คุณหมอช่วยเมตตาอ่านเถอะนะคะ ขอร้องชั่วขณะเดียว
คุณหมอช่วยเมตตาอ่านเถอะนะคะ ขอร้องชั่วขณะเดียวที่ทุกอย่างเป็นเอกภาพเดียว บุญบาปศาสนาไม่มีจริง เราคือพุทธะ มีแค่เช่นนั่นเอง
1.1 วิธีฝึกสมาธิ
1.2 วิธีการยอมรับยอมแพ้ให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือที่เขาเรียกว่าสาย “เมตตา”
1.3 วิธีตั้งคำถามเพื่อให้ความสนใจยอมถอยออกจากความคิดกลับมาเข้าอู่จอดในกับความรู้ตัว
วันนี้ผมมีเวลาน้อย จะพูดให้คุณฟังถึงวิธีแรกวิธีเดียว มีสาระพัดครูพากันสอนวิธีฝึกสมาธิไว้แยะมาก แต่ที่ตัวผมใช้กับตัวเองคือวิธีของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีขั้นตอนสรุปง่ายๆประมาณว่า
ขั้นที่ 1 ให้ถอยความสนใจออกจากความคิดมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจก่อน แล้วก็
ขั้นที่ 2 ถอยความสนใจจากลมหายใจไปรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan) แล้วก็
ขั้นที่ 3 ทำร่างกายให้ผ่อนคลาย (relaxation) ยิ้มด้วยก็ดี และรับรู้การผ่อนคลายของร่างกาย แล้วก็
ขั้นที่ 4 รับรู้และสังเกตดูความรู้สึกในใจ (feeling) เช่นหงุดหงิด อึดอัด ถ้ามีความรู้สึกใดๆก็ให้เฝ้าสังเกตดูเรา (คือความสนใจ) เป็นผู้สังเกต ความรู้สึกในใจเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต เป็นคนละอันคนละตัว ไม่ใช่ตัวเดียวอันเดียวกัน สังเกตเฉยๆไม่เข้าไปขับไล่หรืออธิบายเหตุผล สังเกตไป มันก็จะฝ่อหายไปเอง แล้วก็
ขั้นที่ 5 รับรู้และสังเกตขยะที่ห่อหุ้มจิตหรือหุ้มความรู้ตัวอยู่ ซึ่งพระพุทธเจ้าแบ่งขยะนี้ออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ ส่วนที่หนึ่ง คือความง่วงหรือความสลึมสลือไม่ตื่น ส่วนที่สอง คือความคิด ซึ่งท่านสรุปเป็นสี่ความคิดขยะ คือ (1) คิดอยาก (2) คิดโกรธ (3) คิดสงสัย และ (4) คิดฟุ้งสร้าน
ในการสังเกตดูขยะนี้ ถ้ามีความง่วงก็ให้กระทุ้งตัวเองให้ตื่น ถ้ามีความคิดก็ให้เฝ้ามองดูมันอย่างผู้สังเกต เราไม่ใช่ความคิด เราเป็นผู้สังเกตความคิด aware of a thought ไม่ใช่ thinking a thought เมื่อขยันสังเกตเฝ้าดู ความคิดมันจะฝ่อหายไปเอง เมื่อหมดความคิดก็ไปขั้นต่อไป
ขั้นที่ 6 รับรู้ว่าหมดความคิดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้ตัว นี่เป็นคำเรียกของผมเองนะ คนอื่นบ้างก็เรียกว่าจิต บ้างก็เรียกว่าจิตเดิมแท้ สุดแต่จะเรียกกันไป
ขั้นที่ 7 ทำความรู้ตัวหรือจิตเดิมแท้นี้ให้นิ่ง หมายความว่าจดจ่อความสนใจอยู่กับความรู้ตัวนี้ไม่ยอมว่อกแว่กไปไหน จนนิ่งได้ดีระดับเป็นที่พอใจแล้ว
ขั้นที่ 8 ปล่อยใจไปไม่ควบคุม พูดง่ายๆว่าคราวนี้จะถอยออกมาจากสมาธินิดหนึ่งแล้ว แต่ถอยอย่างมีเชิง คือยังคุมเชิงด้วยการคอยตรวจดูความรู้สึกบนร่างกาย (body scan) และการผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) เพื่อเป็นหลักประกันว่าขณะที่ปล่อยใจไปนั้นจะไม่มีความคิดขี้หมาเข้ามารบกวน แล้วใช้ชีวิตประจำวันไป ใจที่ปลอดความคิด หรือใจที่ถูกปลดปล่อยไม่ถูกควบคุมแต่ตามสังเกตอยู่ห่างๆนี้แหละ ถึงจุดหนึ่งมันจะก่อตัวเป็นปัญญาญาณ (intuition) ชี้โพรงบอกเบาะแสว่าคุณควรจำทำอย่างไรต่อไปเอง
