Latest

ชีวิตทุกวันนี้เหมือนนกที่มีปีก แต่ไม่มีโอกาสได้ออกบินในโลกกว้าง

    ชีวิตของผมทุกวันนี้เหมือนนกที่มีปีกรู้ว่าตัวเองบินได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ออกบินในโลกกว้าง ภาระหน้าที่ในฐานะลูกชายคนโตที่ต้องรับผิดชอบดูแลพ่อแม่พี่น้องลูกหลานและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่เว้นแต่ละวันจนไม่เหลือชีวิตของตัวเอง มีแต่ความล้มเหลวซ้ำซาก ชีวิตช่างไร้สาระเสียเวลาที่เกิดมา เห็นก็แต่ความตายเท่านั้นที่จะเป็นทางออก ปรึกษาจิตแพทย์ และฟังคำแนะนำ คำให้กำลังใจมามากพอแล้ว มันล้วนไม่ใช่คำตอบ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมองไม่เห็นทางออกอื่นนอกจากความตาย

……………………………………………………………

ตอบครับ

     ผมตัดรายละเอียดประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของคุณออกไปเพราะมันยาวเกินไป ผมจะตอบคุณไปทีละประเด็นเท่าที่ผมจะนึกได้นะ

     ประเด็นที่ 1. ความล้มเหลวของชีวิตเกิดเพราะคุณไปหยิบกิจกรรมมาเป็นเป้าหมาย

     ถ้าคุณคิดว่าเป้าหมายการมีชีวิตอยู่คือกิจกรรมเล็กๆในชีวิต เช่น เรียนหนังสือจบ มีงานทำ ทำธุรกิจสำเร็จ มีเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ มีเมีย มีลูก เลี้ยงดูพ่อแม่ เจือจานลูกหลานวงศ์วานว่านเครื่อ เหล่านี้เป็นเป้าหมายของชีวิตนี้ คุณก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว เพราะไม่ว่าจะทำอะไรคุณก็เสี่ยงที่จะล้มเหลวอยู่วันยังค่ำเพราะทุกเรื่องคุณคุมมันได้ซะที่ไหน ยิ่งถ้าคุณพยายามจะควบคุมปัจจัยเล็กๆน้อยๆเพื่อให้กิจกรรมเล็กๆของคุณสำเร็จดังหวัง คุณก็ยิ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวหนักขึ้นไปอีก คนทำเกษตรกรรมมาแล้วอย่างถึงกึ๋นเข้าใจความข้อนี้เป็นอันดี ให้ผมเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่งนะ ชาวนาคนหนึ่งหงุดหงิดกับพระเจ้าที่เขาปลูกข้าวแล้วฝนแล้ง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าตะโกนว่า

     “ข้าแต่พระเจ้า จริง..พระองค์ดี พระองค์ยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการทำไร่ทำนาเลย แล้วข้าจะมีพระองค์ไว้ทำไมละเนี่ย”

     พระเจ้าร้อนใจจึงลงมาหาและบอกชาวนาว่า

     “โอเค. ข้าจะให้เจ้ามีอำนาจความคุมดินน้ำลมไฟทุกสิ่งทุกอย่างแทนข้า” 

     ว่าแล้วก็มอบคธาวิเศษให้ชาวนาแล้วหายตัวแว้บไป ชาวนาเมื่อได้อำนาจมาก็ตั้งใจใช้อำนาจเพื่อให้การทำนาได้ผลดี ลงมือคราดไถหว่านดำ เมื่อดินทำท่าจะแห้งก็สั่งให้ฝนตก ข้าวโตช้าก็สั่งให้แดดออก วันไหนออกไปท้องนาแดดร้อนมากก็สั่งให้เมฆมาบัง พายุพัดแรงจนข้าวกล้าจะเสียหายก็สั่งหยุดลม นกมาจิกเมล็ดข้าวก็สั่งไม่ให้มีนก ตั้งใจทำนาอย่างนี้ ในที่สุดข้าวในนาก็งามและให้ผลดี เก็บเกี่ยวได้มาก ชาวนาพอใจ แต่พอเอาข้าวไปสี กลับพบว่าในเมล็ดข้าวนั้นว่างเปล่าไม่มีเนื้อข้าวข้างใน ชาวนากลับไปหาพระเจ้าและว่า

