Latest

ขอวิธีถอยความสนใจมาสู่ความรู้ตัวเป็นของขวัญปีใหม่

สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูเป็น extern ค่ะ ติดตามบล็อกอาจารย์มาได้สักพักแล้ว สนใจเรื่องการนำความสนใจเข้าสู่ความรู้ตัวค่ะ ชีวิตหนูยังผ่านอะไรมาไม่เยอะ แต่ที่คิดได้คือเรื่องจิตใจสำคัญมาก เพราะความทุกข์ ความไม่สมหวัง การสูญเสีย มันทำให้หนูมีความสุขน้อยกว่าตอนที่เด็กกว่านี้ หนูเลยอยากรู้ว่าการเข้าสู่ความรู้ตัวสามารถทำให้เราต้องผ่านภาวะพวกนี้ไปได้ง่ายขึ้นไหม เพราะมันน่าจะทำให้มีความสุขได้มากขึ้น มันคงคล้ายๆการปล่อยวาง แต่ไม่ถนัดด้านศาสนาอ่ะค่ะ
ถ้าทำได้ ทำอย่างไร ขอขั้นตอนเลยนะคะอยากทำตาม ถือว่าหนูขอเป็นของขวัญวันปีใหม่ 2019 นะคะอาจารย์
ขอบคุณมากเลยค่ะ
extern ตัวน้อยๆ
ปล.ปณิธานคือเรียนจบได้เงินเดือนแล้วจะไปเข้าแคมป์อาจารย์แน่นอนค่ะ

…………………………………………….

ตอบครับ

     สำหรับท่านที่อยู่นอกวงการแพทย์ เอ็กซ์เทอร์น (extern) แปลว่านักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย ก็พวกคนที่หน้าตาคล้ายเด็กนักเรียนมัธยมแต่แต่งตัวคล้ายๆหมอเดินไปเดินมาอยู่บนวอร์ดคนไข้นั่นแหละ บางแห่งก็จะถูกมอบหมายให้ทำงานเท่ากับหมอจริงๆคนหนึ่ง โดยในแง่กฎหมายถือว่าเป็นการรักษาคนไข้ภายใต้การกำกับตรวจสอบอย่างใกล้ชิดของอาจารย์หรือแพทย์รุ่นพี่ ซึ่งก็มีบ้างเหมือนกันที่แพทย์รุ่นพี่อาจจะใช้วิธีตรวจสอบแบบไม่ค่อยใกล้ชิดนัก พูดง่ายๆว่าถูกพี่เขาตัดหางปล่อยวัด บางแห่งโหดยิ่งกว่านั้นเอาเอ็กซเทอร์นมาต่อคิวอยู่เวรกลางคืนผลัดเปลี่ยนกับพี่เขาซะเลยจะได้เบาแรงกันทุกฝ่าย เอ็กซเทอร์นเมื่อถูกตัดหางปล่อยก็ต้องงมหาทางไปเอาเอง จะคอยถามพี่ก็กลัวถูกพี่ด่าว่าทำไมเอ็งช่างโง่นัก ไม่ถามก็กลัวทำอะไรผิดพลาดแล้วทำให้คนไข้เสียหาย ชีวิตของเอ็กซเทอร์นจึงเป็นชีวิตที่เคร่งเครียดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ วันๆเฝ้ารอแต่ว่าเมื่อไหร่เวรกรรมนี้จะจบสิ้นเสียที หลายคนพอเดินมาถึงจุดนี้ก็สรุปกับตัวเองได้แน่ชัดเลยว่า..สาปส่งอาชีพนี้ไปเสียดีกว่า ครูของผมคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าสมัยที่ท่านทำงานอยู่อเมริกา  เพื่อนหมอไทยคนหนึ่งทะเลาะก้บพยาบาลฝรั่งบ๊งเบ๊ง บ๊งเบ๊ง พยาบาลซึ่งทั้งทรงอาวุโสและทรงอำนาจก็ถึงจุดเหลืออดจึงชี้หน้าหมอไทยซึ่งเป็นอินเทอร์น (intern – ซึ่งก็คล้ายเอ็กซ์เทอร์นสมัยนี้นะแหละ) ว่า

