Latest

นี่คือการเวียนว่ายตายเกิดแบบแท้ๆ จะๆ เห็นๆ

สวัสดีค่ะ คุณหมอ
หนูเคยรักษาอาการสองอย่างจากหมอ คือ adjustment disorder และโรควิตกกังวล ซึ่งไม่ร้ายแรง ได้ยาช่วยนอนมาและหมอเลิกรักษา หลังจาก cbt มา ตอนนี้หนูไม่มีงาน เพราะทำงานไม่ได้ ทนไม่ได้เวลาคนโกรธ สั่งงาน หรือด่าว่างาน เลยไม่ทำงานเลย แต่จะทำอะไรของตัวเองก็ไม่รู้ ชีวิตเงินไม่มี อนาคตไม่มี จะมีใครข้างกายก็ทะเลาะกับเขาบ่อย ไม่พอใจง่าย ทนอารมณ์หึง กลัว ระแวง ของตัวเองไม่ได้สะสมไว้จนต้องระเบิดใส่ทุกครั้ง เอาแต่ใจ ไม่อดทน อารมณ์แกว่ง ไม่ชอบตัวเอง ไม่มั่นใจตัวเอง อิจฉา วนลูป แย่มากๆค่ะ แต่รู้อะไรดีไม่ดี รู้สึกเป็นคนที่ไม่มีคุณภาพในการใช้ชีวิต รู้สึกไม่อยากเป็นแบบนี้ แต่แก้ไม่ได้ พอจะฝึกอะไรเช่นโยคะ ก็ไม่มีอารมณ์หรือทำได้ไม่นานเลย ไม่รู้จะเอาอะไรยังไงในชีวิต ไม่มีเป้าหมายเลยตั้งแต่เรียนจบมา ไม่มีคุณค่าด้วยค่ะ ตอนนี้30แล้ว

………………………………………………..

ตอบครับ

     อามิตตาภะ..พุทธะ

     “รู้ว่าอะไรดีไม่ดี แต่ทำไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่อยากเป็นอย่างนี้ นี่ มันเป็นอย่างนี้ซะด้วยซิคะท่านสารวัตร”

      หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น มาตอบจดหมายของคุณแบบจริงจังดีกว่า

     ประเด็นที่ 1. นี่คือการเวียนว่ายตายเกิดแบบแท้ๆ จะๆ เห็นๆ ที่คุณเล่าว่ามีแต่ความคิดเอาแต่ใจ ไม่อดทน อารมณ์แกว่ง ไม่ชอบตัวเอง ไม่มั่นใจตัวเอง อิจฉา วนลูป นี่แหละคือการเวียนว่ายตายเกิดแบบแท้ๆ จะๆ เห็นๆ ชาติหน้าจะมีหรือเปล่าไม่รู้ มีแล้วจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ชาตินี้คุณเหลือสัมปทานอยู่อีกประมาณ 50 ปีหากนับว่าคุณน่าจะอยู่ไปได้ถึง 80 ห้าสิบปีที่เหลือคุณก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับความคิดพวกนี้แหละ มันจะวนหลูบได้สักกี่ล้านรอบ คุณลองคิดคำนวณดู แล้วนี่แหละที่เขาเรียกว่ากฎแห่งกรรม คือเมื่อใดที่คุณคิด ความคิดนั้นจะถูกฝังเก็บไว้ในความทรงจำรอวันที่จะถูกกลับมานำเสนออีก แล้วเมื่อได้จังหวะก็เสนอตัวเองขึ้นมาอีกในรูปของหัวเชื้อของความคิดครั้งใหม่ รอบแล้วรอบเล่า โดยตราบใดที่มองภาพใหญ่ของวงจรการเกิดดับความคิดไม่ออก ไปหลงเข้าใจผิดว่าความคิดนั้นเป็นคุณ หรือเป็น “ฉัน” คุณก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ล้านชาติ ไม่มีวันที่จะถอนตัวออกมาได้