     “พระองค์ใช้ลูกเล่นอะไรกับข้าอีกหรือเปล่า ข้าวของข้าไม่มีเนื้อในเมล็ด” พระเจ้าหลับตาสักครู่แล้วตอบว่า

     “ก็เอ็งไม่เอาลมไม่ใช่หรือ พอไม่มีลม รากข้าวก็ไม่ลงลึก มันก็เลยไม่มีเนื้อในเมล็ด”

     ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     แต่ถ้าคุณมองว่าแต่ละกิจกรรมของชีวิตนี้เป็นแค่ขั้นบันไดเหยียบไปสู่การเข้าถึงศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในตัวของคุณ หมายถึงการเข้าถึงปัญญาญาณที่จะพาคุณไปสู่ความหลุดพ้น คุณไม่มีวันล้มเหลวในการใช้ชีวิต ทุกวิกฤติเป็นโอกาส ไม่ว่าอะไรจะเกิดกับชีวิต มันมีอะไรน่ากลัวซะที่ไหน ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุการณ์เล็กๆที่หน้าคุ้นๆทั้งนั้น เพราะมนุษย์เราทำกันมาเป็นหลายร้อยปีแล้ว ทำงานเลี้ยงชีพ แต่งงาน เลี้ยงดูลูก เลี้ยงดูบุพการี ทำงานสังคม ทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งแข่งขันช่วงชิง บังคับใช้กฎกติกา แหกกฎกติกา ฯลฯ ทุกเหตุการณ์ล้วนเป็นขั้นบันไดอีกขั้นหนึ่งในการก้าวไปสู่ความหลุดพ้นทั้งนั้น ไม่มีคำว่าล้มเหลว มีแต่การเรียนรู้

     การจะมีความสุขกับชีวิต คุณอย่าพยายามพิสูจน์หรือเอาชนะอะไร แต่เรียนรู้มันตามที่มันเข้ามา มีความหนักแน่นมั่นคง (integrity) ในการเรียนรู้นี้ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่คุณก็จะผ่านมันไปได้อย่างฉลุย เปิดยอมรับสิ่งต่างๆที่ปรากฎตามที่มันเป็น (what is) นั่นคือการรับรู้คลื่นความสั่นสะเทือนโดยไม่ใส่ภาษา เป็นการสร้างความโปร่งใสขึ้นในการรับรู้ อย่าไปรับรู้มันแบบที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็น ( what should be) นั่นเป็นความคิดนะ เป็นการใส่ภาษาเข้าไป เป็นการบิดเบือนการรับรู้ให้ไม่โปร่งใส และตรงนี้แหละที่เป็นที่มาของความกลัวและความหวัง ซึ่งเป็นของเก๊ทั้งคู่ ชีวิตไม่ได้มีเพื่อให้เข้าใจ แต่เพื่อให้ใช้ชีวิต อย่าคาดหมายอะไรทั้งสิ้น อย่าหลงเชื่อความคิดไปต่อสู้รับมือกับจักรวาล คุณสู้ไม่ไหวหรอก แต่ถ้าคุณลบขอบเขตของความเป็นคุณลงเสียบ้าง ให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ คราวนี้ชีวิตจะง่ายขึ้นแยะ

     ชีวิตมีสามส่วนนะ

     (1) ความคิด ก็คืออะไรที่ชงขึ้นมาจากสิ่งเร้าที่เข้ามาเดี๋ยวนี้ (perception) คลุกเคล้ากับความจำเก่าๆ (memory) บางครั้งก็บวกกับจินตนาการ (imagination) เข้าไปด้วย

     (2) ร่างกาย ก็คือเนื้อหนังตันๆของเรา

     (3) ความรู้ตัว คืออะไรที่ไม่ใช่ร่างกายที่ยังตื่นอยู่แม้เมื่อไม่มีความคิด

     ที่เขาพูดกันว่าชีวิตคือมายานั้นไม่ได้หมายความว่ามันเป็นของไม่จริง “มายา” หมายความว่ามันเป็นของจริงนี่แหละเพียงแต่มันดำรงอยู่แค่ชั่วคราว ไม่ถาวร ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นภาพหลอน (illusion) ทั้งสามส่วนของชีวิตนี้ ความคิดนั้นมาแล้วก็ไป แม้ร่างกายก็มาแล้วก็ไปและเปลี่ยนแปลงอย่างโต้งๆอยู่ตลอดเวลา ทั้งความคิดและร่างกายจึงไม่ใช่เราที่แท้จริง มันเป็นแค่ส่วนประกอบหรือ accessory ของความเป็นเราที่เราเก็บตกหรือพอกพูนเพิ่มเข้ามาจากภายนอก ความรู้ตัวเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่จีรังที่สุด อย่างน้อยมันก็อยู่กับเรามาตั้งแต่จำความได้จนเดี๋ยวนี้โดยไม่เปลี่ยนแปลง