     “คุณเป็นแค่อินเทอร์นนะ ทำไมไม่รู้จักเจียมตัวเองเสียบ้าง” ข้างหมอไทยซึ่งกำลังน้อตหลุดก็ชี้หน้าตะโกนกลับไปว่า

     “ผมเป็นอินเทอร์นผมก็เป็นแค่ปีเดียวนะโว้ย แต่คุณเป็นพยาบาล คุณต้องเป็นจนตาย”

     นัยยะของบทสนทนานี้ก็คืออาชีพอินเทอร์นก็ดี อาชีพพยาบาลก็ดี มันเป็นอาชีพที่เครียด ผู้ทำอาชีพนี้ลึกๆก็เฝ้าแต่รอว่าเมื่อไหร่จะได้พ้นๆไปจากความเครียดอย่างนี้เสียที

     มาตอบคำถามของหมอน้อยคนนี้ดีกว่า

     ถามว่าการถอยความสนใจมาอยู่กับความรู้ตัวมีโปรซีเจอร์อย่างไร หนึ่ง.. สอง.. สาม.. สี่.. ห้า บอกมาซิ

     หิ หิ ตอบว่าไม่มีโปรซีเจอร์ดอกครับ

     พูดถึงโปรซีเจอร์ (procedure) คนเยอรมันเป็นชาติที่บ้าโปรซีเจอร์มากที่สุด สมัยผมเป็นหมอหนุ่มๆทำงานที่เมืองนอกในตำแหน่งขุนทาส (senior registrar) วันหนึ่งได้รับอินเทอร์นใหม่เข้ามาอยู่ในความดูแล เขาเป็นคนเยอรมันมาจากเยอรมัน มารายงานตัวแล้วก็ถามคำถามแรกว่า

     “การทำงานในทีมของคุณ มีโปรซีเจอร์อย่างไรบ้าง” ผมตอบว่า

     “ไม่มี” 

     เขาทำตาโตจนผมซึ่งตอนนั้นซีเนียร์และไม่ต้องเกรงใจใครมากแล้วถึงกับเผลอปล่อยก๊ากออกมา คนเยอรมันยึดติดโปรซีเจอร์ ชอบทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนเคร่งครัด เชื่อในคอนเซ็พท์ใดๆที่ถูกสั่งสอนมาเสียยิ่งกว่าเชื่อปัญญาญาณส่วนลึกของตัวเอง นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเยอรมันจึงเกิดผู้นำบ้าๆอย่างฮิตเลอร์ขึ้นมาได้โดยที่มีคนยอมทำตามเขาด้วยอีกต่างหาก

     กลับมาตอบคำถามของคุณหมอน้อยท่านนี้ดีกว่า ที่ผมตอบว่าการถอยความสนใจออกมาอยู่กับความรู้ตัวไม่มีขั้นตอนปฏิบัติหรือโปรซีเจอร์ก็เพราะโปรซีเจอร์เป็นความเชื่อ เป็นคอนเซ็พท์ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือความคิด การถอยความสนใจมาอยู่กับความรู้ตัวเป็นการถอยออกมาจากความคิด ซึ่งคุณทำไม่ได้ดอกด้วยการอาศัยโปรซีเจอร์ เพราะหากทำอย่างนั้นเท่ากับคุณถอยจากความคิดหนึ่งไปอยู่กับอีกความคิดหนึ่ง แล้วคุณจะรู้ตัวได้อย่างไร เพราะรู้ตัวหมายความว่าตื่นอยู่โดยไม่มีความคิด หรือตื่นอยู่โดยไม่มีเสียงพากย์ว่านี่ขั้นที่หนึ่ง.. นี่ขั้นที่สอง.. อยู่ในหัว เพราะถ้ามีขั้นตอน ขั้นตอนเหล่านั้นก็จะเข้าครอบครองใจคุณแทนความคิดที่คุณตั้งใจจะปล่อยวาง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร

