Latest

จากผู้ชอบเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

สวัสดีค่ะอาจารย์หมอสันต์
สึบเนื่องจากหัวข้อ อย่า “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” เพราะจะปิดโอกาส “รู้”  ศิษย์ผู้น้อยที่ยังไม่บรรลุถึงความหลุดพ้นได้แต่พยายามนั่งสมาธิดูลมหายใจ ยังไปไม่ถึงไหน และไม่มีโอกาสไปเข้าคอร์สสมาธิใดๆในขณะนี่ได้ ได้แต่อาศัยเข้ายูทูปแล้วปฏิบัติตามเกจิอาจารย์ทั้งหลายด้วยความสับสนว่าจะเอาวิธีไหนกันแน่ ถ้าจะอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาทิศาสดาของศาสนาที่ตัวเองนับถือ ขงจื้อ เล่าจื๊อ หรือพลังของจักรวาลต่างๆ จะช่วยได้ไหมคะ ที่สงสัยเพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ตามหลักฐานที่ปรากฎและในคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ เพียงแต่ท่านเหล่านี้อยู่ในอีกภพภูมิหนึ่ง ในส่วนตัวคิดว่า ศาสดา นักบุญต่างๆ หรือเทวดามีอยู่จริง และตัวเองไม่แก่กล้าพอที่จะสถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้าได้ ถ้าจะมีคล้ายกับหลักยึดเหนี่ยวที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือ โดยภาวนาขอความช่วยเหลือ จะเป็นไปได้ไหม และอธิษฐานอย่างไร หรืออาจารย์คิดว่างมงายเปล่าๆ มันต้องรู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น
ความจริงคนเราเกิดมา ไม่สามารถรู้อะไรได้ด้วยตัวเองทั้งหมด การที่เราอาศัยผู้รู้ หรือผู้เกิดก่อน ที่ได้สั่งสมประสบการณ์มาบอกหรือชี้แนะทางลัดสู่ความสำเร็จ ก็น่าจะเป็นการดีกว่างมหาทางแบบผิดๆถูกๆ แต่บางครั้งการรับรู้ของแต่ละคนไม่เหมือนกันทำให้การแปลผลไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้ที่จะสื่อให้เข้าใจ และด้วยข้อจำกัดของการใช้และความเข้าใจภาษาก็มีผลต่อการรับรู้ของคนได้เช่นกัน ขออาจารย์อย่าได้เบื่อหน่ายที่จะคลายข้อสงสัยแก่ศิษย์ผู้ด้อยปัญญาเลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ

…………………………………………..

ตอบครับ

      1. ถามว่าคนเราเกิดมาไม่สามารถรู้อะไรได้ด้วยตัวเองทั้งหมดไม่ใช่หรือ ตอบว่าไม่ใช่ครับ ในความเป็นจริงนั้นคนเราไม่ได้เกิดมาแบบไม่รู้อะไร แต่คนเราเกิดมาพร้อมกับความรู้ตัว หมายถึงว่าความสามารถรู้สิ่งต่างๆตามที่มันเป็นนั้นเป็นสมบัติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อย่างน้อยตอนอายุสองเดือนเราก็มีคุณสมบัติข้อที่เรียกว่าความรู้ตัวนี้ครบถ้วนแล้ว แต่ต่อมาเราค่อยๆพอกพูนสะสมความคิดประสานโยงใยขึ้นเป็นคอนเซ็พท์หรือสำนึกว่าฉันนี้เป็นบุคคลหุ้มหรือครอบและบดบังความรู้ตัวที่เป็นของติดตัวเราตั้งแต่เกิดซะมิด การจะกลับไปหาความรู้ตัว เราก็แค่วางความคิดที่คุณสะสมพอกพูนมาทั้งหมดลงเสีย ก็หลุดพ้นแล้ว แค่นั้นเอง

     2. ถามว่าการอาศัยผู้รู้หรือผู้เกิดก่อนที่ได้สั่งสมประสบการณ์มาบอกหรือชี้แนะทางลัดสู่ความสำเร็จก็น่าจะเป็นการดีกว่าการงมหาทางแบบผิดๆถูกๆไม่ใช่หรือ ตอบว่าใช่ครับ แต่ว่าท่านเหล่านั้นทำได้แค่ชี้ทางนะ ในการรับฟังคำชี้ทางนั้นหากคุณตั้งใจฟังแล้วลองทำตามคำชี้ทางนั้นดูคุณก็เก็ทแล้ว หนังสือทางจิตวิญญาณทุกเล่มล้วนสอนเหมือนกันหมดว่าให้วางความคิดยึดมั่นถือมั่นลงเสีย อ่านแค่นี้คุณก็เก็ทแล้ว ลงมือทำได้แล้ว แล้วคุณจะไปตะบันอ่านหนังสือเป็นตู้ๆ หรือขยันไปเข้าคอร์ส ขยันถกเถียงกับคนอื่นว่าอะไรเป็นวจนะของแท้อะไรเป็นวจนะปลอมอีกทำไมกันละ

