Latest

เคยไหมที่คุณจะนั่งนิ่งๆเปิดโอกาสให้พระเจ้าได้พูดบ้าง

กราบเรียนอาจารย์ที่นับถือ
หนูชื่อ … อายุ … ปี ทำงานอยู่ที่ …. เคยมีแฟนแล้วแต่ต้องแยกกันไป ตอนนี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งขอร้องแกมบังคับให้หนูไปหาจิตแพทย์ หนูก็ไป และได้ยามาทานเยอะมาก เป็นยาช่วยนอนหลับบ้าง ช่วยลดความกังวลบ้าง ช่วยต้านซึมเศร้าบ้าง หนูยอมรับว่าหนูพูดน้อยลงไม่อยากสุงสิงกับใครจึงอยู่คนเดียวมากขึ้น หนูไม่คิดว่าตัวเองป่วยอะไร หนูยอมรับว่าหนูไม่มีความสุข แต่หนูก็ขยันอธิษฐาน ขยันภาวนา แทบจะไม่ห่างจากพระเจ้าเลยตลอดวัน ที่จิตใจหนูไม่สดใสหนูว่าเป็นเพราะส่วนหนึ่งหนูทนเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามที่ตำตาอยู่รอบๆตัวไม่ค่อยได้ อาจารย์คะ นอกจากการอธิษฐานภาวนาเป็นประจำแล้ว หนูควรจะดำเนินชีวิตเพิ่มเติมอย่างไรชีวิตจึงจะเป็นสุขสงบเย็นแบบอาจารย์ว่า

……………………………………………..

ตอบครับ

     1.  ประเด็นการอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ผมขอเริ่มด้วยการเล่านอกเรื่องก่อนนะ วันหนึ่งเสร็จจากสอนในแค้มป์แล้วผมขับรถจะกลับขึ้นบ้านบนเขา ผ่านบ้านเพื่อนเห็นไฟสว่างก็รู้ว่าเพื่อนอย่างน้อยสองสามคนต้องมากินข้าวเย็นด้วยกันที่นั่น จึงแวะเข้าไป ก็เป็นจริงดังคาดคือมีแขกหนึ่งคนกับเจ้าบ้านอีกสองคนกำลังนั่งคุยกันหลังอาหารอยู่ เหลือบเห็นขวดไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพร่องไปแล้วสองในสาม ไฮไลท์ที่จะเล่าก็คือ เมื่อต่างก็มึนได้ที่แล้ว ฝ่ายแขกก็พูดถึงประสบการณ์ของตัวเองอย่างออกรส พอฝ่ายเจ้าบ้านขยับจะพูดผสมโรงบ้าง ฝ่ายแขกซึ่งยังคุยไม่จบก็ยกมือห้ามแล้วคุยต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้นจนฝ่ายเจ้าบ้านยั้งเรื่องที่ตัวเองจะพูดไว้ก่อน สักพักก็เป็นเช่นนี้อีก คือฝ่ายเจ้าบ้านขยับจะพูดบ้าง ฝ่ายแขกที่ปากกำลังพูดมือก็ยกขึ้นห้ามเจ้าบ้านไว้อีกพร้อมกับพูดเสียงดังขึ้น เป็นเช่นนี้หลายครั้ง แต่บรรยากาศก็สนุกสนานดีตลอดเวลาราวหนึ่งชั่วโมงที่ผมร่วมแจมอยู่ด้วย จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมบอกลาเพื่อเดินทางกลับบ้านของตัวเอง

      เวลาคุณอธิษฐานกับพระเจ้า คุณเป็นแบบแขกที่มาคุยกับเจ้าบ้านที่ผมเล่าหรือเปล่า คือเวลาอยู่กับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณพูดอยู่ข้างเดียว คุณพูดแต่เรื่องของคุณ ซึ่งก็หนีไม่พ้นสามอย่างในใจคุณเท่านั้นแหละ คือ “ความกลัว” ของคุณ หรือไม่ก็ “ความหวัง” ของคุณ หรือไม่ก็ “ความรู้สึกผิด” ในเรื่องอดีตของคุณ คำว่าความหวังนี้มันมีแต่บางศาสนาเท่านั้นนะที่ถือว่าเป็นคำสูง แต่ในบางศาสนาเช่นศาสนาพุทธเขาใช้คำว่า “กิเลส” แทน ซึ่งแปลว่าของไม่ดี แต่มันก็อันเดียวกันกับความหวังนั่นแหละ คือคุณคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละทีมีแต่เรื่องต่อรองผลประโยชน์ของตัวคุณเองทั้งนั้น