     ประเด็นที่ 2. ความหน่าย เป็นของดีนะ ไม่ชอบตัวเอง ไม่มั่นใจตัวเอง อิจฉา วนลูป รู้สึกเป็นคนที่ไม่มีคุณภาพ รู้สึกไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่รู้จะเอาอะไรยังไงในชีวิต ไม่มีเป้าหมายเลย ตั้งแต่เรียนจบมา ไม่มีคุณค่า ทั้งหมดนี้คือ “ความเบื่อหน่าย” ซึ่งถือเป็นแรงขับดันที่จำเป็นในการออกเดินทางไปสู่ความหลุดพ้น คนที่สุขสบายดีไม่มีความเบื่อหน่ายอะไรในชีวิตอย่างเช่นพวกเทวดาทั้งหลาย (ถ้ามีอยู่จริง) ย่อมไม่มีโอกาสได้หลุดพ้น มีแต่ปุถุชนที่เบื่อหน่ายชีวิตและเห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งไร้สาระเท่านั้นที่จะมีแรงขับดันให้เสาะหาความหลุดพ้น ดังนั้นเมื่อความเบื่อหน่ายมา ขอให้ใช้มันเป็นจุดตั้งต้นของการออกเดินทางไปสู่ความหลุดพ้น อะไรกันเนี่ย เกิดมาทำไมกัน ชีวิตมีแค่เนี้ยนะ ไม่มีสาระอะไรมากไปกว่านี้หรือ ไม่มีวิถีอื่นที่ดีกว่านี้เลยหรือ 
     
     ประเด็นที่ 3. ตั้งต้นด้วยความเข้าใจภาพใหญ่ของชีวิตอย่างถูกต้อง ให้มองภาพใหญ่ของชีวิตให้ออก ว่าฉันเป็นใคร Who am I?

     ฉันคือร่างกายนี้หรือเปล่า มองเผินๆก็น่าจะใช่ เพราะฉันสั่งร่างกายนี้ได้ แต่มองให้ถ่องแท้กลับไม่ใช่ เพราะที่สั่งได้ก็มีแต่แขนขาลำคอลำตัวเท่านั้น แต่เครื่องในเช่นหัวใจปอดตับไตไส้พุงเราหาสั่งการพวกมันได้ไม่ แถมแม้ภายนอกที่ดูเหมือนเราจะสั่งการได้นี้บางประเด็นเช่นความแก่ความเหี่ยวเราก็ยังสั่งห้ามไม่ได้ และที่ว่าร่างกายนี้เป็นผู้รับรู้เป็นผู้มองเห็นสิ่งภายนอกนั้นแท้จริงร่างกายไม่ว่าจะเป็นตาหรือหูก็เป็นเพียงเครื่องมือของใจเท่านั้น ใจต่างหากที่เป็นผู้มองเห็นสิ่งภายนอกโดยอาศัยตาและหูเป็นเครื่องมือ

     แล้วฉันคือใจหรือความคิดนี้หรือเปล่า มองเผินๆก็น่าจะใช่ แต่ถ้าฉันคือความคิดนี้ ทำไมเวลาหงุดหงิดโมโหฉันจึงรู้ได้ละว่าฉันกำลังหงุดหงิด กำลังโมโห แสดงว่ามีผู้สังเกตอีกคนหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างใน กำลังสังเกตเฝ้ามองใจนี้หรือความคิดนี้อยู่ ผู้สังเกตคนนั้นคือฉันตัวจริงหรือเปล่า

     ถ้าลองสอบสวนให้ดี ความคิดทั้งหลายล้วนงอกรากออกมาจากแม่ของความคิดทั้งมวลคือความคิดว่า “ฉันนี้เป็นบุคคลสำคัญ” ที่ใครจะมาลบหลู่ว่าร้ายดูถูกดูแคลนหรือเอาเปรียบไม่ได้เด็ดขาด

     ถ้าความคิดไม่ใช่ฉันตัวจริง ความเป็นบุคคลสำคัญของฉันก็ไม่ใช่ของจริงสิ เป็นชุดของความคิดหรือคอนเซ็พท์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจเท่านั้น

     ถ้าฉันไม่ใช่ร่างกายนี้ “I am not the body”

     และฉันไม่ใช่ความคิดนี้หรือใจนี้ “I am not the mind”

