มะเร็ง

จะอดอาหารรักษามะเร็งดีไหม

ผมอายุ 48 ปี สูง 165 ซม. นน. 54 กก. แต่เดิมน้ำหนัก 72 กก. เป็นมะเร็งตับ ที่ left lobe ขนาด 12 ซม. เพิ่งตรวจพบได้ 3 เดือนจากการไปตรวจสุขภาพประจำปีเพราะน้ำหนักตัวลดลง ผมไม่ดื่มสุรา ไม่ฉีดวัคซีนตับอักเสบครบและตรวจไม่พบไวรัสตับอักเสบไม่ว่าเอ.บี.ซี. หมอบอกว่ามะเร็งน่าจะเกิดจากไขมันในเลือดสูงและไขมันแทรกตับแล้วพัฒนาเป็นตับแข็งแล้วเป็นมะเร็ง ได้ส่งผลผลชิ้นเนื้อมาให้คุณหมอดูด้วย ประเด็นคือหมอผ่าตัดบอกว่าตำแหน่งเนื้องอกและขนาดของเนื้องอกถือว่าพ้นระยะที่จะผ่าตัด hepatectomy หรือทำผ่าตัดเปลี่ยนตับไปแล้ว คุณหมอ … ที่รพ.ซึ่งเป็น oncologist แนะนำให้ฉีดเคมีบำบัดเข้าหลอดเลือดดำเพราะเป็นตับแข็งด้วยจึงรักษาด้วยวิธี TACE ไม่ได้ ผมได้ไปติดต่อรักษาแบบธรรมชาติบำบัดที่ … ได้รับคำแนะนำว่าถ้าได้เคมีบำบัดจะไม่สามารถใช้วิธีธรรมชาติบำบัดของท่านรักษาผมต่อได้ เพราะวิธีของที่นั่นให้จำกัดอาหารเพื่อให้เซลมะเร็งขาดอาหารตายไปเอง หากรับเคมีบำบัด หมอเคมีบำบัดจะให้กินอาหารโปรตีนมากๆ มะเร็งจะยิ่งเติบโต ดังนั้นถ้าผมได้เคมีบำบัดที่นั่นก็จะไม่รับรักษาผม ผมชั่งใจอยู่หลายรอบแต่ยังตัดสินใจไม่ถูก คิดมาก บางครั้งความคิดก็ย้อนไปถึงว่าทำไมจึงมาเป็นมะเร็งได้ ซึ่งผมก็รู้ว่าความคิดอย่างนั้นไม่มีประโยชน์เพราะตอนนี้มันเป็นแล้ว ภรรยาก็อยากจะให้ผมรับเคมีบำบัดเพราะเธออยากให้ผมอยู่กับเธอและลูกให้นานที่สุด
อยากได้คำแนะนำจากตัวคุณหมอสันต์โดยตรงครับ

……………………………………………

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามขอนิยามศัพท์คำว่า TACE ที่คุณเขียนมาให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นตามทันนะ มันย่อมาจากคำว่า transarterial chemoemobolization แปลว่าการรักษามะเร็งตับโดยวิธีฉีดยาเคมีบำบัดผ่านสายส่วนเข้าไปทางหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงตัวมะเร็ง แล้วฉีดวัสดุอุดหลอดเลือดนั้นไว้เพื่อไม่ให้เลือดไปเลี้ยงเนื้องอกซะเลย

    คุณไม่ได้สรุปประเด็นคำถาม ผมขอสรุปประเด็นคำถามให้แบบเดาใจคุณเอานะ

     1. ถามว่าภรรยาอยากให้รับเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำเพื่อให้อยู่ได้นานขึ้น มันจะเป็นเช่นนั้นไหม การให้เคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำจะช่วยเพิ่มความยืนยาวของชีวิตให้แก่มะเร็งตับชนิดที่คุณเป็นอยู่ ( hepatocellular carcinoma ที่ผ่าตัดไม่ได้แล้ว)หรือไม่ ตอบว่า มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่ดื้อด้านต่อยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำ การประเมินงานวิจัยหลายๆงานในภาพรวมพบว่าการฉีดเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำอาจช่วยให้มีการสนองตอบ (คือขนาดเนื้องอกลดลง)  20-30% แต่ไม่มีผลต่อความยืนยาวของชีวิตเลย แปลไทยให้เป็นไทยคือฉีดไม่ฉีดก็ตายเร็วเท่ากัน

    2. ถามว่าควรจะฉีดเคมีบำบัดไหม ตอบว่าอันนี้แล้วแต่คุณครับ ผมให้ข้อมูลไปแล้ว หมดหน้าที่แล้ว คงไม่เหมาะที่ผมจะไปชักจูงว่าควรฉีดหรือไม่ควรฉีด เพราะแค่ผมตอบคำถามเรื่องมะเร็งอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่อย่างทุกวันนี้ก็ยังมิวายถูกบริษัทผู้ขายยาเคมีบำบัดเหล่เอามากๆแล้ว อย่างเช่นหากผมจะแนะนำคุณว่าถ้าผมเป็นคุณผมจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ นี่กฎหมายก็ถือว่าเป็นการสร้างความยินยอมโดยไม่บริสุทธิ์แล้วนะ ผิดจริยธรรมวิชาชีพแล้ว ผู้เสียประโยชน์ทางการค้าเขาอาจเอาเป็นแง่กฎหมายเล่นงานผมได้ 