     อย่าลืมว่าชีวิตนี้มันซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆจากหยาบไปถึงละเอียดนะหรือพูดเอาง่ายว่าจากนอกเข้าใน กล่าวคือหยาบที่สุดก็ร่างกายที่เป็นเนื้อตันๆนี้ (physical body) รองลงไปก็คือพลังงานที่ขับเคลื่อนร่างกายนี้อยู่ (energy body) ละเอียดลงไปกว่านั้นก็เป็นความคิดและอารมณ์ความรู้สึก (thought่ and emotion) ละเอียดลงไปอีกเมื่อหมดความคิดก็เป็นปัญญาญาณ (intuition) ละเอียดที่สุดและมีศักยภาพสูงสุดก็เป็นความรู้ตัว (consciousness / awareness) ซึ่งเป็นชั้นในสุด การจะหลุดพ้นจากความคิดของคุณเองคุณต้องสนใจฝึกหัดฝึกทำจากนอกเข้าไปข้างใน แต่ว่าหนังสือทั้งหลายเป็นตู้ๆหรือยูทูปที่เปิดทุกวันนั้นมันอยู่ข้างนอกนะ มันไม่ได้อยู่ข้างใน มันอยู่คนละทางกับทิศทางที่คุณจะไป

     3. ถามว่า ตามหลักฐานที่ปรากฎและในคัมภีร์ของศาสนาต่างๆนั้นแสดงว่าศาสดาน่าจะมีอยู่จริงเพียงแต่ท่านเหล่านี้อยู่ในอีกภพภูมิหนึ่ง ในส่วนตัวผู้ถามเองก็คิดว่า ศาสดา นักบุญต่างๆ หรือเทวดามีอยู่จริง เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ตอบว่า ศาสดาหรือนักบุญต่างๆจะมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง จะอยู่ที่ภพภูมิโน้นหรือภพภูมินี้ มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเรานะครับ เพราะเราแค่อยากจะหลุดออกไปให้พ้นจากอิทธิพลความคิดของเราเองแค่นั้นเอง เมื่อเราได้รับฟังคำบอกต่อๆกันมาว่าศาสดาสอนให้วางความคิดเสีย แล้วเราเดินไปตามทางนั้นด้วยการลงมือวางความคิด เราก็ได้ใช้ประโยชน์จากการได้เกิดมาพบกับคำสอนของศาสดาแล้ว ไม่เห็นจะต้องไปเกี่ยวอะไรกับการที่ศาสดามีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริง และอยู่ที่ภพภูมิไหนเลย

     คุณอย่าหลงติดกับดักให้วนอยู่ในความคิด อย่างเช่นการจะ “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ว่าศาสดามีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริง นี่เป็นตัวอย่างของกับดักที่จะล่อให้คุณวนอยู่ในความคิด คุณไปติดเสียที่ในความคิด แล้วคุณจะหลุดพ้นจากกรงของความคิดได้อย่างไรละครับ

    4. ถามว่า ด้วยข้อจำกัดของภาษามีผลต่อการรับรู้ของคน หมอสันต์จะช่วยแนะนำวิธีลัดตรงนี้ให้หน่อยได้ไหม ตอบว่าการที่ภาษามีข้อจำกัดไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่คุณอยากจะเข้าถึงนั้นเป็นพลังงานที่ไม่อาจอาศัยความเข้าใจในภาษาเป็นตัวพาไปให้ถึงได้ ทางที่ลัดสั้นตรงที่สุดคือให้คุณทิ้งภาษาไปเสีย เพราะภาษาคือความคิด ให้คุณสนใจแต่พลังงานหรือคลื่นความสั่นสะเทือน กล่าวคือเมื่อมีสิ่งเร้าผ่านเข้ามาทางอายตนะและถูกแปลงเป็นภาษาที่คลุกเคล้ากับความจำจากอดีตแล้วตกกระทบเป็นความรู้สึกที่กายและใจก่อนที่จะเกิดเป็นความคิดต่อยอด ให้คุณรับรู้และยอมรับสิ่งเร้านั้นตามที่มันเป็นขณะที่มันยังสดๆใหม่ๆซิงๆก่อนที่มันจะถูกเจือเข้ากับความบูดๆอับๆของความจำจากอดีต การสัมผัสกับสิ่งเร้าสดๆใหม่ๆตามที่มันเป็น จะทำให้คุณรู้ได้ว่าอะไรที่ก่อให้เกิดพลังงานขึ้นในตัวคุณในรูปของสิ่งที่ “ถูกจริต (passion)” หรือความกระดี๊กระด๊า พลังงานนี้แหละที่จะชักจูงให้คุณจดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ถูกจริตคุณยิ่งขึ้นๆ แล้วพลังมันก็จะใหญ่ขึ้นๆเหมือน snow ball ที่ใหญ่ขึ้นๆขณะที่มันกลิ้งลงมาจากเขา พลังงานของความถูกจริตนี้จะเป็นตัวพาคุณเข้าไปสู่ความรู้ตัวและหลุดพ้นจากความคิดของคุณได้ในที่สุด

