Latest

ระแวงเพื่อนบ้านจนตัวเองอยู่ไม่สุข

สวัสดีค่ะ คุณหมอสันต์

มีเรื่องจะรบกวนเวลาปรึกษาคุณหมอสักนิด เรื่องมีอยู่ว่า แม่อยู่บ้านคนเดียวที่บ้าน ลูกๆ จะกลับมาอาทิตย์ละครั้งคะ เนื่องจากต้องทำงานต่างจังหวัด บ้านที่แม่อยู่เป็นอาคารพานิชย์ค่ะ จะมีเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านข้างๆ ที่ติดกันเป็นระยะๆ ซึ่งเท่าที่ลูกๆเคยได้ยินเวลาอยู่บ้านคือ เป็นเสียงทำนั่งนี่ทั่วไป เช่น เสียงปิดประตูห้องของข้างบ้าน  เสียงตอกตะปู หรือ จัดห้องครอกๆแครกๆ ตามธรรมดา เราไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่แม่ซึ่งเป็นคนที่อยู่บ้านตลอดนั้น กลับมีการสังเกตว่าเสียงจะดัง ต๊อกแต๊กๆ ทุกครั่งในห้องที่แม่จะนอน แม่ย้ายไปอีกห้องเสียงจากข้างๆ ก็จะตามไปดังให้แม่รำคาญ ตรงนั้น เหมือนย้ายสร้างความรำคาญไปทุกที่ ที่แม่อยู่ นอนชั้นล่าง เสียงก็จะดังชั้นล่าง ซึ่งแม่ฟังธงว่าข้างบ้านตั้งใจก่อกวนไม่ให้แม่ได้หลับได้นอน เป็นแบบนี้กับข้างบ้านเจ้าก่อน  และเจ้าใหม่ที่มาเช่า ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม่บอก ตั้งใจจะให้แม่อยู่ไม่ได้ แต่ลูกๆ ยังงงๆว่า จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรแล้วทำไมแม่ถึงคิดแบบนั้นได้ ในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จะว่าขัดผลประโยชน์ก็ไม่ใช่ และสิ่งที่ลูกๆงง สุดๆคือ ไม่ว่าจะอะไรเกิดความผิดปกติในบ้าน เช่น ไขกุญแจบ้านไม่ออก ประตูล็อคลำบาก ซิงค์ล้างจานน้ำขัง อ่างล้างหน้า น้ำขัง  สิ่งที่แม่จะพูดคือ ต้องเป็นเพราะข้างบ้านทำไสยศาสตร์ใส่แน่ๆ   แม้กระทั่งหากุญแจรถไม่เจอ กระเป๋าตังค์หาย แต่มาเจออีกวันว่าอยู่ในกระเป๋าอีกใบ ก็จะโทษข้างบ้าน เป็นแบบนี้ทุกครั้ง   ลูกๆ พยายามอธิบายด้วยเหตุด้วยผลก็ไม่เชื่อ เช่น เรื่องกุญแจที่ไขไม่ออก พอมาลองๆดู แม่กุญแจขึ้นสนิม ทำให้ไขออกยาก
แม่เป็นคนพื้นเดิมแต่ไหนแต่ไร ไม่ค่อยฟังใครค่ะ จะยึดแต่ความคิดตนเองเป็นหลัก คุณหมอมีความเห็นเรื่องนี้ยังไงบ้างคะ แก้ไขเรื่องนี้ยังไงได้บ้าง หรือต้องทำเฉยๆไป จริงๆตอนนี้ก็เฉยๆไปอะคะ ทำเป็นเข้าใจเออๆออๆไป แต่พักนี้มีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน ถ้าไม่ดีกะคนข้างบ้าน เกรงว่าจะไม่มีเพื่อนบ้านเป็นหูเป็นตา คอยช่วยเหลือเวลาแม่มีเรื่องขึ้นมาตินอยู่คนเดียวที่บ้าน อีกอย่างแม่อายุ 64 แล้วคะ แต่ยังเดินเหิน ไปไหมมาไหนเองได้ปกตินะคะ จะมีปัญหาก็เรื่อง หลงๆลืมๆ นิดหน่อย บางทีทำอันนี้ไป ไม่เสร็จก็ทำอย่างอื่นซะแล้ว รบกวนขอคำแนะนำจากคุณหมอด้วยนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………….

