Latest

การใช้ชีวิตก็คือการเล่นขายของ

(หมอสันต์พูดกับสมาชิกรีทรีตผู้ป่วยมะเร็ง)

     เราเป็นมะเร็ง เรากลัวตาย กลัวความเจ็บปวด เป็นห่วงคนที่เรารัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเรามองชีวิตออกไปจากความเป็นบุคคลของเรา

     คำว่า “บุคคล” หรือ person นี้ รากของมันมาจากภาษาลาตินว่า persona ซึ่งหมายถึงเสียงที่ลอดออกมาจากหน้ากากเสียงที่ใช้แสดงละครกลางแจ้งในสมัยกรีกโบราณ ถ้าคุณไปดูพิพิธภัณฑ์แถบยุโรปก็จะเห็นหน้ากากแบบนี้บ่อยๆ มันเป็นหน้ากากเหล็ก ทำเป็นหน้าผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง คนแก่บ้าง คนหนุ่มคนสาวบ้าง ตรงปากจะเปิดกว้างและอาศัยริมฝีปากของหน้ากากทำงานแทนโทรโข่ง เพราะสมัยน้้นไม่มีเครื่องขยายเสียง นักแสดงคนเดียวเล่นเป็นตัวละครได้หลายตัว (หันไปทางโอ๋) โอ๋หากระดาษเอ.สี่ให้ผมสักแผ่นหนึ่งสิ

     (หมอสันต์พับกระดาษเป็นหน้ากาก แล้วฉีกเป็นรูตรงลูกตาและที่ปาก)

     ผมจะลองเล่นละครแบบนั้นให้ดูนะ (หยิบหน้ากากขึ้นมาบังหน้า ทำเสียงเป็นผู้หญิงกำลังโกรธสามี)

     “พี่ทำอย่างนี้กับอรและลูกได้ไง 
     อรทุ่มเททุกอย่างให้พี่และครอบครัวของเรา 
     อรออกจากงานมาดูแลลูก แต่พี่มาทำอย่างนี้กับอร”

     (ทำท่าวางหน้ากาก แล้วหยิบหน้ากากอีกอันขึ้นมาบังหน้า คราวนี้ทำเสียงเป็นผู้ชาย)

     “ใจเย็นๆน่าอร พี่ไม่ได้มีอะไรกับน้องเขาหรอก 
     เธอมาปรึกษางานพี่ก็แค่สอนงานให้”

    (วางหน้ากากลง แล้วหยิบขึ้นมาใหม่ คราวนี้กลับไปทำเสียงผู้หญิงกำลังโกรธจัด

     “พี่อย่ามาถูกตัวอรนะ 
     พี่ไม่ต้องมาเสแสร้งกับอร แค่นี้มันมากพอแล้ว 
     พี่ไปเลย  เราสองแม่ลูกอยู่กันได้ โน่นประตู พี่ไปเลย ไป๊..ไป๊…..ไป๊”

     เพื่อให้ท่านเข้าใจเรื่องความเป็นบุคคลได้ดีขึ้น ให้ผมเล่านิทานให้ฟังนะ เป็นนิทานที่ผมเป็นผู้แสดง คือชื่อของผม “สันต์” เนี่ย ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมนะ ชื่อนี้เพิ่งได้มาตอนเข้าโรงเรียน สมัยโน้นเด็กบ้านนอกไกลปีนเที่ยงเกิดมาจะยังไม่มีชื่อ ทุกคนก็เรียกผมว่าบ่าหำน้อย จนเมื่อผมจะ “ขึ้นเส้น” หมายถึงลงทะเบียนเข้าโรงเรียน ครูก็แนะนำพ่อแม่ว่าควรจะตั้งชื่อเท่ๆให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที พูดถึงขึ้นเส้น ผมไปโรงเรียนอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะได้ขึ้นเส้น เพราะผมไปโรงเรียนพร้อมกับพี่ชาย พี่ชายไปป.3 แล้วผมก็ยังอยู่ป.1 อยู่เพราะยังไม่ได้ขึ้นเส้น จนครูใช้ให้ผมไปยืนหน้าชั้นสอนก.ไก่ ข.ไข่ ให้เพื่อนๆแทนครูแล้วผมก็ยังไม่ได้เลื่อนชั้นเพราะยังไม่ได้ขึ้นเส้น เอาเป็นว่าในที่สุดผมจึงได้ชื่อนี้มา ซึ่งเพื่อนๆก็เปลี่ยนมาเรียกว่าผมว่า “ไอ้สัน” ตั้งแต่นั้นมา

