Latest

ผาแต้มและผาชะนะได

12 พย. 61

     เพิ่งเสร็จจากแค้มป์ Cooking Class มีเวลาว่างอยู่สามสี่วันก่อนที่จะทำแค้มป์พลิกผันสุขภาพดัวยตนเอง(RDBY) ตอนปลายสัปดาห์ มีคนชวนให้ใช้วันว่างนี้ไปเที่ยวผาแต้ม จ.อุบลฯ รวบรวมสมัครพรรคพวกชาวมวกเหล็กวาลเลย์ได้ 7 คน มีคนจัดแจงเช่ารถตู้ไว้แล้ว มีคนจองที่พักให้แล้ว มีเจ้าถิ่นอาสาเป็นบักกุเต๋ (มัคคุเทศน์) ด้วย โอเค. ไปก็ไป

     จำไม่ได้ว่าสมัยหนุ่มๆเคยไปอุบลหรือเปล่า แต่เพิ่งมารู้เอาคราวนี้เองว่าเมืองอุบลนี้ช่างอยู่ไกลแสนไกล ไกลเสียยิ่งกว่าเชียงใหม่อีกแฮะ รถตู้ของเราออกเดินทางจากมวกเหล็กตั้งแต่เช้า 7.00 น. มาหิวข้าวกลางวันเอาที่อำเภอขุขันท์ จึงแวะทานอาหารจานเดียวที่ปั๊มน้ำมันข้างทาง แล้วออกเดินทางต่อไปโดยไม่แน่ใจจะไปทางไหนดี เพื่อนผู้จัดทริปนี้จึงโทรหาบักกุเต๋ ปรากฎว่าบักกุเต๋ยังอยู่บนเครื่องบิน ระหว่างนั้นเราจึงต้องไปแบบสะเปะสะปะ มีสมาชิกบางคนคอยช่วยอ่านป้ายชี้บอกทาง ถึงตอนหนึ่งเธออ่านว่า

     “ภูเสียดสี” ซึ่งก็โดนเบรคทันควันว่า

     “ไม่ใช่..ภูสีเสียด กรุณาอ่านเท่าที่ตาเห็น ไม่ต้องใข้ประสบการณ์ส่วนตัวตีความ”

     กว่าจะติดต่อกับบักกุเต๋ได้ก็เกือบสี่โมงเย็น สอบถามกันพักใหญ่ว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน เราก็รายงานไปว่ากำลังจะเข้าใกล้อำเภอโขงเจียมซึ่งเข้าใจว่าเป็นทางผ่านขึ้นไปอุทยานผาแต้ม เธอบอกว่าจะลงมารับที่โขงเจียม แต่กว่าจะมาถึงคงมืดแล้ว ให้เราไปฆ่าเวลาโดยให้ขับไปดูศาลากลางน้ำที่วัดป่านานาชาติ แล้วพอตะวันจะตกก็ให้ไปดูตะวันตกที่วัดภูพร้าว แล้วไปพบกับเธอที่ร้านอาหารที่โขงเจียมซึ่งเธอจะไปเตรียมสั่งข้าวเย็นไว้รอพวกเราที่นั่น กินอิ่มแล้วค่อยขึ้นอุทยาน ฟังดูเป็นแผนที่รัดกุมดี นี่เป็นครั้งแรกที่เราใช้บริการนำเที่ยวทางโทรศัพท์ มันเวอร์คดีเหมือนกันนะ

