Latest

คุณหมอช่วยเมตตาอ่านเถอะนะคะ ขอร้องชั่วขณะเดียว

คุณหมอช่วยเมตตาอ่านเถอะนะคะ ขอร้องชั่วขณะเดียวที่ทุกอย่างเป็นเอกภาพเดียว บุญบาปศาสนาไม่มีจริง เราคือพุทธะ มีแค่เช่นนั่นเอง

คุณหมอคะ ชื่อ…นะคะ มีอยู่วันนึงขับรถอยู่ ก็ชำเลืองมองความคิด แว่บเดียวอยู่ๆดีดีก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเอกภาพเดียวกัน บุญบาป ไม่มีจริง ศาสนาไม่มีจริง มีแค่ ธรรมชาติที่ดำเนินไป เช่นนั่นเอง 
มีแค่ cause and effect นิพพานมีอยู่ในตัวทุกคน อรหันต์ ต่างกับคนธรรมดาแค่รู้ความจริง กับไม่รู้
ร่างกาย ความคิด ไม่จริง  ทุกอย่างรับรู้ตัดสินจากคำสอน ปรัชญาที่สั่งสมมา คำสอน ความทรงจำ ปรุงแต่งเอา 
แต่พอมาสู่โลก การใช้ชีวิต เรารู้แล้วว่าไม่มีไรจริงๆ เลยสักเรื่อง ทุกอย่างอยู่ที่เราให้ค่า ตัดสิน จนตอนนี้ พอเราคิดอะไรไม่ดีขึ้นมา เราไม่ชอบคนคนนี้ ไม่ชอบ เพราะรู้สึกเค้าทำกับเรา แต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าไม่มีไรจริง แต่ใจเราก็โกรธ ที่ถูกเค้ากระทำ ไม่พอใจ พอจะหาวิธีคิดบวก มากลบ  แทนที่มันก็รู้ว่าบวกก็ไม่จริง เลยสับสนมากเลยคะ ควรคิดยังงัย ในสถาณการ์ณในการดำเนินชีวิตที่เราต้องเจอคนที่เราไม่ชอบ จะคิดบวกก็รู้ว่าไม่จริง เรากลายเป็นคนทำบุญน้อยลง  จากการที่พยายามจะรักใคร ก็ไม่อยากพยายาม แต่บางครั้งเราก็โกรธตัวเอง รู้ละอะไรๆ ก็ไม่จริง ความคิดก็หลอก ยังโง่ ทำไมเราไม่มีใจเมตตาต่อคนอื่น ไม่ให้อภัยคนอื่นได้ เราควรคิดบวก ต่อไปในการดำเนินชีวิตมั้ยคะ 
ขอบคุณคะ คุณหมอ 
……………………………………….
ตอบครับ
     ตอนที่ผมตอบจดหมายนี้มันใกล้เวลานอน สมองแล่นช้าแล้ว เพื่อไม่ให้ผมเองงง ผมขอแยกประเด็นคำถามของคุณเป็นสามประเด็นย่อยว่า
1. ทำไมจึงวางความโกรธไม่ได้ทั้งๆที่รู้ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้ไม่มีอยู่จริง แต่ก็ยังโกรธ

2. การคิดบวกก็เป็นความคิด เป็นวิธีที่ไม่ถูกใช่ไหม วิธีที่ถูกจะต้องทำอย่างไร
3. ถ้ารู้ว่าอะไรก็ไม่จริงไปหมด ทำอะไรก็อินไม่ได้ ไม่ใช่ แล้วชีวิตจะได้ความสุขมาจากตรงไหน
เอาละทีนี้ผมจะตอบทีละข้อนะ
     1. ถามว่าทำไมจึงวางความคิดโกรธไม่ได้ ตอบว่าเพราะคุณไม่มีทักษะ (skill) ในการวางความคิด เปรียบเสมือนคุณอ่านหนังสือวิธีว่ายน้ำจนจำได้ทุกขั้นตอนแล้วว่าว่ายฟรีสไตล์ว่ายกบกางแขนกางขาอย่างไร แต่คุณยังไม่เคยลงน้ำเลย พอไปเจอคลองขวางหน้าจะว่ายน้ำข้ามคุณก็ยังว่ายข้ามไม่ได้สักที เทคนิคการวางความคิดแบ่งออกเป็นสามวิธีใหญ่ๆ คือ

1.1 วิธีฝึกสมาธิ

1.2 วิธีการยอมรับยอมแพ้ให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือที่เขาเรียกว่าสาย “เมตตา”

1.3 วิธีตั้งคำถามเพื่อให้ความสนใจยอมถอยออกจากความคิดกลับมาเข้าอู่จอดในกับความรู้ตัว