ตอบครับ

     1. อาการหลงลืมนิดๆหน่อยๆ  ภาษาแพทย์เรียกว่าความจำเสื่อมเล็กน้อย (mild cognitive imparement – MCI) คือยังไม่เป็นโรคสมองเสื่อมเต็มยศ แค่จำเรื่องราวต่างในชีวิตประจำวันไม่ค่อยได้ นึกชื่อคนไม่ค่อยออก วางแผนงานประจำวันสับสน พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย เพราะพูดปลายลืมต้น จึงจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก ตั้งสติไม่ค่อยได้ ใส่ใจอะไรต่อเนื่องไม่ติด แต่แม้จะมีอาการทั้งหมดนี้ก็ยังพอทำกิจประจำวันด้วยตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใดๆในทางการแพทย์ การดูแลตัวเองก็มุ่งไปที่การป้องกันด้วย (1) กินอาหารแบบเดียวกับอาหารป้องกันโรคหลอดเลือด คือกินพืชเป็นหลักแบบมีไขมันต่ำ (2) ออกกำลังกาย ซึ่งต้องควบทั้งแบบแอโรบิกให้ถึงระดับหนักพอควรและต้องเล่นกล้ามด้วย (3) มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในเชิงสังคมบ่อยๆ (4) ถ้ามีเวลาพาไปตรวจสุขภาพสักครั้งก็ดี อย่างน้อยก็ตรวจดู
 ระดับของโฮโมซีสเตอีน  (homocysteine) เพราะในภาวะขาดวิตามินบี.12 หรือขาดโฟเลท โฮโมซีสเตอีนจะคั่งค้างในร่างกายและเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เป็นโรคทั้งโรคหลอดเลือดและโรคสมองเสื่อม (5) กระตุ้นให้คุณแม่ออกแดดทุกวัน เพราะการขาดวิตามินดี.ก็มีความสัมพันธ์กับสมองเสื่อม

     2. อาการระแวงเพื่อนบ้านอย่างที่คุณแม่เป็นนี้ ภาษาแพทย์เรียกว่าบุคลิกแปรปรวนชนิดหวาดระแวง (paranoid personality disorder – PPD) ถามว่าหมอสันต์มีคำแนะนำอะไรไหม ตอบว่า…ไม่มีครับ ผมไม่มีปัญญาแก้ไขความคิดของคนอื่นได้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดหวาดระแวง จึงขอนุญาตส่งต่อไปหาจิตแพทย์ลูกเดียว หิ หิ

     ว่าที่จริง ความคิดหวาดระแวงว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับตนนี้ มันมีอยู่ในใจของคนเราทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง คนทำโฆษณาขายสินค้าเขาก็รู้ความจริงอันนี้ ถ้าเราลองสังเกตโฆษณขายสินค้า จะเห็นว่าสินค้าจำนวนไม่น้อยขายกันเป็นล่ำเป็นสันด้วยการกระตุ้นต่อมหวาดระแวงในใจคนนี้แหละ รากของความคิดหวาดระแวงคือความกลัวว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับตัวเอง รากของความกลัวว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับตนเองนี้มาจากการปักใจเชื่อในคอนเซ็พท์ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นของจริงและเป็นของสำคัญที่จะต้องปกปักษ์รักษาสุดชีวิต ตราบใดที่ความเชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นเรื่องจริงยังมีอยู่ ตราบนั้นความคิดหวาดระแวงก็ไม่มีวันหมดไปจากใจของเราได้ นั่นหมายความว่าวิธีรักษาความคิดหวาดระแวงมีวิธีเดียว คือการวางความคิดที่กุขึ้นมาจากความเชื่อในความเป็นบุคคลของเราลงไปให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ พูดง่ายๆว่าต้องบรรลุธรรมจึงจะหายหวาดระแวง แล้วคุณคิดว่าหมอสันต์จะทำให้คุณแม่ของคุณบรรลุธรรมได้ไหมละ ฮ่า ฮ่า อามิตตาภะ พุทธะ เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้

     เรื่องคุณแม่เอาไว้ก่อน หันมาคุยกันถึงเรื่องของตัวคุณเองดีกว่า ตัวคุณนะแหละ คุณใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้นะ คุณขยันอยู่กับคุณแม่ไป คุยกับคุณแม่ไป ประเมินความคิดของคุณแม่ แล้วย้อนประเมินความคิดของตัวเอง มองให้เห็นว่าความหวาดระแวงนี้ที่จริงแล้วมันถูกกุขึ้นมาโดยอีกความคิดหนึ่ง คือความคิดที่หลงเชื่อว่าความเป็นบุคคลของตัวเราเองนี้เป็นของจริง เมื่อวางความเป็นบุคคลนี้ลงไปเสียได้ แล้วจะเหลืออะไรคุณรู้ไหม ก็จะเหลือแต่ร่างกายนี้ กับ “ความตื่น” น้าน..แหละ เมื่อมีแต่ร่างกายนี้กับความตื่น นั่นแหละ..คุณบรรลุธรรมแล้ว ผ่าง ผ่าง ผ่าง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์