     เริ่มการทัวร์อย่างเป็นทางการโดยขับลงถนนลูกรังขนาดแคบๆไปยังวัดป่านานาชาติ ขับรถผ่านประตูวัดซึ่งเปิดอ้าซ่าอยู่เข้าไป เป็นป่าธรรมชาติอย่างดีกว้างใหญ่หลายร้อยไร่ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ร่มรื่น ขับเข้าไปได้หลายกม.ก็มาถึงศาลาไม้ขนาดใหญ่ๆโล่งๆอยู่กลางป่า มีลานโล่งอยู่รอบๆ โดยมีกุฏิไม้อยู่ทางด้านขวามือสองหลัง ตัวศาลาลักษณะคุ้นตามาก แต่ที่ไม่คุ้นตาคือบรรดาคุณจ๋อทั้งขนาดเอส. เอ็ม. และ แอล. นับได้ประมาณหนึ่งร้อยตัว พอเห็นรถเราเข้ามาพวกลิงก็กระโดดออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้มารอต้อนรับอยู่กลางลานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ผมนึกถึงบรรยากาศเมื่อไปทัวร์วัดแห่งหนึ่งในบาหลีที่มีลิงห้อยโหนโจนทะยานอยู่ตามต้นไม้เหนือศีรษะของนักท่องเที่ยว คอยแฮ้บเอาหมวกบ้าง แว่นตาบ้าง โทรศัพท์มือถือบ้าง พวกเราคนหนึ่งเปรยว่า

     “อย่าเพิ่งเปิดประตูนะ เดี๋ยวหากมีตัวใดตัวหนึ่งหลุดลอดเข้ามาในรถได้ มันจะส่งเสียงบอกเพื่อนมันว่าในรถมีอาหารเพียบ..บ”  อีกคนพูดต่อให้ว่า

     “ซึ่งก็เป็นความจริง”

     ขณะกำลังดูเชิงกันอยู่นั้น ก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาคันหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นคุณแม่ที่บ้านอยู่ข้างในนี้ไปรับลูกกลับจากโรงเรียน เด็กนักเรียนที่ซ้อนท้ายมอไซค์โยนข้าวควบให้พวกลิงสองแผ่น เท่านั้นแหละลิงครึ่งฝูงก็ยกทัพวิ่งตามมอเตอร์ไซค์ไปแต่วิ่งไม่ทัน บรรดาผู้โดยสารเห็นความไวของเหล่าคุณจ๋อแล้วก็จึงตกลงกันว่าถอยดีกว่า

    กว่าจะพ้นเขตวัดอันกว้างใหญ่ออกมาได้ก็หมดเวลาโหลงโจ้งไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง จึงรีบตรงไปยังวัดภูพร้าว พูดถึงวัดภูพร้าวนี้ ลูกทัวร์ตั้งข้อสังเกตว่า

     “เอ..วัดนี้คือวัดหนอนเรืองแสงหรือเปล่า” 

     “หนอนเรืองแสงคืออะไร”

     “ความจริงไม่มีหนอนหรอก มีแต่ปูนเรืองแสง ผมเรียกง่ายๆเพราะมันเรืองแสงได้แบบหนอนเรืองแสงในถ้ำไวโตโม ที่นิวซีแลนด์” อีกคนว่า

     “ใช่ๆๆ วัดนี้แหละ วัดนี้เขาดังนะ เพิ่งรู้นะว่าอยู่ที่นี่เอง”

วัดหนอนเรืองแสง ไม่มีหนอน มีแต่ปูนเรืองแสง

     พอรถขึ้นไปถึงวัดแล้วก็ต้องตลึง ตลึ่ง ตะลึ่ง ด้วยความสวยงามของที่ตั้งวัดซึ่งอยู่บนยอดภูผาสูงมีโค้งน้ำล้อมรอบ ที่เจ๋งมากคือห้องน้ำซึ่งใหญ่มีจำนวนมากและสะอาดจนคุณสามารถดมความสะอาดได้ ผมหมายถึงสะอาดจริงๆ จนผมตั้งใจว่าเดี๋ยวจะต้องทำบุญที่วัดนี้ให้หนำใจเพราะมีความสุขกับห้องน้ำที่นี่เหลือเกิน แต่พอพ้นจากห้องสุขาออกมาแล้วก็..เป็นลืม