     การจะรู้ตัวหรือตื่นอยู่โดยไม่มีความคิดนี้ คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อย่าปล้ำ อย่ายึกยัก เฉยไว้ เดี๋ยวดีเอง เพราะความรู้ตัวเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของคุณ มันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของคุณมาตั้งแต่คุณยังไม่ได้เรียนรู้ภาษา ความรู้ตัวมันเป็นคลื่นพลังงานความสั่นสะเทือน คุณเป็นเด็กวิทย์คงเข้าใจได้ไม่ยาก ว่าคลื่นมันก็เป็นความร้อน แสง เสียง ไม่ต้องมีภาษาอะไรอธิบายคุณก็รับรู้มันได้ อย่างเช่นตอนคุณเกิดมาอายุสองเดือน หิวนมคุณรู้ อกของแม่อุ่นคุณรู้ สัมผัสของแม่คุณรู้ ดูดนมแล้วอิ่มคุณรู้ เพียงแค่คุณไม่รู้ว่านี่เรียกว่าแม่ นี่เรียกว่าอก นี่เรียกว่านม ภาษามาทีหลัง มันเป็นเครื่องมือบันทึกความจำหรือความคิด คนเราคิดเป็นภาษา ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเพิกเฉยต่อภาษาเสีย เลิกสนใจความคิดเสีย หันมาอยู่กับคลื่นความสั่นสะเทือนรอบตัวเดี๋ยวนั้น คุณก็เข้าไปอยู่ในความรู้ตัวแล้วทันที

     ผมให้คุณลองทำการบ้านสักสามอย่างนะ

     การบ้านที่หนึ่ง คุณลองวางความคิดหรือปล่อยความคิดไปไม่สนใจมัน ไม่ว่าจะเป็นความคิดเรื่องอะไรอย่าไปสนใจมันเสียชั่วคราว หันหลังให้มัน หันมาสนใจความรู้สึกใดๆบนผิวกายคุณแทน เช่นลมพัดมาถูกผิวหนังคุณเย็นๆหรือขนลุก คุณสนใจตรงนั้น สนใจความรู้สึกบนฝ่ามือก่อนก็ได้เพราะตรงนั้นมีปลายประสาทมากมันรับรู้ความรู้สึกได้ง่าย สนใจฝ่ามือจริงๆจังๆอยู่พักใหญ่คุณก็จะเริ่มรู้เองว่าที่ฝ่ามือนี่มันมีความรู้สึกสาระพัดเลยนะ จิ๊ดๆ จ๊าดๆ วูบๆวาบๆ เหน็บๆชาๆ สนใจเฉพาะสิ่งที่รู้สึก (feel) ได้นะ ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิด (think) เอา ย้ำ feel ไม่ใช่ think ในที่สุดคุณก็จะรู้สึกได้ว่าผิวหนังทั่วร่างกายมันมีความรู้สึกต่างๆนาๆให้คุณรับรู้ได้ตลอดเวลา ความรู้สึกเหล่านี้มันถูกก่อขึ้นมาโดยความสั่นสะเทือนระดับละเอียดจากพลังงานที่ซ้อนทับอยู่ในร่างกาย ผมเรียกมันว่า internal body ก็แล้วกันนะ แบบที่คนจีนเรียกว่า “ชี่” หรือคนแขกเรียกว่า “ปราณา” นั่นแหละ พลังงานนี้ปกติมันจะถูกกลบด้วยกระแสไฟฟ้า (impulse) ที่สมองส่งไปตามเส้นประสาท ดังนั้นการจะรับรู้พลังงานนี้ได้คุณต้องผ่อนคลายร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบสุดๆก่อน อย่าสั่งการให้กล้ามเนื้อทำอะไรใดๆทั้งสิ้น ตรงไหนเกร็งบอกให้มันผ่อนคลายก่อน หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆพร้อมกับผ่อนคลายร่างกาย แล้วคุณจะรับรู้ internal body ได้ชัดขึ้น ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา เมื่อใดก็ตามที่ว่างจากการงาน ให้คุณวางความคิดแล้วหันมาสนใจความรู้สึกบนร่างกาย ในที่สุดคุณจะรับรู้ internal body ซึ่งเป็นพลังงานไม่ใช่เนื้อตันๆว่าเป็นร่างกายคุณที่แท้จริง จากจุดนั้นมันจะไหลไปสู่พลังงานที่ลึกกว่าละเอียดกว่าสงบเย็นกว่าโดยอัตโนมัติ ตรงนั้นแหละคือความรู้ตัว