     ประเด็นที่ 2. ปัจจัยของความสำเร็จไม่ใช่การมีเจตนาดี
   
     คุณอย่าเข้าใจชีวิตผิดไปว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การใช้ชีวิตประสบความสำเร็จมีความสุขคือการมีเจตนาดีหรือมีความปรารถนาดีนะหรือทำสิ่งที่ดีๆ ไม่ใช่หรอก ปัจจัยของความสำเร็จคือการลงมือทำสิ่งที่ถูกจุดหรือการเกาให้ถูกที่คันต่างหาก การที่คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนดีมีความกตัญญูทำแต่ความดีแต่ว่าชีวิตกลับมีแต่ความทุกข์ นั่นเพราะคุณมีเจตนาดีแต่ลงมือทำสิ่งที่เป็นการเกาไม่ถูกที่คัน ผลที่ได้ก็คือความทุกข์ คุณต้องเข้าใจว่าเรื่องถูกผิด ดีชั่ว เป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่มนุษย์คิดขึ้นมา แต่การมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติซึ่งไม่ได้ให้ราคาอะไรกับสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมานี้หรอก คุณต้องลงมือทำให้ถูกจุด ซึ่งคุณก็รู้อยู่แล้วว่าจุดอยู่ที่ไหน ความทุกข์ของคนเรามันอยู่ที่การเพิกเฉย (ignorance) ต่อความจริงที่ว่าสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือตัวตนของเรานี้เป็นเพียงความคิด ความทุกข์ของคุณเกิดจากการเพิกเฉยต่อความจริงตรงนี้ การเพิกเฉยหมายความว่าคุณเป็นคนที่ตื่นอยู่ แต่แกล้งหลับ แล้วใครจะปลุกคนแบบนี้ให้ตื่นได้ละ ถ้าไม่ใช่ตัวคุณเอง

     ประเด็นที่ 3. การเห็นตามที่มันเป็น

     เมื่อตะกี้ผมพูดถึงการเห็นตามที่มันเป็น ผมขอขยายความหน่อย คำว่า “เห็นตามที่มันเป็น” ไม่ใช่การเห็นผ่านอายตนะ เพราะอายตนะไม่ได้เห็นตามที่มันเป็น แต่เห็นตามความสามารถของอายตนะนั้น หรือเห็นตามความสามารถวินิจฉัยแยกแยะของผู้สังเกตคนนั้น ยกตัวอย่างเราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เห็นดวงอาทิตย์ตกตอนเย็น นี่คือการเห็นตามอายตนะ แต่การเห็นตามที่มันเป็นไม่ใช่เห็นอย่างนี้ เพราะตามที่มันเป็นจริงดวงอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นไม่ได้ตก แต่โลกต่างหากที่หมุนรอบตัวเองทำให้เราซึ่งอยู่บนผิวโลกเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นและเห็นดวงอาทิตย์ตก การเห็นตามที่มันเป็นจึงต้องอาศัยสิ่งที่มีความสามารถมากกว่าอายตนะ แม้เชาวน์ปัญญา (intellect) ของเราเองจะหลักแหลมเพียงใดก็ยังช่วยให้เราเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นได้ไม่มากนัก สิ่งที่จะเปิดให้เราเห็นตามที่มันเป็นได้อย่างแท้จริงคือปัญญาญาณ (intuition) ซึ่งจะโผล่ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อสมองบางส่วนที่เคยเปิดถูกปิดลง และสมองบางส่วนที่เคยปิดอยู่ถูกเปิดออก พลังงานบางคลื่นอันได้แก่ความคิดซึ่งเคยครอบจิตสำนึกรับรู้เสียมิดได้ถูกลบให้ดับไป จิตที่ถูกครอบด้วยความคิดกลายเป็นจิตที่อยู่ในสมาธิ พลังงานบางคลื่นอันได้แก่ปัญญาญาณซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้ไหลเข้ามาก็มีโอกาสได้ไหลเข้ามา ปัญญาญาณนี้แหละที่จะเป็นตัวสาธิตสอนแสดงให้เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็น การวางความคิดให้จิตเป็นสมาธิจำเป็นต้องฝึกฝน เหมือนการเขียน ก.ไก่ถึง ฮ. นกฮูก หากเราไม่ฝึกเป็นร้อยๆครั้ง เราจะเขียนมันได้อย่างสบายมืออย่างทุกว้นนี้หรือ

