Latest

ไวรัสตับอักเสบอี. (Hepatitis E)

เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันอายุ 49 เข้าใจว่าเพราะอากาศร้อนมากเกินไป ดื่มน้ำน้อยด้วย สังเกตว่าฉี่เข้มมาก คลื่นไส้ อยากอาเจียน คันตามตัว ปวดตามข้อ หวิวๆจะเป็นลมหน้ามืดหลายครั้ง และรู้สึกตัวเองเบลอๆ ไปหาคลินิกที่ … หมอวัดไข้ได้ 39 จึงรีบขอตัวเข้ากทม.มาโรงพยาบาล … หมอให้นอนรพ.ทันที ผลตรวจ
FBS 91
BUN 18
Cr 1.1
SGOT 1526
SGPT 1840
Total bil. 2.7
Indirect bil 1.8
Direct bil 0.9
Alk Phos 156
Na, 133
K, 4.1
anti HEV IgM positive

หมอบอกว่าเป็นตับอักเสบไวรัสอี. หมอให้นอนโรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์ ดิฉันขอกลับไปนอนคอนโดตัวเองในกทม.โดยตกลงจะกลับไปหาหมอตามนัดในอีกเจ็ดวัน แต่ยังมีอาการเพลียมาก อยากถามคุณหมอว่า ไวรัสตับอักเสบอี.นี้เป็นแล้วจะมีอะไรติดตามมาในระยะยาวไหม มันติดต่อคนใกล้ชิดได้หรือเปล่า ติดต่อกันได้ทางไหน เมื่อหนึ่งเดือนก่อนดิฉันได้ไปเที่ยวประเทศ … จะเป็นเพราะไปเอาเชื้อมาจากที่นั่นได้หรือไม่ จะป้องกันไม่ให้คนใกล้ชิดเป็นโรคนี้ได้อย่างไร มีวัคซีนไหม ตัวดิฉันเองต้องดูแลตัวเองอย่างไร
ขอบพระคุณคุณหมอค่ะ

…………………………………………………………..

ตอบครับ

     ก่อนที่จะตอบคำถามของคุณ ขอเล่าภาพใหญ่ของโรคตับอักเสบจากไวรัสอี. (Hepatitis E) ให้ท่านผู้อ่านอื่นๆทราบไว้เป็นความรู้ใส่บ่าแบกหากก่อนนะว่า โรคนี้คือภาวะที่มีการติดเชื้อไวรัสอี. (HEV) ซึ่งผ่านสู่ร่างกายทางน้ำดื่มและอาหาร (faecal-oral route) เชื้อนี้ชนิดที่เป็นในคน (Genotype 1, 2) เป็นคนละชนิดกับที่เป็นในสัตว์เช่น หมู กวาง (Genotype 3, 4) เมื่อคนติดเชื้อนี้แล้วจะมีอาการตับอักเสบเป็นไข้ดีซ่านตัวเหลืองตาเหลืองนอนซมอยู่ราว 2-6 สัปดาห์แล้วก็หายไปเอง แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่เป็นตับอักเสบแบบครึกโครม (fulminant hepatitis) ทำให้ตับวายเฉียบพลันและจำนวนหนึ่งเสียชีวิตได้ โรคนี้มักระบาดในที่การสุขาภิบาลไม่ดีหาน้ำสะอาดดื่มยาก หากเป็นในพื้นที่การสุขาภิบาลดีอยู่แล้วก็มักเกิดจากการไปกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งตับสัตว์และหอย ซึ่งมักเป็นเรื่องเฉพาะรายไม่เกิดการระบาดกับคนหมู่มาก การติดต่อจากการถ่ายเลือดและจากแม่สู่ลูกขณะคลอดก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่เกิดน้อยมาก โรคนี้เมื่อเป็นแล้วไม่มีวิธีรักษาจำเพาะ ต้องรอให้มันหายเอง

     เอาละ คราวนี้มาตอบคำถามของคุณ

     1. ถามว่าไวรัสตับอักเสบอี.นี้เป็นแล้วจะมีอะไรติดตามมาในระยะยาวไหม ตอบว่าส่วนใหญ่ไม่มีอะไรค้างคาในระยะยาว หายแล้วหายเลย แต่มีอยู่บ้างเหมือนกัน (3% ของโรคตับอักเสบทั้งหมด) ที่เป็นโรคในรูปแบบครึกโครม (fulminant hepatitis) แล้วเสียชีวิต สรุปว่าส่วนใหญ่รอด ที่ไม่รอดก็ตาย ส่วนที่จะเรื้อรังยืดยาดนั้นไม่มี ทั้งนี้ยกเว้นเฉพาะในกรณีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

