Latest

อกหักรักคุดเอาเมื่อห้าสิบ

อกหักค่ะ ไม่ใช่เด็กแล้ว อายุ 50 แล้ว แต่แก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกไม่ยอมรับว่าตัวเองถูกทิ้งได้ไง ตัวเองถูกหลอกได้ไง ตื่นขึ้นมามันไม่อยากเดินหน้าไปกับชีวิตปกติ ไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากเจอหน้าคน ร้องไห้มาก ใหม่ๆร้องแล้วได้ผล ต่อมาร้องแล้วไม่ได้ผล มีเศร้าบ่อย มีความคิดไม่อยากอยู่บ่อยๆ จะพูดกับใครก็ไม่รู้จะพูดกับใคร เพราะอายุขนาดนี้เรื่องอย่างนี้พูดกับใครก็ต้องระวัง มีแต่ปล่อยหางเลขใส่ใครต่อใครไปตามระเบียบโดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร นี่หกเดือนแล้ว อาการยิ่งแย่ลง ลังเลใจว่าจะไปหาจิตแพทย์ดีไหม สรุปว่าเขียนมาหาคุณหมอก่อนดีกว่า

……………………………………………….

ตอบครับ

     มีจดหมายอกหักรักคุดค้างอยู่สามสี่ฉบับ ผมเลือกของคุณมาตอบฉบับเดียวเพราะคุณสูงวัยกว่าเค้าเพื่อน คำตอบของผมแยกเป็นสามประเด็นนะ

     ประเด็นที่ 1. ปฏิสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ในการเกิดมามีชีวิตนี้ สูตรสำเร็จที่ใช้ได้ทั้งคนและสัตว์แม้กระทั่งสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างอะมีบาก็ตาม คือในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมมันมีสามปัจจัยเท่านั้น คือ

1. สิ่งเร้า (stimuli)
2. การสัมผัสกับสิ่งเร้า (contact)
3. การสนองตอบ (response)

     สิ่งเร้าคือสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกตัวเรา มีธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาโดยที่เราไม่อาจควบคุมได้ แฟนของคุณก็ดี การที่เขามาจีบคุณก็ดี หลอกคุณก็ดี ทิ้งคุณไปก็ดี ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งเร้าจากภายนอก คุณไม่อาจไปควบคุมได้ สิ่งที่คุณทำได้อย่างดีก็แค่ให้อภัยทาน แผ่เมตตาให้ แล้วเดินหน้ากับชีวิตของคุณต่อไป แบบว่า

     “….กรวดน้ำคว่ำขันรักกันชาติเดียว
     ล้างเกลียวสวาท
     หัวใจแทบขาด พลาดความหวังเคย ชื่นชม
     เจ็บจำไปนาน หลงเชื่อคำหวานภิรมย์
     รักจึงระทม ทุกข์ตรมทรวงใน…”

     ส่วนการสนองตอบของตัวคุณเองต่อสิ่งเร้านั้นคุณคุมมันได้ 100% นะ สัตว์อาจจะต้องปล่อยให้การสนองตอบเป็นไปตามสัญชาติญาณอัตโนมัติแต่คนสามารถคุมการสนองตอบได้ 100% เพราะคนมีสิ่งหนึ่งที่สัตว์ไม่มี คือความรู้ตัว ที่คุณเป็นทุกข์อยู่นี้คุณทุกข์เพราะการสนองตอบของคุณ ซึ่งคุณคุมมันได้ 100% ถ้าคุณจะคุม อยู่ที่คุณจะเลือกควบคุมมันหรือปล่อยมันให้เป็นไปตามกลไกการสนองตอบแบบอัตโนม้ติหมายความว่าปล่อยให้ความจำเก่าๆของคุณพาไป คุณเลือกได้ ตรงนี้เป็นผลงานของคุณเองนะ คุณจะเลือกเอาแบบสนองตอบไปแล้วคุณเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ คุณเลือกได้นะ แล้วที่คุณทุกข์อยู่นี่คุณเลือกเองนะ โทษใครไม่ได้

     ประเด็นที่ 2. คุณเป็นใคร การที่คุณบอกว่าคุณถูกทิ้งได้ไง ถูกหลอกได้ไง แสดงว่าคุณยังไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร คุณต้องตอบคำถามพื้นฐานนี้ให้ได้ก่อน

     “ฉันคือใคร”
     
     “Who am I?”