อานาปานสติไม่ได้มีแค่นี้นะ แต่วันนี้คุณเอาแค่นี้ก่อนนะ ฝึกแค่นี้ก่อน ทำได้ดีแล้วค่อยเขียนมาหาผมอีกที ถ้าคุณมาถึงตรงนี้ได้คุณก็จะตอบคำถามประเด็นแรกของตัวคุณเองได้แล้วว่าทำอย่างไรจึงจะวางความคิดได้ แต่ถ้าทำด้วยตัวเองเป็นปีแล้วยังไม่สำเร็จ ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat
2. ถามว่าการคิดบวกเป็นวิธีที่ไม่ถูก ใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ นี่ตอบแบบภาษาไทยนะ หมายความว่าการคิดบวกก็เป็นวิธีที่มีประโยชน์อยู่ เพราะในการไปสู่ความหลุดพ้นนั้นมันมีสองสนาม คือสนามความคิดซึ่งใช้ภาษาเป็นตัวเล่น กับสนามคลื่นของความสั่นสะเทือนซึ่งต้องอาศัยการ “รู้” ตรงๆเป็นตัวเล่น เปรียบเสมือนการเตะบอลในอังกฤษ ไม่ใช่ว่าเกิดอารมณ์อยากเล่นบอลคุณจะเข้าไปเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ทันทีเสียเมื่อไหร่ คุณต้องไปไต่เต้ามาจากโน่น กว่าจะคลานขึ้นมาได้ถึงดิวิชั่น 5 นี่ก็ต้องใช้เวลาพอควร แล้วกว่าจะไต่ขึ้นมา 4, 3, 2 กว่าจะได้มาเตะในพรีเมียร์ลีก ในการจะหลุดพ้นจากกรงของความคิดนี้ก็เช่นกัน ตอนนี้คุณติดอยู่ในสนามความคิด คุณต้องเตะในสนามนี้ก่อน พูดง่ายๆว่าคุณยังวางความคิดไม่เป็นคุณก็ต้องอาศัยความคิดบวกเข้าแทนที่ความคิดลบเป็นการช่วยแก้สถานะการณ์เฉพาะหน้าไปพลางก่อน แต่เมื่อไหร่ที่คุณวางความคิดเป็น คุณก็ไม่ต้องยุ่งกับความคิดใดๆแล้ว คุณขึ้นไปเตะในพรีเมียร์ลีกแล้ว คุณก็ไม่ต้องเตะในดิวิชั่น 5 อีกต่อไป
3. ถามว่าถ้ารู้แล้วว่าอะไรก็ไม่จริงไปหมด ทำอะไรก็ไม่อิน ไม่ใช่ แล้วชีวิตจะได้ความสุขมาจากตรงไหน ตอบว่ามันคนละเรื่องเดียวกันนะน้องจ๋า การรู้ว่าชีวิตเป็นอย่างไร อะไรจริงอะไรไม่จริง นั่นเรื่องหนึ่ง กับการจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีประโยชน์และมีความสุขนั่นอีกเรื่องหนึ่ง สมมุติว่าผมไปตีเทนนิสกับเพื่อน ตกลงกันว่าวันนี้เราจะเล่นแบบนับแต้มให้รู้ว่าใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ แล้วเราก็ลงสนามตีเทนนิสกัน ผมรู้อยู่เต็มอกว่าการนับแต้มครั้งนี้มันไม่ใช่ของจริง คนชนะก็ไม่ได้รางวัลแกรมด์สะแลมหรือได้ออกโทรทัศน์ดอก ไม่ว่าชนะหรือแพ้เดี๋ยวเราก็จะไปนั่งดื่มอะไรกันที่ร้านข้างสนามแบบเพื่อนซี้เหมือนเดิม แต่ผมเอาจริงเอาจังกับเกมส์เทนนิสนั้น ตั้งใจรับลูกเสริฟ ตั้งใจตี เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ ที่ผมทำอย่างนี้เพราะมันทำให้เกมส์เท็นนิสนั้นสนุก ถ้าผมคิดว่าเฮ่ย เกมส์มันไม่ใช่ของจริงอย่าไปจริงจังกับมันเลย ผมก็เล่นเทนนิสไม่สนุก แต่ว่าประเด็นสำคัญคือผมจริงจังพอให้ชีวิตสนุก แต่ไม่จริงจังมากเกินไป ไม่ถึงขนาดตีพลาดก็โมโหเอาไม้เทนนิสฟาดพื้นคอร์ทอย่างนายจอหน์ แมคแอนโร หรือกลับบ้านแล้วก็ยังนอนมือก่ายหน้าผากเสียใจว่าวันนี้ผมตีเท็นนิสพลาด ผมไม่จริงจังขนาดนั้น เพราะผมรู้ว่ามันเป็นแค่เกมส์ มันไม่ใช่ของจริง
อุปมาการตีเท็นนิสเป็นฉันใด อุปไมการใช้ชีวิตก็เป็นฉันนั้นแหละโยม หิ หิ ขอโทษ ล้อเล่น มันง่วงแล้ว จบดีกว่า
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์