     5. ถามว่าหากตัวเองไม่แก่กล้าพอที่จะสถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้า หากจะภาวนาขอความช่วยเหลือจากหลักยึดเหนี่ยวที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือจะได้ไหม ตอบว่า เอ้อ แล้วทำไมจะไม่ได้ละครับ นี่ไม่ใช่ยุโรปสมัยกลางที่หากคุณยุ่งกับพระเจ้าคนละองค์กับที่พวกพระหรือนักปกครองเขานับถือกันอยู่คุณอาจถูกจับเผาทั้งเป็น แต่นี่มันโลกเสรียุคหลังลุงตู่แล้วนะ คุณจะอธิษฐานกับพระเจ้าองค์ไหน ตำรวจไม่จับหรอกครับ

     6. ถามว่าถ้าจะภาวนาขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือ ขงจื้อ เล่าจื๊อ หรือพลังของจักรวาลต่างๆจะต้องอธิษฐานอย่างไร ตอบว่า หิ หิ การคบหาหรือเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (divine) นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมถนัดนะครับ ผมตอบเท่าที่ผมเห็นคนเขาทำกันอยู่ทั่วไป มันมีวิธีทำอยู่สามแบบนะ

     แบบที่หนึ่ง คือคุณยอมมอบกายถวายชีวิตแบบศิโรราบให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคุณ สมมุติว่าเป็นพระเจ้าของคุณก็แล้วกันนะ คุณไว้วางใจ (trust) พระเจ้าของคุณ มั่นใจในพระเจ้าของคุณร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าให้คุณมามี มาเป็น มาประสบ ที่เดี๋ยวนี้นั้น ท่านให้คุณมาด้วยความหวังดีว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่คุณจะต้องได้มี จะต้องได้เป็น จะต้องได้พบอย่างนี้ ดังนั้นคุณจึงยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณที่เดี๋ยวนี้ได้หมดเพราะว่ามันเป็นประสงค์ของพระเจ้า แม้ว่าบางทีคนหรือสิ่งที่พระเจ้าส่งมาให้อยู่กับคุณนั้นคนอื่นอาจจะมองว่าช่างตกสะเป๊คขนาด แต่คุณไว้วางใจพระเจ้าจึงรับได้หมดไม่มีการแอะหรืออิดออดแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำคุณยังเปิดอ้าซ่า คือนอกจากจะเปิดรับพลังเมตตา (grace) จากพระเจ้าเข้ามาสู่ตัวแล้ว คุณยังเปิดยอมรับอะไรก็ตามที่พระเจ้าจะใส่เข้ามาอีกในแต่ละโมเมนต์ ในแต่ละแว้บ อะไรที่เข้ามาแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกแย่ๆท้อถอยคุณก็จะดูดซับมันไว้ว่าชั่วดีถี่ห่างมันก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้มา อะไรที่เข้ามาแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆพลังดีๆขึ้นในตัวคุณ คุณก็เผื่อแผ่มันออกไปให้คนอื่นแบบที่เรียกว่าแผ่เมตตาออกไปไม่เลือกหน้าแม้จะเป็นคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณเอง เพราะว่าคนอื่นหรือชีวิตอื่นทุกชีวิตล้วนเป็นเลือดเป็นเนื้อของพระเจ้าเช่นเดียวกับคุณเหมือนกัน ถ้าคุณใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แบบนี้ คุณอาจหลุดพ้นได้ง่ายๆเลยนะ เพราะคุณอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้คุณยอมรับปัจจุบันได้ 100% ใครก็ตามที่ยอมรับปัจจุบันได้ 100% ไม่โหยหาอดีตหรือร้องเรียนคาดหวังอะไรกับอนาคต คนนั้นย่อมหลุดพ้นในทันที