     หรือว่าฉันเป็นผู้สังเกตที่อยู่ลึกเข้าไปยิ่งกว่าร่างกายและความคิดใช่ไหม ถ้าภาพใหญ่ของชีวิตเป็นเช่นนั้น การที่ฉันมาหลงหงุดหงิดงุ่นง่านเพื่อปกป้องความเป็นบุคคลสำคัญของฉันก็เป็นความเซ่อในการใช้ชีวิตใช่ไหม เพราะไปหลงคิดว่าตัวเองเป็นความคิดซึ่งแท้จริงแล้วความคิดนั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง หากเข้าใจภาพใหญ่ตรงนี้ก็จะมองชีวิตออกมาจากความเป็นผู้สังเกตที่อยู่ชั้นในสุด มองเห็นร่างกาย มองเห็นความคิดที่ปรุงแต่งผูกโยงความเป็นบุคคลสำคัญของฉันตัวปลอมขึ้นมาแล้วกระโดดโลดเต้นเล่นละครเพื่อปกป้องฉันตัวปลอมตัวนั้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รู้อย่างนี้แล้วแม้ละครจะยังต้องเล่นอยู่ แต่ความอินจะแตกต่างกัน คือเล่นได้ อินบ้างได้ แต่ไม่อินมากเกินไป เพราะมันเป็นแค่ละคร มันเป็นแค่ฉันตัวปลอมที่ความคิดกุขึ้น ในฐานะคนดูละคร เราเชียร์พระเอกเชียร์นางเอกได้ แต่ไม่อินกับละครมากเกินไป เพราะมันเป็นแค่ละคร       

     ประเด็นที่ 4. ลงมือด้วยการใช้ชีวิตประจำวันแบบช็อตต่อช็อต เมื่อเข้าใจภาพใหญ่ของชีวิตแล้ว การจะเริ่มต้นใช้ชีวิตจากความเข้าใจภาพใหญ่แล้วนี้ ให้เริ่มที่การใช้ชีวิตประจำวันไปทีละช็อต ไม่ต้องไปคิดคาดการณ์อะไรล่วงหน้ามากมาย ยิ่งคุณว่างงานอย่างนี้ยิ่งง่าย คิดวางแผนอย่างมากสองสามช็อตล่วงหน้าพอแล้ว สมมุติว่าตอนนี้คุณดื่มกาแฟอ่านบล็อกนี้อยู่ แล้วคุณจะเอาแก้วกาแฟไปล้าง แล้วจะไปถูบ้าน นี่ล่วงหน้าไปสองช็อตแล้วนะ แค่นี้พอแล้วในแง่ของการวางแผน แล้วมาโฟกัสอยู่กับช็อตนี้หรือปัจจุบัน สมมุติว่าช็อตนี้คุณล้างถ้วยกาแฟ ให้คุณวางความคิดล่วงหน้าหรือความคิดอื่นใดลงไปให้หมด วางหมายความว่าไม่ให้ราคา ไม่ให้ความสำคัญ หันหลังให้ สนใจแต่การล้างถ้วยกาแฟที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างเดียว คุณเปิดก๊อกน้ำ รับรู้ความเย็นของน้ำที่รดราดลงบนมือ คุณตั้งใจกดน้ำยาล้างจานลงไปในถ้วยกาแฟ ตั้งใจล้างและขัดถ้วยกาแฟให้สะอาด พอเสร็จแล้วก็ไปตั้งใจถูพื้นต่อ

     ในระหว่างกิจกรรมประจำวัน ให้คุณหาเวลาอยู่ว่างๆนิ่งๆไม่ทำอะไรเลยด้วย ในเวลาอย่างนี้ให้คุณตั้งใจรับรู้ความนิ่งความเงียบของปัจจุบัน วางความคิดใดๆทิ้งไปให้หมด สนใจแต่ความนิ่ง สนใจแต่ความเงียบ จุ่มแช่ความสนใจอยู่ในความนิ่งความเงียบ มีความคิดอะไรโผล่ขึ้นมาก็วางลงไปเสีย หรือเพิกเฉยไม่สนใจเสีย มองเห็นความคิด เหมือนท้องฟ้ามองเห็นก้อนเมฆที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่หยิบฉวย ไม่เข้าไปคลุกเคล้าร่วมคิดด้วย ฝึกทำอย่างนี้ไปทุกวันในที่สุดคุณก็จะเป็นอิสระจากความคิดของตัวเอง มองเห็นความคิดของตัวเอง โดยไม่เผลอลงไปเป็นผู้คิดเสียเอง