     ดูวิวและชมตะวันลับเหลี่ยมเขากันจุใจแล้วก็รอความมืดมาเพื่อจะดูปูนเรืองแสง ขณะรอผมตระเวณอ่านทุกอย่างที่วัดเขาตั้งไว้ให้อ่าน ส่วนใหญ่เป็นประวัติชีวิตและหลักคิดของพระอาจารย์สายวัดป่าที่มีชื่อเสียงหลายรูป อ่านจบแล้วก็ยังไม่มืดอีก จึงไปนั่งสมาธิตรงศาลาเล็กๆที่มีรูปปั้นของเกจิอาจารย์แยะๆ นั่งอยู่ครึ่งชั่วโมง คราวนี้ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเรืองแสงให้เห็น คนที่ใจร้อนก็เอาไฟฉายหรือโทรศัพท์มือถือไปจ่อส่องพื้นปูนที่เขาทาพรายน้ำไว้ พอได้แสงจากโทรศัพท์หรือไฟฉายปูนมันก็เรืองแสงขึ้นมา ฉายเป็นตัวหนังสือหรือเป็นรูปอะไรมันก็เรืองแสงขึ้นมาให้เห็นตามนั้น เล่นกันเป็นที่สนุกสนานจนมืดสนิท คราวนี้ก็เห็นว่าทั้งวัดได้เรืองแสงขึ้นมาจากพื้นบ้าง จากผนังด้านหลังของโบสถ์ที่เป็นรูปต้นไม้บ้าง ผมไม่มีกล้องดีๆและขาตั้งกล้องที่จะถ่ายรูปมาให้ดู จึงขอรูปของคนอื่นมาให้ท่านดูเพื่อจะได้เข้าใจว่าที่ว่าเรืองแสงนั้นมันเรืองอย่างไร

แสงแดดยามเช้าทาบลงบนผาแต้ม

      จบจากวัดภูพร้าวแล้วพวกเราก็ไปพบกับบักกุเต๋เจ้าภาพผู้อารีซึ่งก็เป็นหลานสาวและหลานเขยของลูกทัวร์ท่านหนึ่งในคณะเรานี่เอง ทานอาหารเย็นแล้วขึ้นไปถึงอุทยานผาแต้มเอาประมาณเกือบสี่ทุ่ม ตอนออกจากมวกเหล็กมาอุณหภูมิ 22 องศา ที่อุทยานผาแต้มนี้อากาศร้อนกว่าที่มวกเหล็ก แต่พวกเราก็นอนหลับสบาย เพราะเปิดแอร์ หิ หิ

13 พย. 61

     เราออกจากที่พักบนอุทยานแต่เช้าตรู่เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้ม ความจริงผาแต้มนี้ไม่ได้ดังเพราะผาแต้ม แต่ดังเพราะภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผาและสวนดอกไม้ป่าซึ่งสมัยหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯเสด็จมาทุกปี ทั้งสองอย่างหลังนี้เป็นเหตุให้เรามาที่นี่ พอเสร็จจากดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้มแล้วก็เดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆริมหน้าผาซึ่งจัดทำไว้อย่างถาวรสะดวกปลอดภัย ไปดูภาพเขียนบนหน้าผาที่เขียนโดยคนที่อยู่แถบนี้ในยุค 3,000 – 4,000 ปีก่อนประวัติศาสตร์ จุดที่เราหยุดดูนานมากที่สุดคือจุดที่สองซึ่งมีภาพเขียนหลายภาพอยู่ใกล้ๆกัน เขียนด้วยสีหินแร่สีแดงส้มบดเป็นผง เป็นรูปสัตว์สมัยนั้นและเล่าเรื่องชีวิตของการอยู่อาศัยในแถบนี้ เช่นรูปช้าง ปลาบึก ปลากระเบน เต่า รูปไซดักปลา เป็นต้น

 เหนื่อย เพราะเดินน้อย แต่ร้อนเอาเรื่อง เรากลับขึ้นมาริมหน้าผาซึ่งมีร้านกาแฟ สั่งกาแฟมาดื่ม คนอื่นดื่มกาแฟร้อนเพราะมันยังเช้าอยู่ แต่ผมดื่มกาแฟเย็นเพราะมันร้อน ที่นี่เราได้พบกับนักปั่นจักรยานที่น่ารักท่านหนึ่ง คุยกันจึงได้ทราบว่าท่านอายุได้ 77 ปีแล้ว ปั่นจักรยานมาตั้งแต่เกษียณใหม่ๆ

หมอสันต์ 66, คนเกษียณชวนปั่น 77,
กับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติผาแต้ม 47