     แล้ววันหนึ่งเมื่อผมอายุได้ 67 ปี พ่อก็มาหา พูดถึงพ่อมาหา ขอนอกเรื่องหน่อย เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาผมถามหมอสมวงศ์ว่าคุณทำสังฆทานเป็นไหม เธอบอกว่าทำเป็น ผมบอกเธอว่าพาผมไปทำหน่อยสิ ผมอยากจะทำบุญให้พ่อ เธอก็พาผมไปทำสังฆทานที่วัดผาสุขซึ่งอยู่ใกล้บ้านโดยไม่ได้ซักถามเอารายละเอียดอะไร

     กลับมาคุยกันเรื่องพ่อมาหาต่อ พ่อถามผมว่า

     “เอ็งจำได้ไหม ตอนเอ็งอายุหกขวบ พ่อให้หน้ากากชื่อ “ไอ้สัน” ให้เอ็งเอาไปใส่เล่น” ผมตอบว่า

     “จำได้” พ่อพูดว่า

     “พ่อมาเนี่ย พ่อจะมาขอหน้ากากนั้นคืน” ผมตาค้าง รีบขี้นเสียง

     “ได้ไงพ่อ ผมลงทุนลงแรงกับหน้ากากนี้มาชั่วชีวิตจนได้มาเป็นหมอสันต์อย่างทุกวันนี้ ถ้าไม่มีหมอสันต์แล้วลูกเมียผมละเขาจะอยู่กันอย่างไร แล้วคนไข้ของผมละ แล้วลูกน้องของผมซึ่งพวกเขาก็ต้องเลี้ยงดูลูกผัวเขาเองอีกคนละหลายปากละ พ่อกลับไปเถอะ อย่ามายุ่งกับผมเลย ผมไม่ให้หรอก” 

     พ่อต่อรองว่า

     “ถ้างั้นเอ็งสัญญากับพ่อว่าจะถอดหน้ากากนั้นวันหนึ่งสักสิบนาทีได้ไหม” ผมตอบโดยไม่ต้องคิดว่า

     “ไม่..ผมไม่ถอด ถ้าถอดแล้วเกิดผมใส่กลับไม่ได้ละ ผมก็ตายสิ” พ่อเงียบไปพักใหญ่ แล้วก็ล้วงไปในอกเสื้อ เอาหน้ากากอีกอันหนึ่งมายื่นให้ผม

     “เอ็งไม่ยอมถอดก็ไม่เป็นไร พ่อให้หน้ากากเอ็งไว้อีกอันหนึ่ง เอ็งสวมมันทับอันเก่าก็ได้วันละสิบนาที”
   
      ผมเอื้อมมือไปรับหน้ากากใสๆนั้นอย่างงงๆ ดูหน้าตามันไม่เหมือนคนเลย

     “มันชื่ออะไรอะพ่อ” พ่อยิ้มแล้วตอบว่า

     “มันชื่อผู้เกษียณแล้วจากชีวิต” ผมขึ้นเสียงว่า

     “หมายความว่าผมใส่หน้ากากนี้เท่ากับผมตายแล้วใช่ไหม” พ่อบอกว่า

     “เมื่อเอ็งเกษียณจากการทำงาน เอ็งไม่ได้ตายใช่ไหม วันหนึ่งเอ็งกลับไปที่ทำงาน เห็นหมอคนอื่นเขาผ่าตัดคนไข้เอะอะมะเทิ่งแทนเอ็งอยู่ เอ็งก็ยิ้มอย่างสบายใจแล้วบอกตัวเองว่าเอ็งไม่ต้องทำอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะเอ็งเกษียณแล้ว เอ็งจบกิจนั้นไปแล้ว 
     แต่เอ็งเกษียณจากงานแล้วก็จริง เอ็งยังไม่เกษียณจากชีวิต เลิกทำงานแต่เอ็งก็มายุ่งกับการอยากบรรลุเป้าหมายชีวิตเพราะเอ็งอยากจะหลุดพ้นอยากจะบรรลุธรรม พ่อว่าเอ็งยุ่งกว่าตอนที่เอ็งทำงานเสียอีก พอเอ็งใส่หน้ากากนี้ให้เอ็งมองว่าเอ็งจบกิจของชีวิตแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนบรรลุอะไรอีกแล้ว ถ้าเอ็งไม่อยากตายเอ็งก็สมมุติว่าเอ็งบรรลุธรรมแล้วก็ได้  เอ็งสมมุติเองเออเองไม่พูดให้ใครรู้ใครเขาจะไปว่าอะไรเอ็ง แค่วันละสิบนาที”