   มนุษย์มีความสามารถจดจำและสร้างจินตนาการได้มากกว่าสัตว์อย่างเทียบกันไม่ได้ เรียกว่าความจำและจินตนาการนี้เป็นความสามารถพิเศษของคน แต่เรากลับเป็นทุกข์เพราะเราใช้ความสามารถพิเศษของเราไม่เป็น แล้วใครจะช่วยเราได้ละ แม้ในส่วนของอายตนะเราคิดว่าเราเจนจบแล้ว แต่จริงๆหาเป็นเช่นนั้นไม่ เราจะรู้อะไรที่อยู่พ้นไปจากอายตนะทั้งห้าด้วยการอาศัยอายตนะทั้งห้าไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องพัฒนาอะไรมาเสริมการรับรู้ของเราให้มันแหลมคมยิ่งขึ้นนอกเหนือจากอยาตนะทั้งห้าที่มีอยู่ การฝึกฝนทางจิตวิญญาณก็คือการสนใจทุกแง่มุมของชีวิตอย่างจริงจัง pay attention ในรายละเอียดในชีวิต ก่อนอื่นแยก ความคิด ความจำ จินตนาการ และความเป็นจริงตามที่มันเป็นที่เรารับรู้เข้ามา (reality) ออกจากกันให้ได้ก่อน เมื่อคุณนั่งหลับตาอยู่ตรงนี้ ต้องไม่มีอะไรเกี่ยวกับความเป็นบุคคลของคุณซึ่งเป็นความคิดเข้ามาในใจ โลกในจินตนาการต้องหยุดลง แล้วจดจ่ออะไรที่จะเข้ามาที่เดี๋ยวนี้ทีละช็อตๆ คุณจะได้ไม่พลาดอะไรที่เข้ามาที่เดี๋ยวนี้ เมื่อมันเข้ามา คุณรับรู้ตามที่มันเป็นซึ่งเป็นของจริงที่เดี๋ยวนี้ โดยไม่ให้ความจำและจินตนาการต่อยอดไปหาสภาวะที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็นซึ่งเป็นสมมุติที่คุณวาดไว้ในอนาคตในใจของคุณเอง

     ประเด็นที่ 4. อย่าไปค้นหาการตรัสรู้

     ผมเห็นด้วยที่คุณคิดจะหยิบเอาเรื่องการหลุดพ้นจากความทุกข์มาเป็นเรื่องเอกเพียงเรื่องเดียว แต่คุณอย่าออกเดินทางไปค้นหาการตรัสรู้ มันไม่ใช่สิ่งที่ค้นหาได้ คุณยังไม่รู้จักมันเลยว่ามันคืออะไร คุณจะค้นหาสิ่งที่คุณไม่รู้จักได้อย่างไร เพราะการตรัสรู้เป็นแค่ไอเดีย ไอเดียคือสิ่งที่เราคิดขึ้นมา ผมแนะนำให้คุณเริ่มใช้เครื่องมือที่คุณมี คือ “กาย” นี้ กับ “ใจ” นี้ คุณไม่ต้องเข้าใจหรอกว่ามันมีกลไกการทำงานอย่างไร แค่คุณรู้จักใช้มันก็พอ อย่างคุณใช้โทรศัพท์มือถือ คุณไม่ต้องรู้ว่าไส้ในของโทรศัพท์มันมีกลไกการทำงานได้อย่างไร แต่ขอให้รู้ว่าวิธีกดโทรออก กดรับสายก็พอ ในการใช้ชีวิตคุณก็รู้แค่ว่าสิ่งที่คุณจะเวิร์คด้วยมี “กาย” และ “ใจ” นี้เท่านั้น อย่าไปยุ่งกับสิ่งอื่นที่ข้างนอกเพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่เกี่ยว แม้ในเรื่องกายและใจนี้ก็ยังมีประเด็นสำคัญคือกายและใจนี้มันสร้างมาดีจนทำงานได้เองแทบจะเป็นอัตโนมัติ คุณไม่ต้องไปพยายามควบคุม แค่คุณให้ความสนใจ pay attention ปลดปล่อยแต่ละส่วนให้เป็นอิสระไม่ครอบงำกันและกันมันก็จะทำงานของมันเอง แค่คุณสร้างบรรยากาศรอบๆให้กายและใจมันมีอิสระมันก็เวอร์คของมันเองได้แล้ว ถ้าคุณรับรู้สิ่งเร้าที่เข้ามาที่เดี๋ยวนี้อย่างโปร่งใสตามที่มันเป็น ไม่ไปหลงติดกับดักของสำนึกว่าเป็นบุคคล กายและใจนี้ก็จะสนองตอบต่อสิ่งเร้าแบบผ่อนคลายสบายๆได้เอง