     ท่านบอกว่าท่านเป็นสมาชิกสมาคมคนเกษียณชวนปั่น มาเที่ยวนี้ท่านปั่นมาจากกรุงเทพฯ เพิ่งมาได้เดือนกว่า ทริปนี้จะวนตามแม่น้ำโขงขึ้นไปกะว่าจะใช้เวลาสามเดือนกว่าจึงจะจบ ท่านพูดติดตลกว่าเมียผมบอกว่าหาทางกลับบ้านเองให้ถูกก็แล้วกัน ลูกทัวร์พวกเราบางคนซึ่งเพิ่งหกสิบต้นๆก็ออดๆแอดๆเรื่องหัวเข่าถามท่านว่า

     “คุณพี่ไม่เจ็บเข่าบ้างหรือ” ท่านตอบว่า

     “แต่ก่อนตอนเกษียณใหม่ๆผมเจ็บเข่าไปหาหมอกินยาประจำ หัวเข่ามีเสียงดังกุบๆกับๆ พอมาปั่นจักรยานแล้วหายหมด ผมถามหมอว่าทำไมมันถึงหาย หมอบอกว่าเมื่อกล้ามเนื้อขาของผมแข็งแร็งขึ้นมันก็หายเจ็บเข่า”

     พวกเราอีกคนกังขาว่าทำไมท่านจึงใส่กางเกงยีน ท่านตอบว่า

     “หมามันชอบกัด ผมต้องใส่ยีนแต่ว่าต้องเป็นยีนยืดนะ ไม่งั้นมันปั่นยาก อย่างนี้หมามันกัดไม่ทะลุ พวกหมานี่มันก็แสบ บางครั้งมันใช้วิธีซุ่มโจมตี กว่าจะรู้ตัวมันก็งับน่องเข้าให้แล้ว” 

เมื่อถูกถามเรื่องที่พัก ท่านตอบว่า

     “วัดเป็นที่นอนหลัก ปั่นไป ดูสถานที่สวยๆงามๆไป เปลี่ยนที่นอนไปทุกวัน”

    พอถูกถามว่าแล้วไม่กลัวจักรยานหายหรือ ท่านยิ้มปากกว้างตอบอย่างคนเข้าใจโลกที่มองชีวิตในแง่ดีว่า

    “ยังไม่หาย”

    จบจากการเดินชมภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์และดื่มกาแฟแล้ว เรานั่งรถกลับไปทานอาหารเช้า แล้วนั่งรถไปตามถนนในอุทยาน

ทุ่งดอกไม้บนลานหิน

เพื่อไปชมทุ่งดอกไม้ที่อยู่ริมน้ำตกสร้อยสวรรค์ ตัวน้ำตกนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ทุ่งดอกไม้ป่าเป็นธรรมชาติที่สวยงามและน่าสนใจ ในเดือนนี้แม้จะหมดฝนไปพักใหญ่แล้วก็ยังมีดอกไม้ป่าและดอกหญ้าชนิดต่างๆให้เห็น มีร่องลำธารหินตื้นๆน้ำใสไหลเย็นไหลผ่านด้วย ดอกไม้พวกนี้เป็นพันธ์ไม้ที่ขึ้นอยู่บนดินบางๆที่เคลือบอยู่ผิวของลานหินอันกว้างใหญ่ จึงเป็นดอกไม้ที่แตกต่างจากดอกไม้ที่ขึ้นตามพื้นดินทั่วไป

     เราเดินทางต่อไป คราวนี้เราไปดูน้ำตกรู ชื่ออย่างเป็นทางการของเขาคือ “น้ำตกแสงจันทร์” น้ำตกนี้มีลักษณะตามชื่ออย่างไม่เป็นทางการทุกอย่าง คือมีรู แล้วก็มีน้ำตกพรูลงมาจากรูนั้น น้ำใสและเย็นดีจนพวกเราบางคนยอมถอดรองเท้าลงไปเดินในน้ำและกางมือกางไม้รับฝอยละอองน้ำตก

