไม่มีอยู่จริง อีกประการหนึ่งการตื่นรู้เป็นการว่างจากความคิด เมื่อว่างจากความคิดก็มีโอกาสเกิดปัญญาญาณซึ่งเป็นศักยภาพไร้ขอบเขตที่นำไปใช้ยังประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อโลก ต่อสังคมได้ไม่จำกัด

5. ช่วยเล่าประสบการณ์เพื่อแบ่งปัน เส้นทางสู่การตื่นรู้ของท่านเป็นอย่างไร  และท่านพอจำได้ไหมว่า ในช่วงเวลาใดและเหตุการณ์ไหน ที่เป็นเหมือนจังหวะแห่งการตื่นรู้สู่ความจริงของท่าน (สามารถแบ่งปันสักหนึ่งเหตุการณ์ หรือมากกว่าก็ได้)

ตอบ
     สำหรับผม การตื่นรู้เป็นกระบวนการที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเหมือนการค่อยๆเข้าใจโจทย์เลข ไม่มีโมเมนต์ที่เปรี้ยงปร้างอย่างเสียงประทัดหรือแสงดอกไม้ไฟ มีแต่ประสบการณ์กับความเป็นจริงเล็กๆน้อยๆต่างกรรมต่างวาระหลายครั้งหลายครา ที่เกิดขึ้นเพื่อสาธิตสอนแสดงให้ตัวเราเองเห็นความจริงที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกที่รับรู้ได้ผ่านอายตนะ และให้ตัวเราเองสามารถสรุปหรือตอบข้อสงสัยที่เคยมีอยู่แต่เดิมได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีสมาธิถึงระดับการรับรู้ผ่านอายตนะทั้งหมดถูกตัดขาดออกไป จะติดต่อกับร่างกายก็ไม่ได้ จะขยับตัวก็ไม่ได้ แต่ความตื่นยังอยู่ได้โดยไม่มีร่างกาย นั่นเป็นการสาธิตสอนแสดงให้คล้อยเห็นจริงว่าความตื่นนี้ดำรงอยู่ได้ แม้ร่างกายนี้จะถูกตัดขาดหรือตายไปแล้ว เป็นต้น

6. ข้อค้นพบ หรือสิ่งสำคัญที่ท่านได้รับจากการตื่นรู้หรือการเติบโตภายใน คืออะไร

ตอบ
     คือพบว่าชีวิตนี้มีองค์ประกอบสามส่วน คือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) ความตื่นหรือความรู้ตัว ชีวิตนี้ดำรงอยู่ในโลกสองใบที่ไม่เหมือนกัน ร่างกายและความคิดดำรงอยู่ในโลกหนึ่งซึ่งเรียกง่ายๆว่าโลกที่ทุกอย่างเรียกชื่อหรือบอกรูปร่างได้ แต่ความตื่นดำรงอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกของคลื่นความสั่นสะเทือน (vibration) ระดับละเอียดที่ไม่มีชื่อเรียก ในโลกของความตื่นนี้ไม่มีความเป็นบุคคล ไม่มีความเป็นเจ้าของ ไม่มีอะไรที่เรียกชื่อได้หรือบอกรูปร่างได้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเกิดการตาย

7. การตื่นรู้ส่งผลอย่างไรกับชีวิตของผู้ตื่นรู้และคนรอบข้าง ท่านเห็นตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไร และคนรอบข้างเห็นตัวท่านเปลี่ยนไปอย่างไร 

ตอบ
    สำหรับตัวผู้ตื่นรู้เองนั้น เมื่อตื่น ก็หมดความกลัว เมื่อหมดความกลัว ชีวิตก็มีแต่ความสงบเย็นเบิกบาน สำหรับคนใกล้ชิด เมื่อตัวเองสงบเย็นและเบิกบาน คนใกล้ชิดก็พลอยสงบเย็นไปด้วย