     2. ถามว่าไวรัสตับอักเสบอี.ติดต่อคนใกล้ชิดได้หรือเปล่า ถ้าได้ติดต่อกันได้ทางไหน ตอบว่าติดต่อได้ โดยคนใกล้ชิดเผลอกินอึของคุณเข้า หิ หิ พูดเล่น พูดผิด พูดใหม่นะ ภาษาเพราะๆแบบหมอๆต้องพูดว่าติดต่อกันผ่านวงจรจากอุจจาระถึงปาก (feco-oral route) เออ..ความหมายก็คือกินอึนั่นแหละไม่ใช่หรือ

     3. ถามว่าจะป้องกันไม่ให้คนใกล้ชิดติดโรคนี้จากตัวเองได้อย่างไร ตอบว่าก็อย่าให้พวกเขามากินอึคุณสิครับ หิ หิ ขอโทษ เผลอพูดไม่เพราะอีกละ ผมหมายความว่า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ทำนองนั้น

     ถ้าเราดูข้อมูลการติดต่อโรคนี้ มันจะมีพิมพ์นิยมอยู่สองแบบนะ คือ แบบที่ 1. ระบาดในคนหมู่มาก มักจะเกิดจากการไม่มีน้ำสะอาดดื่มในชุมชน รวมไปถึงการระบาดผ่าน “น้ำแข็ง” ที่ไม่สะอาดด้วย กับ  แบบที่ 2. คือเป็นในคนคนเดียวหรือสองสามคนที่ไม่ระบาดในคนหมู่มาก แบบนี้มักเกิดจากการกินเนื้อสัตว์หรือตับสัตว์หรือหอยที่ไม่สุก

     4. ถามว่าเมื่อป่วยเป็นโรคตับอักเสบไวรัสอี.อย่างคุณนี้แล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ตอบว่าในกรณีทั่วไปก็แค่นอนแซ่วอยู่เฉยๆรอให้ร่างกายกำจัดเชื้อโรคให้หมดแล้วโรคมันก็จะหายไปเอง ไม่ต้องฉีดยา กินยา ทายาอะไรทั้งนั้น อย่างมากแค่สวดมนต์อย่างเดียวก็พอ

     แต่ในกรณีของคุณนี้ ผมดูเอ็นไซม์ของตับ (SGOT, SGPT) ซึ่งออกมาในเลือดเป็นปริมาณมากจนน่าตกใจ ประกอบกับอาการทางสมองที่ว่าเบลอๆไม่รู้เรื่อง มันเป็นกรณีที่ต้องเฝ้าระวังการเป็นตับอักเสบชนิดรุนแรงครึกโครม (fulminant hepatitis) ซึ่งมักตายได้ การเฝ้าระวังนี้นิยมให้นอนในโรงพยาบาล ซึ่งหมอเขาจะ (1) ให้พักอย่างยิ่งแบบถนอมตับสุดๆ (2) ให้ได้อาหารที่ย่อยง่ายให้เพียงพอแต่ไม่มากเกินไป (3) ระวังเลือดออกสุดๆเพราะยามที่ตับเสียการทำงานจะเลือดออกง่ายมาก (4) ระวังการขาดน้ำอย่างสุดๆเพราะหากขาดน้ำนิดเดียวก็พาลช็อกตายไปเลย แล้วก็ (5) งดยาและสารพิษต่อตับให้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอลกอฮอลและยาแก้ปวดลดไข้พาราเซ็ตตามอลต้องงดเด็ดขาด (6) ตรวจเลือดเพื่อติดตามดูการทำงานของตับและการแข็งตัวของเลือดเป็นระยะๆจนทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้วจึงค่อยให้กลับบ้าน

     กรณีของคุณนี้หมอเขาก็แนะนำคุณแล้วว่าให้นอนโรงพยาบาล แต่คุณสมัครใจกลับบ้านเอง แต่ถ้าคุณถามผมว่าสมมุติว่าเป็นตับอักเสบแบบรุนแรงครึกโครมแล้วนอนที่บ้านกับนอนที่โรงพยาบาลอย่างไหนมีโอกาสตายมากกว่ากัน ตอบว่าเออ..ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบสองกรณีนี้ไว้ ดังนั้นผมจึงตำหนิคุณไม่ได้หรอกว่าการดื้อดึงรีบกลับบ้านนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่

     5. ถามว่าไปเที่ยวไปกินที่เมืองนอกเมื่อ 30 วันก่อน เป็นไปได้ไหมว่าได้รับเชื้อมาจากตอนนั้น ตอบว่าเป็นไปได้ครับ เพราะระยะฟักตัว (จากได้รับเชื้อถึงเริ่มมีอาการ) ของโรคนี้คือ 15-60 วัน

     6. ถามว่ามีวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบไวรัสอี.ไหม ตอบว่ามีใช้แต่เฉพาะในประเทศจีน ประเทศอื่นรวมทั้งประเทศไทยไม่มี..จบข่าว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Center of Disease Control (CDC). Hepatitis E Questions and Answers for Health Professionals. Accessed on April 26, 2019 at https://www.cdc.gov/hepatitis/hev/hevfaq.htm#section4