ดอกไม้ป่าผาชะนะได โปรดสังเกตแมงมุมลายเสือที่มุมซ้ายบน

     แล้วก็ถึงเวลาต้องเดินทางออกจากผาแต้มขึ้นไปผาชะนะได ฟังว่าที่แห่งนี้เป็นที่แรกของประเทศที่จะเห็นแสงอาทิตย์ก่อนใครเพื่อน ทุกวันการพยากรณ์อากาศจึงพูดถึงดวงอาทิตย์ขึ้นที่ผาชะนะไดเวลาเท่านั้นเท่านี้  การจะขึ้นไปผาชะนะไดตอนแรกเราก็คิดว่าหมูๆ แต่ที่ไหนได้ต้องนั่งรถปิกอัพขับเคลื่อนสี่ล้อไปตามทางซึ่งไม่เป็นทาง คือเป็นก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ ผมยกให้เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางวิบากแห่งชาติ จะเป็นรองก็แต่ทางเข้าเหมืองป้าเกลนที่อ.ทองผาภูมิเท่านั้น ผู้โดยสารต้องนั่งหัวโยกหัวคลอนไป ระยะทางแค่สิบกว่าโล แต่วิ่งกันสองชั่วโมงครึ่ง แต่ถึงจะนั่งทางวิบากอย่างนี้ สมาชิกเซียนหลับท่านหนึ่งก็ยังหลับจนได้อยู่ดี ผลก็คือเมื่อจังหวะหนึ่งรถตกหลุมอากาศ

     “โป๊ก..ก”

    เป็นโป๊กยักษ์จุหนึ่งลิตรที่มีผู้บาดเจ็บคราวเดียวถึงสองคน คือคนที่หลับและร่อนศีรษะตัวเองไปทั่ว กับคนที่ตื่นที่นั่งติดกันซึ่งเอาศีรษะไปรองรับ

อาทิตย์ตกที่เสาเฉลียงคู่ใกล้ผาชะนะได

     ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงผาชะนะไดโดยเครื่องในหลวมไปคนละเล็กคนละน้อย เจ้าภาพพาเราไปดูลานดอกไม้ซึ่งว่ากันว่าจะออกดอกช้ากว่าที่ข้างล่างจึงน่าจะมีดอกที่สดกว่า เมื่อมาถึงเราก็พบว่าดอกไม้ได้เริ่มโรยไปบ้างแล้วแต่ก็ยังพอเห็นความสวยงามอยู่ ผมเดินผ่านดอกไม้สีแดงริมหน้าผาเตี้ยๆซึ่งเงียบสงบจนแมงมุมลายเสือตัวหนึ่งมาชักใยแล้วยืนกางแขนกางขาอ้าปากรอเหยื่ออยู่อย่างใจเย็น จึงถ่ายรูปมาให้ดูด้วย

     จากนั้นเราไปดูดวงอาทิตย์ตกตรงสถานที่เรียกว่า “เสาเฉลียงคู่” หมายถึงเสาหินที่ถูกลมกร่อนให้มีรูปทรงแปลกเหมือนเสาใส่หมวก ยามที่แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดเฉียงลงมาหาตัวเสาก็จะเกิดความสวยงามไปอีกแบบ