     ในแง่ของงานที่ทำ เมื่อความเป็นบุคคลที่จะต้องฟูมฟักเลี้ยงดูปกป้องไม่มี งานที่ทำทั้งหมดก็เป็นการทำงานเพื่อคนอื่น หรือสิ่งอื่น คนอื่นหรือสิ่งอื่นก็ได้ประโยชน์

8. หากสมมติว่า ท่านไม่เคยได้ผ่านประสบการณ์การตื่นรู้หรือการศึกษาชีวิตภายใน ท่านคิดว่า ชีวิตท่านในวันนี้จะเป็นอย่างไร หรือ ถ้าท่านไม่ได้ผ่านประสบการณ์ตื่นรู้นี้ คิดว่าชีวิตท่านจะได้อะไร และเสียอะไร

ตอบ
     คนที่ยังไม่ตื่นรู้ ก็ยังคงจมอยู่ในความคิดอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวาดระแวง ความกลัว ชีวิตก็คงต้องมุ่งทำอะไรเพื่อจะดับความกลัวนั้น นั่นคงนำไปสู่การทำอะไรเพื่อปกป้องความเป็นบุคคลของตัวเองให้มากขึ้นไม่รู้จบ ซึ่งอาจมีผลให้คนอื่นเดือดร้อนมากขึ้น เมื่อตื่นรู้สิ่งที่ได้มาก็คือการหลุดจากความคิดนั้น

     ส่วนที่ว่าถ้าไม่ตื่นรู้แล้วจะเสียอะไรนั้น ในสภาพที่จมอยู่กับความเป็นบุคคล คนเราไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว เพราะได้เสียโอกาสที่จะตื่นไปให้กับความคิดที่หลงเชื่อในความเป็นบุคคลไปเรียบร้อยหมดสิ้นแล้ว

9. ท่านคิดว่าอะไรคืออุปสรรคสำคัญ หรือหลุมพรางที่ต้องเจอในระหว่างทางไปสู่การตื่นรู้  และจะก้าวข้ามผ่านไปได้อย่างไร (ด้วยคุณสมบัติ ทรัพยากร วิธีการ เครื่องมือ ความเชื่อ หรือแนวคิดใด)

ตอบ
     อุปสรรคมีสิ่งเดียวคือการไม่เอาจริง ปัจจัยช่วยให้เกิดความสำเร็จมีตัวเดียวคือความเอาจริง ความรู้จากการอ่านการศึกษามากการฟังมากไม่ใช่ปัจจัย เพราะยิ่งอ่านมากยิ่งมีความคิดมาก ยิ่งกลายเป็นอุปสรรค ปัจจัยที่แท้จริงมีอย่างเดียวคือความมุ่งมั่นจริงจังที่จะทำเรื่องนี้ให้เป็นวาระหลักแห่งชีวิต ชีวิตการทำงานและบทบาทในสังคมไม่ใช่อุปสรรค เวลาที่ว่างจากการทำงานวันละแปดชั่วโมงและการนอนหลับอีกแปดชั่วโมง เวลาว่างแค่ที่เหลือจากนั้นหักเวลาดูแลครอบครัวออกไปแล้ว ก็ยังเหลือเฟือ แต่ขอให้มีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ด้วยเจตนาที่แน่วแน่ว่าทุกลมหายใจเข้าออกเมื่อว่างจากการงาน เราจะอุทิศทั้งชีวิตให้กับสิ่งนี้

     ตัวชี้วัดว่าเรากำลังมุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้องมีสองตัว คือ (1) มีความคิดน้อยลงๆ (2) มีความสงบเย็นมากขึ้นๆ

10. ท่านคิดว่าการตื่นรู้ ส่งผลอย่างไรต่อสังคมในภาพรวม 

ตอบ
     คนที่ตื่นรู้ หมดความเชื่อหรือความยึดถือในความเป็นบุคคลของตนเอง จะไม่ทำอะไรให้กับสิ่งที่เขาไม่เชื่อหรือไม่ยึดถึอ พลังชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจึงถูกใช้ไปทางเดียว คือการทำอะไรเพื่อสิ่งอื่น คนอื่น หรือเพื่อโลก ซึ่งอยู่นอกเหนือความเป็นบุคคลของเขา สังคมก็จะได้ประโยชน์จากเขาในฐานะสมาชิกสังคมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

