Latest

คุยกับแฟนบล็อกอายุน้อย

     ปกติไม่ค่อยมีแฟนคลับอายุน้อยมาถามมาคุยเรื่องทางจิตวิญญาณ หลายปีมาแล้วเคยมีแฟนบล็อกคนหนึ่งอายุ 14 ปีถามผมเรื่องความหมายของชีวิตซึ่งผมทึ่งมาก  จากนั้นมาก็ไม่มีอีกเลย จนวันก่อนได้พบแฟนบล็อกอายุน้อยอีกท่านหนึ่ง อายุราวยี่สิบปลายๆ ได้คุยกับผมไม่กี่นาที บทสนทนานั้นน่าสนใจ  ที่ว่าน่าสนใจเพราะเวลาผมตอบคำถามเด็กผมไม่ต้องสงบปากสงบคำมาก คำตอบจึงอาจมีแง่มุมที่อาจจะเป็นประโยชน์ซึ่งผมไม่เคยพูดกับผู้ใหญ่คนไหนมาก่อน จึงเอามาลงให้อ่านครับ ผมเรียกเธอย่อๆว่า FC นะ

…………………………………

FC

     “จิต” คืออะไรคะ

หมอสันต์

     “จิต” ก็คือใจของเรายามที่ปลอดความคิด ผมชอบเรียกว่า “ความรู้ตัว” มากกว่าเรียกว่าจิต

FC

     แล้ว “ใจ” คืออะไรคะ

หมอสันต์

     ใจ (mind) ก็คือส่วนของร่างกายที่เราจับต้องมองเห็นไม่ได้ แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่ ผ่านกิจกรรมของมัน ซึ่งกิจกรรมของใจก็คือความคิด

FC

     แล้วความคิดคืออะไรคะ

หมอสันต์

     ความคิดก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ส่วนของใจที่เรียกว่าความสนใจ (attention) ไปคลุกเคล้ามีประสบการณ์กับสิ่งเร้าภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ คำว่าอายตนะผมหมายถึงอวัยวะรับรู้สิ่งเร้าเช่นตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจ


FC

     “ธรรมะ” คืออะไรคะ

หมอสันต์

     ธรรมะก็คืออะไรก็ตามที่ปรากฎต่ออายตนะของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่ปรากฎต่อใจของเรา

FC

    แล้วที่ว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” หมายความว่าอย่างไรคะ

หมอสันต์

     ก็หมายความว่าสิ่งทั้งหลายที่ปรากฎต่ออายตนะของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่ปรากฎต่อใจของเรา ล้วนเป็นสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมของเราทั้งสิ้น

FC

     แล้ว “สมาธิ” คืออะไรคะ

หมอสันต์

     สมาธิก็คือสถานะที่จิตของเราตั้งมั่นอยู่โดยไม่ไปมีความคิด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าสมาธิคือใจของเราในยามที่ปลอดความคิด ดังนั้นคำว่าสมาธิกับความรู้ตัวจริงๆแล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน ประมาณว่าความรู้ตัวเป็นประธาน สมาธิเป็นกริยา

FC

     แล้ว “สติ” คืออะไรคะ

หมอสันต์

     สติก็คือความสนใจ (attention) ของเรา ถ้ามันไปสนใจอะไรที่ไหน ใจของเราก็จะไปอยู่ที่ตรงนั้น ที่ตรงนั้นก็จะกลายเป็นความคิด คือเราไปสนใจอะไร ความคิดเรื่องสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเราถอยความสนใจกลับมาอยู่กับความรู้ตัว เราก็มีสมาธิหรือมีความรู้ตัวโดยไม่มีความคิด

FC 

     แล้วในภาวะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ตัวสติไปอยู่เสียที่ไหนละคะ

หมอสันต์

     ในภาวะที่จิตปลอดความคิด สติก็จะจอดนิ่งอยู่ในอู่จอดของมันโดยไม่ไปเที่ยวเพ่นพ่านที่ไหน อู่จอดของมันก็อยู่ประมาณตรงที่จิตอยู่นั่นแหละ เพราะจริงๆแล้วมันเป็นส่วนของกัน เปรียบเหมือนถ้าจิตเป็นลำตัวสติก็เป็นแขน

FC 

     ที่หมอชอบพูดว่า “ความรู้ตัว” ก็คือจิตที่ตั้งมั่น หรือจิตที่เป็นสมาธิ ใช่ไหมคะ

หมอสันต์

     ใช่ครับ

FC 

     แล้วถ้าหนูตายไป ทุกอย่างมันจะเป็นอย่างไรคะ

หมอสันต์

     ร่างกายนั้นคุณก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่าถ้าร่างกายตายไปก็ต้องกลายเป็นปุ๋ย แน่นอนอยู่แล้ว ถูกแมะ