     เคยไหม ที่เวลาคุยก้บสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุณจะนั่งนิ่งๆ เปิดให้โอกาสพระเจ้าได้พูดบ้าง เคยไหมที่คุณจะเป็นคนฟังบ้าง ถ้าคุณจะทำจริงๆมันก็ไม่ยากนะ คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อคุณเดินหรือนั่งบนสนามหญ้า ลองถอดรองเท้าออก ให้เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสหญ้า หลับตา ทำตัวเป็นหญ้า รับรู้ถึงความเปียกชื้นบนใบหญ้า รับกลิ่นแผ่วๆและเบาบางของหญ้า รู้สึกถึงน้ำค้างหรือหยดน้ำที่ราดรดแล้วติดค้างอยู่บนใบหญ้า รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นคุณ รู้สึกถึงแสงแดดที่ลูบไล้บนใบหญ้า ปล่อยวางความคิดไปหมด เหลือแต่ความรู้สึก เหลือแค่ feeling ไม่ว่าอยู่ในบรรยากาศแบบไหน สถานะการณ์แบบไหน ให้คุณหยุดคิดแล้ว feel สิ่งรอบตัวคุณอย่างนี้ ไม่ว่าเมื่อคุณแช่อยู่ในน้ำ นอนเกลือกบนผืนทราย มองดูดวงจันทร์หรือดวงดาวตอนกลางคืน มันมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่คุณจะวางความคิดของคุณทิ้งไป หันมารับรู้หรือ feel สิ่งรอบตัว แล้วจากนั้นทีละเล็กทีละน้อยคุณจะค่อยๆเริ่ม “รู้ตัว” โดยไม่ต้องอาศัยการคิดต่อยอดเอาจากข้อมูลที่ผ่านมาทางอายตนะทั้งห้าเลย คุณจะเริ่มรู้ว่านอกจากสิ่งต่างๆที่คุณรับรู้มาผ่านอายตนะทั้งห้าแล้วนี้ ยังมีอีก “สิ่งหนึ่ง” ที่ดำรงอยู่อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง และเป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ สิ่งนั้นผมเรียกว่าความรู้ตัว ตรงนั้นแหละคือความสงบเย็นที่คุณถามหา ซึ่งการจะไปตรงนั้นคุณต้องผ่านด่านหน้าด่านแรก คือวางความคิดทั้งหมดของคุณทิ้งไปก่อน นั่นคือเมื่อคุณจะไปหาพระเจ้าอีกครั้ง ให้คุณหยุดพูด หยุดอธิษฐาน เปิดโอกาสให้พระเจ้าได้พูดบ้าง แล้วคุณก็จะพบความสงบเย็น

     2. ประเด็นทนเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามที่ตำตาอยู่ไม่ค่อยได้ หรือพูดแบบบ้านๆว่าเป็นทุกข์เพราะความ “บ้าดี” ก่อนอื่นผมไม่ได้ต่อต้านคนบ้าดีนะ เพราะหากคนเราไม่เก็บกดสัญชาติญาณของสัตว์ในตัวเราไว้ด้วยคอนเซ็พท์ดีชั่ว มนุษย์ก็คงจะอยู่รวมกันแน่นขนัดเป็นฝูงอย่างนี้ไม่ได้ คุณบ้าดีโอเค. ก็ดี ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่คุณกำลังเป็นทุกข์เพราะความบ้าดีของคุณเอง คุณเป็นทุกข์เพราะความมืดรอบๆตัวคุณ ทุกข์นี้มันจะไม่หายไปไหนหรอกตราบใดที่รอบตัวคุณยังมืด แต่ทุกข์นี้จะหายไปนะ ถ้าคุณยอมรับก่อนว่าเออ..มันมืด แล้วจุดเทียนขึ้น ผมหมายความว่าถ้าคุณลงมือทำอะไรก็ได้เล็กๆน้อยๆในเขตอำนาจที่คุณทำได้ที่จะช่วยให้สังคมนี้ โลกนี้ ให้มันดีขึ้นอย่างที่คุณอยากจะให้มันเป็น คุณทำโดยไม่ต้องบอกใครก็ได้ คุณคงเคยได้ยินเรื่องของคนบางคนที่งุดๆๆปลูกต้นไม้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครรู้เห็นเลย กว่าคนอื่นจะรู้เรื่องของเขา เขาก็ปลูกต้นไม้ไปได้เป็นหมื่นเป็นแสนต้นแล้ว นั่นคือตัวอย่างของคนที่จุดเทียนไล่ความมืดรอบตัวเขาเท่าที่เขาพอมีกำลังทำได้ เทียนแค่ริบหรี่ของเขาไม่ได้ทำให้ความมืดในพื้นที่อัันกว้างใหญ่หายไปหรอก แต่ความทุกข์จากความบ้าดีของเขาหายไปทันทีที่เขาได้ลงมือทำอะไรสักอย่างให้กับสังคมและโลกที่เขาเป็นห่วง มันทำให้เขาลืมที่จะไปต่อรองผลประโยชน์ส่วนตนกับพระเจ้าอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงของมนุษย์เราไปเสีย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์