     ประเด็นที่ 5. ในสนามความคิด ลองคิดแบบตรงกันข้าม ความคิดของคุณหลายปีที่ผ่านมา มีแต่ความคิดต่อสู้ ขัดขืน ไม่ยอมแพ้ จะเอาชนะ เปรียบเทียบ อิจฉา ความคิดเหล่านั้นทำให้คุณเป็นทุกข์ ผมแนะนำว่าช่วงที่คุณยังถอยออกจากโลกของความคิดไม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จนี้ ผมแนะนำให้คุณลองคิดตรงกันข้ามกับที่คุณเคยคิดดูบ้าง คุณจะมีแต่ได้กับได้ไม่มีเสีย เชื่อผม เพราะคิดแบบเดิมคุณเสียมาตลอดจนชีวิตคุณเสียศูนย์ไปถึงเพียงนี้แล้ว คุณไม่มีอะไรจะเสียเพิ่มแล้ว คิดแบบใหม่คุณจะมีแต่ได้กับได้

     คิดแบบใหม่ก็คือให้คุณคิดแบบยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ยอมรับ ยอมแพ้ อย่างไม่มีเงื่อนไข ใครเขาจะเอาเปรียบคุณก็ให้ยอมให้เขาเอาเปรียบด้วยความยินดี ใครเขาจะว่าคุณโง่คุณก็ยอมรับว่าคุณโง่ด้วยความยินดี ไม่ต่อสู้ขัดขืนอะไร ยอมรับยอมแพ้ลูกเดียว ลองดูก่อน อย่าเพิ่งส่ายหัวว่าหมอสันต์จะบ้าเรอะโดยไม่ได้ทดลองทำ ประเด็นของผมคือคุณกำลังเป็นทุกข์เพราะคุณถูกหลอกให้ปกป้องความเป็นบุคคลสำคัญของคุณซึ่งแท้ที่จริงเป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือชุดของความคิด วิธีของผมนอกจากจะไม่ให้คุณถูกหลอกใช้โดยความคิดของคุณเองแล้วยังจะทำให้คุณปลดแอกจากแม่ของความคิดทั้งหลายคือความคิดที่ว่า “ฉันเป็นบุคคลสำคัญ” เสียแบบตรงๆด้วย หากคุณทำตรงนี้สำเร็จ คุณหลุดพ้นจากกรงของความคิดของคุณทันที คุณจะบรรลุธรรมทันที แล้วคุณจะถึงบางอ้อด้วยตัวคุณเองทันทีว่าความสุขสงบเย็นจากการได้อิสรภาพจากความคิดว่า “ฉันเป็นบุคคลสำคัญ” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

     จากจุดที่คุณหลุดพ้นแล้ว เป็นอิสระจากความคิด “ฉันเป็นบุคคลสำคัญ” แล้ว จากตรงนี้ไปการใช้ชีวิตมันจะง่ายมากเลย เพราะความคิดงี่เง่าแบบที่ทำให้คุณเหวี่ยงใส่คนโน้นคนนี้มันจะมีน้อยจนแทบไม่เหลือ และความสุขมันจะเกิดขึ้นง่ายๆแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แค่นั่งมองสนามหญ้าหน้าบ้านโดยไม่คิดอะไรความสุขก็มาแล้ว จากจุดนี้ไปชีวิตมันจะดำเนินไปอย่างมีคุณค่าอย่างอัตโนมัติ เพราะชีวิตที่เป็นอิสระจากความยึดถือในความเป็นบุคคลของตัวเอง จะทำอะไรก็ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพราะตัวเองไม่มีหรือมีแต่เบาบางแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็จะไปให้ผลดีแก่คนอื่น หรือแก่โลก นั่นแหละ ชีวิตอย่างนั้นแหละที่ผมเรียกว่าเป็นชีวิตที่สร้างสรรค์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์