     ส่วนใจนั้น คำตอบนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุณนิยามคำว่าหนูหรือ “ฉัน” ว่าอย่างไร ส่วนใหญ่คนทั่วไปจะนิยาม “ฉัน” ว่าก็คือบุคคลคนนี้ ประเด็นก็คือความเป็นบุคคลคนหากไม่นับส่วนที่เป็นร่างกายแล้วส่วนที่เหลือเป็นความคิดนะ

    สมมุติว่าผมมีความคิดที่โดดเด่นมากอันหนึ่ง คือผมคิดถึงช้างสีชมพูอ็องต็องตัวบะเร่งขึ้นมาในใจ โอ้โฮ ช้างอะไรจะสีจ๊าบขนาดนั้นสีชมพูร้อนแรงยังกับมีใครเอาลิปสติกไปทามันทั้งตัว คิดเรื่องช้างสีชมพูได้พักใหญ่แล้วผมก็เบื่อแล้วผมก็เลิกคิด หมายความว่าความคิดเรื่องช้างสีชมพูนั้นตายไปเสียแล้ว หากมีใครมาถามผมว่าเอ..สงสัยจริงๆว่าเจ้าช้างสีชมพูนั้นมันตายไปแล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ ผมก็จะตอบว่าช่างมันปะไรเล่า จะไปแคร์มันทำไม Who cares? เพราะมันเป็นแค่ความคิด เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ต้องดับ เพราะมันก็เหมือนสิ่งทั้งหลายที่ปรากฎต่อการรับรู้ของจิต คือไม่มีอะไรถาวร ดังนั้นในกรณีที่คุณนิยามว่าฉันคือความเป็นบุคคล ความเป็นบุคคลของคุณตายแล้วจะไปไหน ตอบว่าตายแล้วก็ดับหายจ้อยไปง่ายๆแค่นั้นเอง เพราะมันเป็นแค่ความคิด

     แต่บางคนซึ่งอาจเป็นคนส่วนน้อยไม่กี่คน “ฉัน” ของเขาหมายถึงความรู้ตัวหรือจิตเดิมแท้ที่ปลอดความคิด ผมขอซักซ้อมความเข้าใจกับคุณก่อนนะว่าจิตเดิมแท้หรือความรู้ตัวนี้มันไม่ใช่ “ของคุณ” ด้วยนะ เพราะ “คุณ” เป็นบุคคลซึ่งเป็นความคิด ที่ความรู้ตัวไม่มีความคิดนะ..อย่าลืม “ของ” ก็เป็นคอนเซ็พท์ของการเป็นเจ้าของ ซึ่งคอนเซ็พท์ก็คือความคิด แต่ว่าที่ความรู้ตัวไม่มีความคิดนะ..อย่าลืมอีกครั้ง ดังนั้นความรู้ตัวนี้มันไม่ใช่ของคุณ คุณต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน มันไม่ได้เป็นของใคร บางคนใช้คำพูดว่ามันเป็นเพียง “ธาตุรู้” ซึ่งฟังดูก็เท่ดีเหมือนกัน แต่จะฟังแล้วจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไรนั่นตัวใครตัวมันละครับ เพราะสิ่งนี้มันไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษา แต่สามารถรู้ได้โดยการถอยไปเป็นความรู้ตัวเสียเอง

    ถามว่าเมื่อร่างกายนี้ตายไปแล้ว จิตเดิมแท้หรือความรู้ตัวนี้จะยังมีอยู่หรือเปล่า หรือจะไปเป็นอะไรอยู่ที่ไหนต่อไป ตอบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย..แหะ แหะ

FC

     หมอเดาให้หนูหน่อยสิ

หมอสันต์

     ผมเดาว่ามันก็อยู่ที่ที่เดิมของมันน้่นแหละ อยู่อย่างนั้นแหละ 

FC 

หมอเดาจากอะไรหรือคะ

หมอสันต์

     ผมเดาจากประสบการณ์อ้อมๆของผมเองสองอย่าง คือ

     หนี่ง เวลาผมนั่งสมาธิจนไม่รับรู้ร่างกาย ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้รับสัมผัสอะไรแล้ว แต่ความรู้ตัวมันก็ยังอยู่ของมันได้ไม่เดือดร้อนอะไรแม้จะไม่มีร่างกายไม่มีแขนขาให้ขยับ

     สอง เวลาผมฝันว่าผมออกไปนอกตัวแล้วหันมามองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ความรู้ตัวมันยังคงอยู่ชัดเหลือเกินแม้จะไม่ได้อยู่กับร่างกายที่นอนอยู่บนเตียงแล้วในตอนนั้น ผมก็จึงสรุปเอาเองแบบง่ายๆลุ่นๆว่าความรู้ตัวมันอยู่ได้โดยไม่เกี่ยวกับร่างกาย มันไม่เกิดไม่ตายเหมือนอย่างร่างกายหรือความคิด ร่างกายหรือความคิดต่างหากที่จะปรากฎได้ต้องมีความรู้ตัวมารองรับ