11. ท่านคิดว่าก้าวเล็กๆ หรือก้าวใหญ่ๆ ที่จะช่วยทำให้เกิดความตื่นรู้ที่เพิ่มขึ้นในระดับสังคม คืออะไร

ตอบ
     แค่ทุกคนสนใจเรื่องของตนเอง มุ่งมั่นจริงจังจะพาตนเองให้หลุดพ้นจากกรงของความคิดและความเชื่อที่ว่าความเป็นบุคคลนี้เป็นของจริงที่เที่ยงแท้ถาวร แค่ทุกคนทำแค่นี้ก็พอแล้ว สังคมนี้ โลกนี้ ก็จะดีขึ้นเอง โดยไม่ต้องไปพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย

12. ท่านคิดว่าเรื่องนี้คนทั่วไปสามารถเข้าใจ หรือเข้าถึงได้โดยง่ายหรือยากเพียงไร และท่านมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมความเข้าใจหรือการเรียนรู้ของคนทั่วไปในเรื่องนี้ว่าอย่างไร

ตอบ
     การตื่นรู้เป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะมันไม่ใช่การค้นหาอะไรไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของเราทุกคน เราเกิดมาอายุสองเดือนยังไม่รู้ภาษา นั่นแหละเราตื่นรู้อยู่นะ เพราะเราอยู่ในโลกของความตื่นซึ่งเป็นโลกของคลื่นความสั่นสะเทือนในธรรมชาติรอบตัว ไม่ได้อยู่ในโลกที่สมมุติด้วยภาษา ดังนั้นเราไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ เพียงแค่แกะเปลือกความคิดที่เราสะสมมาตั้งแต่เล็กจนโตออกไป เราก็ตื่นรู้แล้ว อีกอย่างหนึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องตะเกียกตะกายดั้นด้นนั่งรถนั่งเรือไปค้นหา มันอยู่ในตัวเรานี้เองอยู่แล้ว

     แต่เหตุที่คนที่ตื่นรู้มีน้อย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะตื่นรู้ คนส่วนใหญ่ไปปักใจเชื่อว่าความเป็นบุคคลของตนนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร คนที่สนใจที่จะตื่นรู้มักเป็นคนที่มีเหตุดลใจให้ตั้งคำถามเอากับความเป็นบุคคลของตัวเองที่ดำรงอยู่ในโลกสมมุตินี้ว่านี่มันของจริงหรือของปลอม ชีวิตมันมีแค่นี้หรือ คือคนที่อยากค้นพบเท่านั้นจึงออกแสวงหา คนส่วนใหญ่ไม่อยากค้นพบอะไร คนส่วนใหญ่ไม่เคยมีคำถามกับชีวิตที่ประกอบด้วยกิจกรรมที่ดำเนินไปเป็นปกติอยู่แล้วอันได้แก่ การกิน การขับถ่าย การนอน การสืบพันธุ์ แล้วก็ตายไป เขาพอใจกับแค่นี้และจมอยู่กับตรงนี้แล้ว เขาจึงไม่ออกไปแสวงหาอะไร คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่หา ก็ไม่พบ แต่ใครก็ตามที่ออกแสวงหาก็จะพบ เมื่อคนที่ออกแสวงหาเป็นคนส่วนน้อย คนที่พบก็จึงเป็นคนส่วนน้อย

13. ท่านมีคำแนะนำ หรือสิ่งที่อยากจะฝากให้กับคนที่สนใจเรียนรู้เรื่องนี้ว่าอย่างไร

ตอบ
     สำหรับคนที่สนใจที่จะออกไปแสวงหาคำตอบให้กับชีวิต คำแนะนำของผมคืออย่าอ่านหนังสือมากมาย อย่าฟังเทปวิดิโอ.ดูยูทูปมากมาย เพราะหนังสือก็ดี วิดิโอ.ก็ดี ล้วนเป็นความคิด ซึ่งล้วนจะนำไปสู่คำถามใหม่และความพยายามที่จะตอบครั้งใหม่ ทั้งหมดนั้นเป็นการพอกพูนความคิด การพอกพูนความคิดไม่ใช่วิธีที่จะตื่นรู้ การวางความคิดต่างหาก เป็นวิธีที่จะตื่นรู้