    3. ถามว่าการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดดีไหม ตอบว่าต้องบอกรายละเอียดมาก่อนสิครับว่าที่คุณเรียกว่าธรรมชาติบำบัดนั้นรักษาอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นการรักษาแบบกินและฉีดวิตามินและแร่ธาตุในขนาดสูงๆและเก็บเงินค่าวิตามินกินและฉีดแพงๆ แบบนั้นไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่าจะมีประโยชน์อะไรต่อโรคหรือต่อร่างกายนะครับ ถ้าทำในราคาถูกเพื่อผลทางด้านจิตใจมันก็โอเค.เพราะวิตามินมันไม่ใช่ของแพงอะไร แต่ถ้าทำแล้วเก็บเงินกันแพงๆผมว่าคุณอย่าไปทำเลย ไปซื้อวิตามินจากร้านขายยาปากซอยกินเองก็ได้

     แต่ถ้าเป็นการรักษาโดยให้ลดการกินเนื้อสัตว์ลง หันมากินอาหารพืชเป็นหลักมากๆ และให้ออกกำลังกาย อันนั้นดีแน่นอนครับ คุณทำไปเลย

     เพราะแม้แต่คำแนะนำของสมาคมมะเร็งอเมริกัน (ACS)ซึ่งเป็นผู้ออกแนวปฏิบัติ (guidelines) การรักษามาเร็งโดยใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์ ก็แนะนำผู้ป่วยมะเร็งให้ (1) จำกัดการทานเนื้อสัตว์ในรูปแบบไส้กรอก เบคอน แฮม (processed meat) และจำกัดการทานเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (red meat) เช่นเนื้อหมู เนื้อวัว (2) ทานผักและผลไม้ให้มากๆเข้าไว้ อย่างน้อยวันละสองถ้วยครึ่ง (3) ทานธัญพืชไม่ขัดสี (เช่นข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีท) แทนธัญพืชขัดสี (4) ทานอาหารในปริมาณพอดีไม่ทำให้อ้วน ถือหลักผอมไว้เป็นดี เพราะความอ้วนสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งมากขึ้น แต่ก็อย่าถึงกับผอมมากเกินไป เพราะจะทำกิจกรรมประจำวันลำบาก (5) ให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

     4. ถามว่าการจำกัดอาหารหรืออดอาหาร (fasting) เพื่อรักษามะเร็งจะมีประโยชน์ไหม ตอบว่ายังไม่ทราบครับ เพราะหลักฐานวิทยาศาสตร์มันยังไม่มากพอ มีแต่หลักฐานระดับวิจัยในหนูทดลองและในห้องแล็บซึ่งยังเอามาใช้ในคนไม่ได้

     แต่หากคุณจะทดลองกับตัวคุณเองก็ทำได้นะครับ โดยถ้าจะลองให้ปลอดภัยผมแนะนำว่าแทนที่จะใช้สูตรอดอาหารโต้งๆ (fasting) หรือสูตรอดแบบอดกินเป็นบางวัน (intermittent fasting) ให้เลือกใช้วิธีที่เบากว่านั้นแทน เช่น

     (1) ใช้สูตร “อดอาหารเทียม  (fast mimicking diet – FMD)” คือมื้อที่อดไม่ได้อดจริงๆดอก แค่กินอาหารพืชที่มีไวตามินเกลือแร่และกากสูงแต่มีแคลอรี่และโปรตีนต่ำกว่าปกติ โดยวิธีนี้ร่างกายก็ยังจะได้ไวตามิน เกลือแร่ และกาก อยู่ ทำให้มีความปลอดภัยมากกว่าการอดอาหารจริงๆ หรือ

     (2) อดอาหารแบบยืดระยะระหว่างมื้อให้ห่างกัน อย่างเช่นพวกโยคีที่อินเดียบางวัดรักษาคนไข้มะเร็งด้วยการให้กินวันละสองมื้อโดยให้กินห่างกัน 12 ชั่วโมง คือกินตอนตะวันขึ้นกับตอนตะวันตก วิธีนี้ก็จะไม่ทำให้ร่างกายต้องตกอยู่ในช่วงอดอาหารนานเกินไปจนร่างกายเกิดความเครียด

     นอกจากนี้ ผมแนะนำเพิ่มเติมให้หาพืชที่หลากหลายมากินเป็นยาด้วย เช่นหาผักพื้นบ้านแปลกๆหาทานยากๆอย่างละนิดอย่างละหน่อยรวมทั้งเห็ดต่างๆตามฤดูกาลมาทานสดบ้างปั่นบ้างตามสะดวก พืชอะไรที่เขาว่าดีก็เอามากินได้อย่างละนิดอย่างละหน่อย เพราะการได้ธาตุที่หายากและที่ร่างกายใช้น้อย (trace element) ซึ่งมักมีอยู่แต่ในพืชเท่านั้นมาเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ครบถ้วน จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งมีหน้าที่กำจัดมะเร็งทำงานได้ดีขึ้น