6.02 น. ที่ผาชะนะได มองข้ามแม่น้ำโขงไป

     คำแล้ว เข้าที่พัก ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า มีแต่แสงสว่างจากโซล่าเซลที่ต้องลุ้นเอาเองว่าพลังมันจะหมดเมื่อใด อาหารเย็นคือผัดสิ้นคิดและไข่ดาวปรุงโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน อร่อยมาก ที่นอนก็คือเต้นท์ของอุทยานนั่นแหละ เนื่องจากพวกเราล้วนแก่แล้ว เจ้าหน้าที่อุทยานได้กรุณามาสงเคราะห์กางเต้นท์ให้ แถมยังแนะนำเรื่องการป้องกันงู โดยให้ข้อมูลว่าเมื่อคืนนี้มีพระธุดงค์มาปักกลดและมีผ้าขาว (โยมอุปฐาก) ปูเสื่อนอนด้วยที่ข้างนอกกลด กลางดึกผ้าขาวได้ยินเสียงสาก..กที่ข้างหู จึงลุกขึ้นมาเอาไฟฉายส่องดู พบว่าเป็นงูสามเหลี่ยมมากระซิบ กระซิบ ผ้าขาวกลัวจึงหนีขึ้นไปนอนบนรถปิคอัพของเจ้าหน้าที่อุทยาน และตอนค่ำวันเดียวกันตัวผู้เล่าเองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานก็เจองูสามเหลี่ยมขนาดเท่าแป๊บน้ำหกหุนอยู่ที่ธารน้ำข้างๆนี้ตัวหนึ่ง และเมื่อเช้าวันนี้หมาดๆเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งก็โดนงูกะปะเลื้อยผ่านหลังเท้าซึ่งสวมแค่รองเท้าแตะจนเขาสะดุ้งกระโดดหนีและโชคดีไม่โดนกัด เพื่อนเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งตบเข่าฉาดว่าทำไมไม่ให้มันกัดเสียหน่อยนะ จะได้บรรจุเสียที คือที่อุทยานแห่งชาตินี้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างชั่วคราว การจะได้บรรจุเป็นลูกจ้างประจำนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องทำงานมานานเป็นพิเศษ หรือบาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่เช่นงูกัดจึงจะได้บรรจุ สมาชิกชาวทัวร์ของเราท่านหนึ่งเปรยเบาๆว่า

     “ถ้าให้มันกัดก็คงได้บรรจุจริงๆแหละ คือบรรจุลงหีบ” 

     หุ..หุ..หุ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

14 พย. 61

     เราหลับสบายในเต้นท์เพราะอากาศถึงจะไม่หนาวแต่ก็ไม่ได้ร้อน ตีห้าครึ่งเราระดมพลเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชะนะไดอันเป็นเป้าหมายของการถ่อสังขารขึ้นมาถึงที่นี่ ต้องนั่งรถปิคอัพโยกเยกไปประมาณ 5 นาที แล้วก็กระจายกันหามุมปักหลักดูพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดเขาที่อยู่ไกลโพ้นในฝั่งประเทศลาว เบื้องล่างหน้าผาแห่งนี้คือแม่น้ำโขงสีเงินไหลเอื่อยๆ บรรยากาศดี สูดลมหายใจสดชื่นให้เต็มปอด และมองเพื่อเก็บภาพแสงแดดสีทองอ่อนไว้ในความทรงจำ เพราะอีกแป๊บเดียวเราก็ต้องนั่งรถโยกเยกสองชั่วโมงกว่ากลับลงไปยังผาแต้ม แล้วนั่งรถตู้ของเราอีกไม่น้อยกว่าแปดชั่วโมงจึงจะถึงมวกเหล็ก

     ขณะนั่งรถโยกเยกกลับ ผู้โดยสารท่านหนึ่งพูดคุยทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่มาขับรถให้ ขอบคุณที่เขาเอาใจใส่ช่วยเหลือ และกล่าวชมความแข็งแรงว่องไวของเขา เขาตอบว่า

     “แต่ก่อนผมไม่ได้ฟิตอย่างนี้ ผมเคยน้ำหนัก 65 ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 55 ผมทำตามยูทูปของหมอสันต์ กินอย่างที่หมอสันต์บอก ปั่นผักผลไม้ด้วย เนื่องจากผมมีหน้าที่ขับรถ ไม่มีโอกาสได้เดินป่า จึงต้องออกเดินและวิ่งออกกำลังกายเช้าเย็นทุกวัน”

     ผู้โดยสารอมยิ้ม จุดไต้ตำตอเข้าซะแล้ว อย่างน้อยเขาก็เป็นตัวอย่างของคนตัวเป็นๆที่เมื่อคิดจะฟื้นฟูสุขภาพตัวเองเมื่อไหร่ หากจะเอาจริงแล้วก็ย่อมทำได้เสมอ แค่ฟังยูทูปหรืออ่านบล็อก ไม่ต้องรอให้ได้มาเข้าแค้มป์ที่มวกเหล็กก็สามารถทำสำเร็จด้วยตัวเองได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์