     แบบที่สอง. คุณอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นที่อ้อนวอนอธิษฐานหรือลี้ภัยทางใจ การอ้อนวอนหรืออธิษฐานใดๆเนี่ยมันเป็นความคิดที่เกิดจากการที่เราไม่ยอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  พูดง่ายๆว่าเราอ้อนวอนอธิษฐานเพราะเราอยากหนีจากปัจจุบันไปเกาะอยู่กับ “ความหวัง” ซึ่งเป็นความคิดพาเราลี้ภัยออกจากปัจจุบันไปจินตนาการว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต วิธีหนีจากปัจจุบันอีกวิธีหนึ่งที่คนนิยมทำกันคือการเกาะอยู่กับ “ความกลัว” ซึ่งก็เป็นความคิดที่พาเราหนีไปจากปัจจุบันไปจินตนาการว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต การจะหนีตามผู้ชายทั้งทีก็ควรจะหนีตามผู้ชายน่ารักมากกว่าหนีตามผู้ชายที่น่าชังถูกแมะ ฉันใดก็ฉันเพล ใครก็ตามที่พลังยังไม่มากพอที่จะยอมรับปัจจุบันได้แบบนิ่มๆนิ่งๆ การหนีไปกับความหวังก็ย่อมดีกว่าหนีไปกับความกลัว พูดง่ายๆว่าไหนๆก็จมอยู่ในความคิดอยู่แล้ว ความคิดบวกย่อมดีกว่าความคิดลบ ดังนั้นการอ้อนวอนอธิษฐานก็คือการใช้ความคิดบวกไล่ความคิดลบ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่มีประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่มีพลังถึงขั้นจะยอมรับทุกอย่างในปัจจุบันตามที่มันเป็นได้ คือเมื่อยังไม่เจ๋งถึงขั้นจะขึ้นไปเล่นในสนามพลังงาน (ปรมัติ) ก็ต้องเล่นในสนามความคิด (สมมุติบัญญัติ) ไปก่อน เปรียบเหมือนนักฟุตบอลอังกฤษ ฝีเท้าไม่ถึงขั้นจะไปเตะในพรีเมียร์ลีก ก็ต้องตระเวณเตะในดิวิชั่นต่ำๆไปพลางๆก่อน

     แบบที่สาม คุณเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นเป้าดึงให้คุณจมอยู่ในความคิดซ้ำซากหรือเติมความยึดมั่นในความเป็นบุคคลของคุณ ยกตัวอย่างเช่นการพยายามจะสรุปหรือจำแนกว่าคุณเป็นคน “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” เคารพ หรือไม่เคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณวางตัวเองว่าเป็นคนหัววิทยาศาสตร์หรือเป็นคนหัวนิยมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งที่คุณไม่รู้ เช่น เล่าจื้อมีอยู่จริงหรือไม่มี พลังจักรวาลมีจริงหรือไม่มี พระสยามเทวาธิราชมีจริงหรือไม่มี พระแก้วมรกตศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่มี หรือการทะเลาะกันว่านี่เป็นวจนะของแท้หรือเป็นวจนะของเทียม เป็นต้น วิธีเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับสำนึกว่าเป็นบุคคล(อัตตา)ของตัวเองและความสงสัยของคุณเองอยู่นั่นแหละ ไม่มีวันได้หลุดพ้นไปไหนหรอก

     สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่ได้มีไอเดียว่าอะไรศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ผมขอชี้ประเด็นว่าความเชื่อหรือไม่เชื่อล้วนเป็นเพียงความคิด ชีวิตนี้ประกอบด้วยสามอย่างนะ ความคิด ร่างกาย และความรู้ตัว ความคิดก็ดี ร่างกายนี้ก็ดี เป็นเพียงของแถมหรือ accessory หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่เพิ่งมาสะสมพอกพูนเอาภายหลัง ความคิดเราพอกพูนขึ้นมาจากการศึกษาเรียนรู้จดจำของเรา ร่างกายเราพอกพูนขึ้นมาจากอากาศ น้ำ และอาหารซึ่งมาจากดินโดยที่วันหนึ่งก็ต้องกลับไปสู่ดิน ทั้งความคิดและร่างกายนี้จึงไม่ใช่ตัวชีวิตจริง ความรู้ตัวซึ่งเป็นตัวชีวิตจริงจะโผล่ให้เราเห็นต่อก็เมื่อเราถอยความสนใจออกมาจากสิ่งที่เป็น accessory ทั้งหลายเหล่านี้ให้ได้ก่อน เมื่อนั้นก็จะเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว เมื่อเราหันมามีประสบการณ์กับของจริงที่เหลืออยู่ นั่นแหละคือเส้นทางที่จะบรรลุศักยภาพสูงสุดของการเกิดมาเป็นคน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์