     ทั้งหมดนี่เป็นแค่การเดานะ เพราะทั้งสองกรณีร่างกายเป็นๆของผมยังอยู่ ต้องรอให้ผมตายไปจริงๆก่อนผมจึงจะบอกคุณได้ว่าของจริงเป็นอย่างไร

FC

     ความหลุดพ้นคืออะไรคะ

หมอสันต์

     ความหลุดพ้น นี่ก็เป็นคำเท่อีกคำ ก็สุดแล้วใครจะให้มันหมายความว่าอย่างไรก็นิยามกันเอาเอง ถ้าให้ผมนิยามของผม ความหลุดพ้นก็คือการที่ความสนใจหลุดออกจากความคิดกลับมาอยู่กับความรู้ตัวได้อย่างต่อเนื่อง

FC

  หมายความว่าไม่เกี่ยวกับตอนตายไปแล้วหรือชาติหน้า

หมอสันต์

     ไม่เกี่ยว ความหลุดพ้นเป็นเรื่องของที่นี่เดี๋ยวนี้ คุณยังเด็กๆแถมยังตัวเป็นๆอุ่นๆอยู่ทำไมคุณไม่สนใจที่นี่เดี๋ยวนี้ว่าคุณจะหลุดพ้นจากความคิดงี่เง่าของคุณได้อย่างไร ไปสนใจอะไรกับความตายหรือชาติหน้าชาติหลังซึ่งเป็นเพียงคอนเซ็พท์เรื่องกาลเวลา

     อีกอย่างหนึ่งคุณไม่ต้องมาเซ้าซี้ถามผมถึงชาติหน้าดอก เพราะผมบอกแล้วไงว่าผมเองก็ยังไม่เคยตาย แล้วผมก็ระลึกชาติไม่เป็น ผมจะไปรู้เรื่องชาติหน้าชาติหลังได้อย่างไร แล้วอย่าลืมว่าชาติหน้าเนี่ยเป็นเพียงคอนเซ็พท์นะ แล้วคอนเซ็พท์เนี่ยเป็นความคิดนะ..อย่าลืม ถ้าคุณยังจมอยู่กับชาติหน้าคุณก็ยังจมอยู่ในความคิด แล้วคุณจะหลุดพ้นจากกรงความคิดของคุณได้อย่างไร

FC

  ความหลุดพ้นไม่ได้หมายถึงการบรรลุคุณธรรมวิเศษที่จะทำให้เราเป็น super human หรือคะ

หมอสันต์

     บ้า..คุณไปเอาไอเดียบ้าๆอย่างนี้มาจากไหน

     คุณเคยเห็น super human เดินเหินอยู่ในโลกนี้หรือ มันมีอยู่แต่ในหนังซูเปอร์แมนเท่านั้นแหละ อย่าลืมว่าคุณโตพอที่จะแยกให้ออกว่าอะไรเป็นหนังอะไรเป็นชีวิตจริงแล้ว แยกให้ออกสิ ถ้าแยกไม่ออกคุณเป็นบ้าได้นะ คุณนับถือพุทธใช่ไหม คุณก็รู้นี่ พระพุทธเจ้าสอนอยู่เรื่องเดียว ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ เรื่องอื่นเป็นความบ้าทั้งนั้นคุณอย่าไปสนใจเลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
……………………………………….
จดหมายจากท่านผู้อ่าน

วัสดีครับ คุณหมอสันต์
    ได้ติดตามบล็อกของคุณหมอมาระยะหนึ่ง ได้รับความรู้ทั้งทางโรคกายและเรื่องเกี่ยวกับจิต
เห็นด้วยอย่างยิ่งโดยเฉพาะเรื่องของจิตใน “คุยกับแฟนบล็อกอายุน้อย 29 สิงหาคม 2561”
     มีประเด็นเรื่อง “จิตเดิมแท้” ที่ผมอยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผมอยากมีประสบการณ์เรื่องการถูกวางยาสลบสักครั้งเพื่อทดสอบเรื่อง จิตเดิมแท้ แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับโอกาสนี้จากการวางยาเพื่อผ่าตัดกระดูกต้นแขนจากอุบัติเหตุ ก่อนวางยาผมก็นำจิตเข้าอู่จอด แต่ “คงสภาวะรู้ตื่นไว้และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะคงไว้ตลอดการผ่าตัด”
     ผมเข้าห้องผ่าตัดประมาณ บ่ายโมง เมื่อการผ่าตัดผ่านพ้นไป  มารู้สึกตัวอีกครั้งประมาณ บ่ายห้าโมง ในช่วงระหว่างนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่สามารถที่จิตจะคงสภาวะรู้ตื่นไว้ได้ เหมือน “absolute nothing” 
     จากประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมมีความคิดว่า จิตเดิมแท้ ก็เป็นเพียงกิจกรรมแบบหนึ่งของสมองเท่านั้น
ขอแสดงความนับถือ

 (ชื่อ) ……………………