     วันนี้ผมมีเวลาน้อย จะพูดให้คุณฟังถึงวิธีแรกวิธีเดียว มีสาระพัดครูพากันสอนวิธีฝึกสมาธิไว้แยะมาก แต่ที่ตัวผมใช้กับตัวเองคือวิธีของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีขั้นตอนสรุปง่ายๆประมาณว่า

ขั้นที่ 1  ให้ถอยความสนใจออกจากความคิดมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจก่อน แล้วก็

ขั้นที่ 2  ถอยความสนใจจากลมหายใจไปรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan) แล้วก็

ขั้นที่ 3  ทำร่างกายให้ผ่อนคลาย (relaxation) ยิ้มด้วยก็ดี และรับรู้การผ่อนคลายของร่างกาย แล้วก็

ขั้นที่ 4  รับรู้และสังเกตดูความรู้สึกในใจ  (feeling) เช่นหงุดหงิด อึดอัด ถ้ามีความรู้สึกใดๆก็ให้เฝ้าสังเกตดูเรา (คือความสนใจ) เป็นผู้สังเกต ความรู้สึกในใจเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต เป็นคนละอันคนละตัว ไม่ใช่ตัวเดียวอันเดียวกัน สังเกตเฉยๆไม่เข้าไปขับไล่หรืออธิบายเหตุผล สังเกตไป มันก็จะฝ่อหายไปเอง แล้วก็

ขั้นที่ 5  รับรู้และสังเกตขยะที่ห่อหุ้มจิตหรือหุ้มความรู้ตัวอยู่ ซึ่งพระพุทธเจ้าแบ่งขยะนี้ออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ ส่วนที่หนึ่ง คือความง่วงหรือความสลึมสลือไม่ตื่น ส่วนที่สอง คือความคิด ซึ่งท่านสรุปเป็นสี่ความคิดขยะ คือ (1) คิดอยาก (2) คิดโกรธ (3) คิดสงสัย และ (4) คิดฟุ้งสร้าน
ในการสังเกตดูขยะนี้ ถ้ามีความง่วงก็ให้กระทุ้งตัวเองให้ตื่น ถ้ามีความคิดก็ให้เฝ้ามองดูมันอย่างผู้สังเกต เราไม่ใช่ความคิด เราเป็นผู้สังเกตความคิด aware of a thought ไม่ใช่ thinking a thought เมื่อขยันสังเกตเฝ้าดู ความคิดมันจะฝ่อหายไปเอง เมื่อหมดความคิดก็ไปขั้นต่อไป

ขั้นที่ 6  รับรู้ว่าหมดความคิดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้ตัว นี่เป็นคำเรียกของผมเองนะ คนอื่นบ้างก็เรียกว่าจิต บ้างก็เรียกว่าจิตเดิมแท้ สุดแต่จะเรียกกันไป

ขั้นที่ 7  ทำความรู้ตัวหรือจิตเดิมแท้นี้ให้นิ่ง หมายความว่าจดจ่อความสนใจอยู่กับความรู้ตัวนี้ไม่ยอมว่อกแว่กไปไหน จนนิ่งได้ดีระดับเป็นที่พอใจแล้ว

ขั้นที่ 8 ปล่อยใจไปไม่ควบคุม พูดง่ายๆว่าคราวนี้จะถอยออกมาจากสมาธินิดหนึ่งแล้ว แต่ถอยอย่างมีเชิง คือยังคุมเชิงด้วยการคอยตรวจดูความรู้สึกบนร่างกาย (body scan) และการผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) เพื่อเป็นหลักประกันว่าขณะที่ปล่อยใจไปนั้นจะไม่มีความคิดขี้หมาเข้ามารบกวน แล้วใช้ชีวิตประจำวันไป ใจที่ปลอดความคิด หรือใจที่ถูกปลดปล่อยไม่ถูกควบคุมแต่ตามสังเกตอยู่ห่างๆนี้แหละ ถึงจุดหนึ่งมันจะก่อตัวเป็นปัญญาญาณ (intuition) ชี้โพรงบอกเบาะแสว่าคุณควรจำทำอย่างไรต่อไปเอง

     อานาปานสติไม่ได้มีแค่นี้นะ แต่วันนี้คุณเอาแค่นี้ก่อนนะ ฝึกแค่นี้ก่อน ทำได้ดีแล้วค่อยเขียนมาหาผมอีกที ถ้าคุณมาถึงตรงนี้ได้คุณก็จะตอบคำถามประเด็นแรกของตัวคุณเองได้แล้วว่าทำอย่างไรจึงจะวางความคิดได้ แต่ถ้าทำด้วยตัวเองเป็นปีแล้วยังไม่สำเร็จ ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat

     2. ถามว่าการคิดบวกเป็นวิธีที่ไม่ถูก ใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ นี่ตอบแบบภาษาไทยนะ หมายความว่าการคิดบวกก็เป็นวิธีที่มีประโยชน์อยู่ เพราะในการไปสู่ความหลุดพ้นนั้นมันมีสองสนาม คือสนามความคิดซึ่งใช้ภาษาเป็นตัวเล่น กับสนามคลื่นของความสั่นสะเทือนซึ่งต้องอาศัยการ “รู้” ตรงๆเป็นตัวเล่น เปรียบเสมือนการเตะบอลในอังกฤษ ไม่ใช่ว่าเกิดอารมณ์อยากเล่นบอลคุณจะเข้าไปเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ทันทีเสียเมื่อไหร่ คุณต้องไปไต่เต้ามาจากโน่น กว่าจะคลานขึ้นมาได้ถึงดิวิชั่น 5 นี่ก็ต้องใช้เวลาพอควร แล้วกว่าจะไต่ขึ้นมา 4, 3, 2 กว่าจะได้มาเตะในพรีเมียร์ลีก ในการจะหลุดพ้นจากกรงของความคิดนี้ก็เช่นกัน ตอนนี้คุณติดอยู่ในสนามความคิด คุณต้องเตะในสนามนี้ก่อน พูดง่ายๆว่าคุณยังวางความคิดไม่เป็นคุณก็ต้องอาศัยความคิดบวกเข้าแทนที่ความคิดลบเป็นการช่วยแก้สถานะการณ์เฉพาะหน้าไปพลางก่อน แต่เมื่อไหร่ที่คุณวางความคิดเป็น คุณก็ไม่ต้องยุ่งกับความคิดใดๆแล้ว คุณขึ้นไปเตะในพรีเมียร์ลีกแล้ว คุณก็ไม่ต้องเตะในดิวิชั่น 5 อีกต่อไป

     3. ถามว่าถ้ารู้แล้วว่าอะไรก็ไม่จริงไปหมด ทำอะไรก็ไม่อิน ไม่ใช่ แล้วชีวิตจะได้ความสุขมาจากตรงไหน ตอบว่ามันคนละเรื่องเดียวกันนะน้องจ๋า การรู้ว่าชีวิตเป็นอย่างไร อะไรจริงอะไรไม่จริง นั่นเรื่องหนึ่ง กับการจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีประโยชน์และมีความสุขนั่นอีกเรื่องหนึ่ง สมมุติว่าผมไปตีเทนนิสกับเพื่อน ตกลงกันว่าวันนี้เราจะเล่นแบบนับแต้มให้รู้ว่าใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ แล้วเราก็ลงสนามตีเทนนิสกัน ผมรู้อยู่เต็มอกว่าการนับแต้มครั้งนี้มันไม่ใช่ของจริง คนชนะก็ไม่ได้รางวัลแกรมด์สะแลมหรือได้ออกโทรทัศน์ดอก ไม่ว่าชนะหรือแพ้เดี๋ยวเราก็จะไปนั่งดื่มอะไรกันที่ร้านข้างสนามแบบเพื่อนซี้เหมือนเดิม แต่ผมเอาจริงเอาจังกับเกมส์เทนนิสนั้น ตั้งใจรับลูกเสริฟ ตั้งใจตี เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ ที่ผมทำอย่างนี้เพราะมันทำให้เกมส์เท็นนิสนั้นสนุก ถ้าผมคิดว่าเฮ่ย เกมส์มันไม่ใช่ของจริงอย่าไปจริงจังกับมันเลย ผมก็เล่นเทนนิสไม่สนุก แต่ว่าประเด็นสำคัญคือผมจริงจังพอให้ชีวิตสนุก แต่ไม่จริงจังมากเกินไป ไม่ถึงขนาดตีพลาดก็โมโหเอาไม้เทนนิสฟาดพื้นคอร์ทอย่างนายจอหน์ แมคแอนโร หรือกลับบ้านแล้วก็ยังนอนมือก่ายหน้าผากเสียใจว่าวันนี้ผมตีเท็นนิสพลาด ผมไม่จริงจังขนาดนั้น เพราะผมรู้ว่ามันเป็นแค่เกมส์ มันไม่ใช่ของจริง

     อุปมาการตีเท็นนิสเป็นฉันใด อุปไมการใช้ชีวิตก็เป็นฉันนั้นแหละโยม หิ หิ ขอโทษ ล้อเล่น มันง่วงแล้ว จบดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์