     คุณคิดว่าคุณคือบุคคลคนนี้ เป็นผู้หญิงชื่อนี้ นามสกุลนี้ เรียนจบเมืองนอกเมืองนามามากขนาดนี้ สวยขนาดนี้ บอกปัดผู้ชายธรรมดาๆไปแล้วตั้งหลายคน แล้วมาถูกหลอกด้วยผู้ชายไม่ธรรมดาคนนี้ได้ไง แต่ว่าทั้งหมดที่คุณว่ามานั้นมันเป็นแค่ความคิดของคุณนะ เป็นอัตตาหรืออีโก้ที่คุณคิดขึ้นเองทั้งนั้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว เพราะคุณค่อยๆคิดค่อยๆถักทอความเป็นบุคคลของคุณมาตั้งแต่เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษา คุณจึงเผลอคิดว่าความเป็นบุคคลของคุณมีตัวมีตนเป็นคุณจริงๆ แท้จริงมันเป็นแค่ความคิด ความคิดไม่ใช่คุณนะ คุณไม่ใช่ความคิด แม้ร่างกายก็ไม่ใช่คุณ มันอาจจะเป็นร่างกายของคุณแต่มันไม่ใช่คุณ เหมือนรถยนต์โตโยต้าเป็นของคุณแต่มันไม่ใช่คุณ ชีวิตประกอบด้วยสามส่วนคือ ร่างกาย ความคิด และความรู้ตัว คุณไม่ใช่ร่างกาย คุณไม่ใช่ความคิด คุณคือความรู้ตัว คุณต้องเข้าใจตรงนี้ให้แจ้งชัดก่อน ไม่งั้นคุณไม่มีทางพ้นทุกข์ คือ

     “..คุณต้องลืมคนที่คุณคิดว่าเป็นคุณไปก่อน 
     คุณถึงจะได้รู้จักคุณที่แท้จริงจากอีกมุมมองหนึ่ง”

     เอ้อ ตรงนี้มันลึกซึ้งนะเนี่ย หวังว่าคงเก็ทนะ เหมือนอย่างคุณเห็นเชือกกล้วยว่าเป็นงู คุณต้องลืมเรื่องงูไปก่อน คุณจึงจะหยิบใช้เชือกกล้วยได้ นั่นก็คือคุณจะต้องวางความคิดซึ่งมีความยึดถือในความเป็นบุคคลไปให้หมด ให้เหลือแต่ความรู้ตัว เปิดโอกาสให้ปัญญาญาณซึ่งเป็นส่วนของความรู้ตัวได้ฉายแสงสว่างนำทางชีวิตให้คุณ เมื่อไม่กี่วันมานี่ผมเพิ่งตอบคำถามใครสักคนหนึ่งไป เธอคนนั้นถามว่าจะทำให้ปัญญาญาณส่องสว่างขึ้นมาได้อย่างไร ผมตอบเธอไปว่าให้ทำ 1, 2, 3, 4, 5… คุณลองย้อนหาอ่านดูในบล็อกนี้ ผมเพิ่งเขียนไปสองสามวันนี้เอง ให้คุณหาอ่าน แล้วลงมือทำตามนั้น (https://visitdrsant.blogspot.com/2019/07/wcp1.html) แล้วแสงสว่างของชีวิตก็จะปรากฎแก่คุณเอง