     ผมฟังพ่อพูดยืดยาวและคิดในใจว่าหากไม่ตัดบทพ่อก็คงไม่ยอมกลับ จึงพูดขัดขึ้นว่า

     “โอเค.พ่อ วันละไม่เกินสิบนาทีนะ” 

     รุ่งเช้าผมลองใส่หน้ากาก “ผู้เกษียณแล้วจากชีวิต” ที่พ่อให้มาดู พอใส่ปุ๊บเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นโทรจากหมอที่เคยรักษาผมตอนผมเป็นหัวใจขาดเลือด ตอนนี้เขาไปเป็นใหญ่อยู่ในคณะแพทยศาสตร์แห่งหนึ่ง

     “พี่. ตอนนี้โรงบาลผมได้เครื่องเพ็ทซีที.รุ่นใหม่มา ภาพคมชัดมาก พี่มาลองตรวจดูหัวใจพี่หน่อยไหมว่าเลือดมันเข้าไปได้ดีกว่าเดิมหรือเปล่า”

      ในหน้ากากของผู้เกษียณแล้วจากชีวิต ผมคิดในใจว่าผมจะไปเดือดร้อนตรวจดูมันทำไม หัวใจก็ไม่ใช่หัวใจของผมสักหน่อย มันเป็นหัวใจของหมอสันต์เขา จึงตอบน้องเขาไปว่า

     “ไม่ละน้อง ขอบคุณมาก พี่ขี้เกียจหาที่จอดรถ”

     วางหูแล้วก็รู้สึกว่าเออ…หน้ากากนี่ดีเหมือนกันแฮะ ธรรมดาในหน้ากากเป็นหมอสันต์ถ้าใครมาฟื้นฝอยทวนความจำว่าตัวเองป่วยอยู่ก็จะหงุดหงิดเพราะกลัวเสียฟอร์มว่าเป็นหมอแล้วไม่รู้จักดูแลตัวเอง และถ้าใครมาพูดว่าทำยังงั้นอย่างนี้แล้วจะหายป่วยก็จะรีบขวานขวายเพราะความกลัวตายและความอยากหาย แต่พอใส่หน้ากากนี้ไม่มีความรู้สึกลบๆหรืออยากได้ใคร่มีอย่างนั้นอีกเลย เฉยดีมาก อะไรก็รับได้หมด เพราะในฐานะผู้เกษียณแล้วจากชีวิต จะมีอะไรของคนที่ยังใช้ชีวิตที่ผู้เกษียณแล้วจากชีวิตจะยอมรับไม่ได้อีกละ

     เมื่อเห็นว่ามันดี ผมจึงสำเนาหน้ากากนี้มาแจกให้ท่านคนละอัน ท่านใส่มันวันละสิบนาทีนะ เอาเวลาส่วนตัวหนึ่งชั่วโมงของท่านก็ได้ ใส่แล้วมองโลกออกไปจากมุมของคนที่จบกิจของชีวิตทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็น จะต้องทำ จะต้องหนี จะต้องบรรลุอีกแล้ว จะได้มีเวลาอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่แท้จริงเสียที ลองดูนะ

(สมาชิกถาม)

     “แล้วละครชีวิตมันจบอย่างไรละคะ ไล่สามีออกจากบ้าน แล้วมันจะจบอย่างไร”

(หมอสันต์ตอบ)

     นึกภาพสมัยที่คุณเป็นเด็กเล่นขายของ ฉันขายขนมครก เธอขายขนมชั้น ฉันขอเป็นคุณนายจ่ายตลาดนะ ฉันเป็นขอทานดีกว่า แล้วทำท่าหลังโกงถือไม้เท้าเดินไปรอบๆปากพูดว่าทำบุญทำทานหน่อยเถิด.. บรรยากาศในตลาดกำลังคึกคัก ซื้อขายกัน ทอนเงินกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแม่เรียก

     “ลูก มากินข้าว”

     ตลาดขายของสลายตัวไปแว้บในฉับพลัน ไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำไปว่าก่อนเสียงแม่เรียกจะดังขึ้นนั้นใครกำลังซื้อขายอะไรได้แค่ไหนแล้ว ละครชีวิตก็จบแบบเดียวกัน เรื่องราวในละครจะเล่นกันมาถึงไหนไม่สำคัญ แต่ตัวผู้เล่นคือเด็กๆต้องลุกออกจากละครกลับไปหาแม่แล้วนั่นแหละสำคัญ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์