     แทนที่จะขยันอ่าน ขยันฟัง ผมแนะนำให้ท่านขยันฝึกมีประสบการณ์กับความจริงด้วยตัวท่านเอง เริ่มด้วยการฝึกวางความคิดมาอยู่กับร่างกาย เช่นการวางความคิดมาตามดูลมหายใจ หรือมาอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกตัวทั่วร่างกาย เช่นลองไล่รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่ายุบยิบไปบนผิวหนังทั่วตัว (body scan) บ่อยๆ

     วิธีตรวจสอบว่าท่านวางความคิดได้หมดหรือยังก็โดยการผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) ลองหายใจเข้าลึกๆ ออกยาวๆ แล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายทั่วตัวลงไปด้วย หากท่านผ่อนคลายได้ ยิ้มได้ แสดงว่าความคิด ณ ขณะนั้นเจือจางลงไปแล้ว เพราะความคิดนี้มีสองขา ขาหนึ่งเป็นสาระในใจ อีกขาหนึ่งเป็นอาการของร่างกาย

     เมื่อวางความคิดได้สนิทแล้วจึงค่อยวางความสนใจอายตนะของร่างกายมาอยู่กับความตื่น ซึ่งเป็นความว่างที่อยู่ตรงหน้า ความว่างนี้ประกอบด้วยความตื่น รู้ สงบเย็น ท่านจะอยู่ในความตื่นนี้ (meditation) ไปนานเท่าไหร่ก็ได้ตามใจท่าน

     แต่ตอนที่ท่านจะถอยหรือปล่อยให้ความคิดเกิดขึ้นมาอีกครั้งนั้น ในภาวะว่างจากความคิดนี้ มันมีโอกาสมากที่สิ่งแรกๆที่จะโผล่ขึ้นมาจะเป็นปัญญาญาณ (intuition) ซึ่งจะสาธิตสอนแสดงให้ท่านเข้าใจสิ่งที่ท่านยังติดค้างอยู่ ดังนั้นในการถอยออกจากความตื่น ให้ท่านคอยเฝ้าสังเกตดูความคิดที่จะโผล่ขึ้นมาด้วย หากเป็นความคิดเข้าท่าที่จะทำให้ท่านวางความยึดถือในความเป็นบุคคลของท่านลงได้ ท่านก็หยิบเอามาใช้ หากไม่เข้าท่าก็ทิ้งไป ทั้งหมดนี้คือการมีประสบการณ์กับความจริง 

14. นอกเหนือจากคำถามข้างต้น ท่านยังมีสิ่งอื่นใด มีความคิดเห็นอื่นใดอีกที่ต้องการแบ่งปัน หรือแนวคำคิด หรือคำแนะนำซึ่งท่านต้องการเสนอแนะต่อทีมงาน …. ในการพัฒนาและปฏิบัติภารกิจในการเป็นชุมชนเรียนรู้เพื่อการตื่นรู้ร่วมกัน ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับการแบ่งปันและเวลาอันมีค่าของท่าน

ตอบ
     ชุมชนเพื่อการตื่นรู้ร่วมกันจะมีประโยชน์มาก หากเป็นเวทีแชร์ประสบการณ์ที่แต่ละคนเคยมีกับความจริง แต่จะมีประโยชน์น้อยหรือจะกลายเป็นโทษไปเสียด้วยซ้ำ หากชมรมเป็นที่บ่มเพาะความคิดใหม่ๆในรูปของคอนเซ็พท์ ความเชื่อ หรือการโต้เถียงเอาชนะคะคานเพื่อธำรงรักษาความเป็นบุคคล (อีโก้) ของสมาชิกแต่ละคน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

………………………..