      ในการพยายามสร้างสรรค์สิ่งดีๆในชีวิต ปัญหาอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราจมอยู่ในความคิดคือเราเอาประสบการณ์อดีตมากำหนดว่าอะไรเป็นไปได้อะไรเป็นไปไม่ได้ที่ปัจจุบัน ให้คุณตั้งต้นด้วยการยอมรับว่าอะไรเราไม่รู้ เราไม่รู้ อย่าเชื่อสิ่งที่เราไม่รู้ ในความเป็นจริงนั้นอะไรเป็นไปได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องของคุณที่จะตัดสิน ธรรมชาติเป็นผู้ตัดสิน หน้าที่ของคุณคือให้มุ่งอยู่แต่สิ่งที่คุณอยากให้เกิดโดยไม่มีความคิดขัดแย้งหรือต่อต้านสองฝักสองฝ่ายอยู่ในใจตัวเอง ไม่ระแวงสงสัย แล้วสิ่งนั้นมันจึงจะเกิด

     การที่คุณอยากทิ้งสิ่งรอบตัวออกไปแสวงหาวิเวก คุณรู้หรือเปล่าว่าวิเวกแท้เกิดได้แม้ในกลางฝูงชน ไม่ว่าเวลาไหน เงื่อนไขไหน จริงอยู่หากคุณอยู่ในชีวิตครอบครัวหากมันถ่วงคุณจนขยับไม่ออกการปลีกวิเวกเป็นทางเลือกที่ดี ผมไม่คัดค้าน ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่ให้น้ำหนักเลยในการที่คุณจะทำอะไรสวนหรือไม่สวนกระแสคนรอบตัว เพราะการเดินทางทางจิตวิญญาณก็คือการว่ายทวนน้ำขณะที่คนอื่นเขาไหลไปตามน้ำ ผมจะไปคัดค้านทำไม แต่ผมขอเตือนคุณไว้ล่วงหน้าหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง ว่าถ้าคุณปลีกตัวออกไปอยู่คนเดียวแล้วคุณอาจจะได้เป็นอิสระเฉพาะตอนนั่งอยู่ในสมาธิ พอออกจากสมาธิก็กลับรู้สึกวุ่นวายใจ นั่นไม่ใช่วิเวกแล้วนะ นั่นคุณกำลังติดคุกสมาธิ คุณกำลังไปผิดทิศ ทิศทางที่ถูกคือคุณต้องเลิกควบคุม ไปสู่การปลดปล่อย

ประเด็นที่ 5. ความอยากฆ่าตัวตายเป็น “ความคิด” ไม่ใช่ “คุณ”

    ส่วนที่ว่าคุณจะไปฆ่าตัวตายหรือไม่ไปฆ่าตัวตายดีนั้น นั่นมันเป็นความคิดนะ ไม่ใช่คุณ ถ้าคุณให้ความสนใจว่ามีช่องว่างระหว่างสองสิ่งนี้อยู่นิดหนึ่ง คือความคิดของคุณ กับคุณในฐานะผู้สังเกต คุณรักษาช่องว่างนี้ไว้ ทำแค่นี้ คุณก็จะรับมือกับความคิดทุกความคิดได้ด้วยตัวคุณเอง รวมทั้งความคิดที่จะไปฆ่าตัวตายด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์