     ประเด็นที่ 3.การดำรงอยู่ (existence) อาจเป็นสิ่งที่ลบทิ้งไม่ได้ ผมใช้คำว่าการดำรงอยู่เป็นคำแปลของคำว่า existence คำแปลนี้อาจจะฟังแม่งๆหน่อย จะเรียกว่าการรู้ตัวอยู่ก็คงได้มั้ง ประเด็นก็คือการดำรงอยู่หรือการรู้ตัวอยู่ หรือ “ธาตุรู้” นี้มันเป็นอะไรที่อาจลบทิ้งไม่ได้ รูปแบบของชีวิต (life form) อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ธาตุรู้นี้อาจดำรงอยู่อย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง คุณอกหักรักคุดไม่พอใจชีวิตนี้แล้วคุณไปฆ่าตัวตายด้วยความหวังว่าจะดับการรู้ตัวอยู่นี้เสียได้ มันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ สิ่งที่ดับไปคือร่างกายของคุณ แต่ธาตุรู้นี้อาจยังอยู่ ตอนนี้คุณเป็นคนอยู่ดีๆไม่ว่าดี ไปฆ่าตัวตาย ตายไปแล้วคุณอาจกลายไปเป็น “ผู้หิวกระหาย” (ภาษาบ้านๆเรียกว่าเปรต) แล้วจะดีหรือครับ

      คุณอาจจะย้อนผมว่าหมอสันต์รู้ได้ไงว่าตายแล้วไม่ตายเกลี้ยงหมดจดไม่เหลืออะไร ตอบว่าผมก็ไม่รู้หรอก ผมเองไม่ได้ “เชื่อ” แต่ก็ไม่ได้ปักใจ “ไม่เชื่อ” คือผมจัดไว้ในเรื่องที่ผมไม่รู้ คุณไม่เชื่ออะไรที่คุณไม่รู้นะดีแล้ว เมื่อไม่รู้คุณก็ต้องเปิดใจรับว่ามันมีสองความเป็นไปได้นะ คือตายแล้วสูญหมด กับตายแล้วแต่การรับรู้ยังอยู่ พอวันพรุ่งนี้มีสองความเป็นไปได้ การใช้ชีวิตในวันนี้คุณก็ต้องบริหารความเสี่ยงถูกไหม คือจะต้องทำอะไรแบบถนอมตัวไม่ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อยคุณก็จะได้ไม่มีอะไรเสียหาย แต่นี่ถ้าคุณไปฆ่าตัวตาย ถ้ามันออกหัวคือคุณไปโผล่เป็นเปรต..มันเสียหายไหมละ หิ หิ

     กล่าวโดยสรุป ให้คุณตัดหางปล่อยเขาไปเสีย Gone with the dog เอ๊ย.. ไม่ใช่

     “..Gone with the cold wind, 
     that swept into my heart.
     Gone with the lovers
     who let their dreams depart..”

     แล้วใช้โอกาสนี้เรียนรู้ชีวิตในมิติที่คุณไม่เคยเรียน เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตนะ ทุกโมเมนต์ของชีวิตเป็นความมหัศจรรย์ใหม่ๆ ยอมรับทุกอย่างที่ปรากฎที่เดี๋ยวนี้ เรียนรู้มัน อินกับเรื่องราวของความเป็นบุคคลนี้แค่พอสมควร แต่อย่าอินมากเกินไปเพราะมันเป็นเพียงความคิด สาระหลักของชีวิตคือใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่เราเกิดมามี แล้วคุณรู้แล้วหรือยังว่าศักยภาพเต็มๆของคุณมีอะไรบ้าง คุณเอาแต่จมอยู่กับความคิดอันเป็นของเก่าๆบูดๆอับๆจากอดีตแล้วคุณจะไปรู้ศักยภาพที่แท้จริงของชีวิตซึ่งเป็นปัญญาญาณที่อยู่พ้นออกไปจากความคิดได้อย่างไร คุณยังไม่ได้หันกลับเข้าไปข้างใน ยังไม่เคยวางความคิดให้เกลี้ยงเพื่อสัมผัสปัญญาญาณอันเป็นศักยภาพสูงสุดของความเป็นคุณเลย ก็มาคิดฆ่าตัวตายเสียแล้ว อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่าเกิดมาเสียชาติเกิด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์