     6. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถม คือผมแนะนำให้คุณรักษามะเร็งของตัวเองด้วยการปลดปล่อยระบบภูมิคุ้มกันให้หลุดจากความเครียดทั้งมวล เพราะความเครียดเป็นตัวกดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวไม่ขยันจับทำลายเซลมะเร็ง ความเครียดเกิดจากความคิด โดยเฉพาะความคิดลบ มันมักมาสองทาง คือ

     (1) การยึดติดถวิลหาหรืออยากได้สิ่งดีๆที่เคยได้ (attachment)

     (2) การอยากหนีสิ่งเลวๆที่กลุ้มรุมอยู่ตอนนี้ (non-acceptance)

     การจะปลดความคิดลบทั้งสองให้เหลือศูนย์มีวิธีเดียว คือจะต้องยอมรับ (acceptance) หรือยอมแพ้ (surrender) ต่อทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขให้ได้ก่อน

     ความกลัวนั้นแน่นอนว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ความกลัวพาจะคุณออกจากปัจจุบันไปอยู่กับอะไรที่ร้ายๆน่ากลัวๆในอนาคตซึ่งไม่มีอยู่จริง ความกลัวเป็นความคิดลบที่บงการคุณได้ ความกลัวทำให้เครียด ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะยังไม่เวอร์คหรอกหากคุณยังอยู่กับความกลัว

     การอยู่กับความหวังก็เป็นการแสดงถึงการไม่ยอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเรายอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ 100% เราก็ไม่ต้องไปตั้งความหวังอะไร เพราะที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เรายอมรับได้หมดแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ดังนั้นความหวังก็ไม่ต้องไปสร้างหรือฟูมฟักมันไว้หรอก เพราะความหวังเองก็เป็นตัวร้ายคอยพาเราลี้ภัยหนีออกจากปัจจุบันไปอยู่กับลมๆแล้งๆในอนาคตเช่นกัน

     ดังนั้้นให้วางความคิดทั้งหมดลงเสีย วิธีวางก็ด้วยการแอบสังเกตดูความคิดแบบไม่เข้าไปคิดต่อยอด เมื่อถูกสังเกต มันจะฝ่อไปเอง นอกจากวางความคิดทั้งหมดลงแล้ว ให้ทิ้งตัวชี้วัดใดๆไปให้หมด ไม่ว่าจะเป็น AFP, CEA, PSA ทิ้งไปหมดไม่ต้องตามดู หันมาอยู่กับความรู้ตัวที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต ยอมรับทุกอย่างที่มาถึง ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ แบบสดๆซิงๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทิ้งความจำในอดีตทั้งมวลไปเสีย ทิ้งอนาคตไปเสียด้วย แล้วรับมือกับทุกอย่างซึ่งๆหน้า ตรงๆ ทีละช็อตในปัจจุบัน ในรูปแบบของความตื่นเต้นที่จะได้พบกับความท้าทายใหม่ๆที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะในชีวิตหนึ่งนี้ใครจะไปรู้ได้ว่าช็อตต่อไปของชีวิตอะไรจะมา นี่แหละคือความท้าทายในชีวิต และนี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบใหม่ๆสดๆ ไม่ใช่แบบเก่าๆอับๆจืดๆชืดๆอยู่กับความกลัวและความหวังลมๆแล้งๆที่ชงขึ้นมาจากความจำเดิมๆจากอดีต  ถ้าความตายจะมาถึงเวลาใดก็ยอมรับมันที่ ณ เวลานั้น ไม่วิ่งหนีอะไร ไม่วิ่งหาอะไร แค่ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ณ เดี๋ยวนี้ มีอากาศหายใจ มีน้ำให้ดื่ม มีอาหารให้กิน มีความรู้ตัว ก็เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพและมีความหมายในช็อตนี้ได้แล้ว

     และก่อนนอนทุกวันให้คุณ “ซ้อมตาย” ด้วยการบอกตัวเองว่าการเข้านอนครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้จะไม่มีแล้ว หลับไปครั้งนี้จะไม่ตื่นมาอีกแล้ว ให้คุณตั้งใจที่จะเข้าไปสู่ความหลับอย่างรู้ตัวโดยไม่มีความคิดใดๆมาครอบหรือบงการอยู่เบื้องหลัง รู้ตัวอยู่ทุกขณะโดยไม่มีความคิดจนหลับไป ไม่มีความคิดเลยนะ ความคิดว่าตายแล้วจะไปไหนก็ไม่ต้องคิด วางไปให้หมด

     หากทำได้อย่างนี้ ใจจะนิ่ง ตื่น แต่สงบเย็น ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะทำงานได้ดีระดับท็อปฟอร์ม สำหรับโรคมะเร็งไม่ว่ามะเร็งที่อวัยวะไหน หากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกลับมาทำงานดี อะไรดีๆก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์