     การบ้านที่สอง คุณหาเวลาว่างๆนั่งในที่เงียบๆ มืดๆด้วยก็ยิ่งดี เลิกสนใจความคิด ทิ้งความคิดใดๆไปเสีย สนใจแต่คลื่นความสั่นสะเทือนใดๆรอบๆตัวก็พอ สนใจในฐานะที่มันเป็นคลื่น ไม่ต้องไปพากย์หรืออธิบายมันด้วยภาษา ถ้าอยู่ในที่มืดก็จะง่ายที่จะสนใจเสียง ฟังเสียงจากเสียงดัง ไปเสียงค่อย ฟังจนรู้ว่าเสียงมันเกิดขึ้นทางโน้นนิด ทางนี้หน่อย แต่สิ่งที่เป็นแบ็คกราวด์อันกว้างใหญ่ที่เป็นแหล่งที่มาของสรรพเสียงเหล่านั้นคือความเงียบ (silence) คุณค่อยๆไล่กวาดความสนใจจากเสียงดังไปเสียงค่อยไปหาความเงียบ แล้วจดจ่อความสนใจอยู่ที่ความเงียบ อย่างไม่มีความคิด ตรงนั้นแหละ ตรงความเงียบที่คุณตื่นอยู่และไม่มีความคิดนั่นแหละคือความรู้ตัว

     การบ้านที่สาม คราวนี้ผมจะให้คุณเล่นกับคอนเซ็พท์เรื่องเวลา ผมหมายถึงอดีต-อนาคต คุณนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่คิดอะไร นั่งอยู่งั้นแหละ แป๊บเดียวเดี๋ยวความคิดมันก็จะโผล่เข้ามาในหัว ให้คุณสังเกตความคิดของคุณ สังเกตดูความคิด (aware of a thought) นะ ไม่ใช่ให้คุณไปผสมโรงคิด (thinking a thought) ให้คุณสังเกตว่าทุกความคิดล้วนเป็นการเอาความจำหรือประสบการณ์ในอดีตของคุณมาปรุง (cook) เข้ากับคอนเซ็พท์เรื่องเวลา เช่นคุณเอาความจำเก่าๆร้ายๆมาปรุงกับคอนเซ็พท์อนาคต มันก็กลายเป็นความกลัว คุณเอาความจำร้ายๆมาปรุงกับคอนเซ็พท์อดีต มันก็กลายเป็นความเศร้าเสียใจหรือรู้สึกผิด ทั้งหมดนั้นเป็นความคิด ให้คุณสังเกตนะ ความคิดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นแหม็บๆเดี๋ยวนี้นี่เอง มันไม่ได้เกิดที่อดีตหรือที่อนาคตนะ มันเกิดที่ปัจจุบัน เพียงแต่คุณไปปรุงเนื้อหาให้มันไปเป็นเรื่องราวในอดีตหรืออนาคตโดยที่อดีตอนาคตนั้นไม่ได้มีอยู่จริงหรอก เป็นเพียงใจคุณสมมุติขึ้นมาเท่านั้น ให้คุณแค่สังเกตให้เห็นแล้วเฝ้าดูว่าความคิดนั้นมันจะฝ่อของมันไปเอง พอคุณเฝ้าดู ความคิดนั้นจะฝ่อไป อดีต อนาคต ที่เป็นเรื่องราวในความคิดนั้นก็ฝ่อหายไปด้วย แล้วคุณเหลืออะไร คุณเหลือแต่ความรู้ตัวอยู่ในปัจจุบัน ให้คุณสังเกตนะว่าคุณอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้โดยไม่มีความคิดเหลืออยู่ ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต คุณอยู่ในปัจจุบัน..ปัจจุบันนั่นแหละคือ ความรู้ตัว

     คุณทำการบ้านสามอย่างนี้ก่อน ทำเองได้เลย ฟรี ไม่เสียเงิน ขยันทำการบ้านทั้งสามนี้ไปทุกวันทุกที่ทุกเวลาที่ว่างจากการเรียนหรือการทำงาน กว่าที่คุณจะจบเอ็กซเทอร์น คุณอาจจะหลุดพ้นไปด้วยตนเองแล้วก็ได้ จะได้ไม่ต้องมาเสียเงินค่า Spiritual Retreat ให้หมอสันต์ตั้ง 9,000 บาท

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์