Latest

สมองเสื่อมแบบเป็นๆหายๆ

ผมรักษา major depressive disorder มาเป็นเวลา 5 ปี ปัจจุบันยังเป็นตรวจติดตามอยู่
แต่ระยะหลังสัก 10 เดือนที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าตัวเองจำๆ ลืมๆ เช่น ลืมว่าตรงนี้คือที่ไหน ลืมว่าตอนนี้มาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร บางครั้งผมงงว่าที่นี้มันคือที่ไหน ทั้งๆ คือเดอะมอลล์บางกะปิที่ผ่านทุกวัน ลืมว่าเดินทางมายังไง บางทีก็นั่งรถเมลล์สายผิด คิดว่าสายนี้กลับบ้านได้ บางทีก็เดินแล้วรู้สึกเบลอๆ เดินอยู่แต่ไม่รู้ว่ารอบข้างเป็นอย่างไร
อาการที่บอกเป็นอยู่สัก 2 เดือน แล้วหายเป็นปกติโดยไม่ได้มีการตรวจร่างกายเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนยาทางจิตเวช
แต่สัก 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา อาการเหล่านี้กลับมาอีก รุนแรงมากขึ้นคือจำๆลืมๆ บ่อยขึ้น เป็นนานขึ้น บางครั้งผมล้มไปเอง ขาเหมือนหมดแรงเดินไม่ได้ กอปรกับไอ เจ็บคอ ตัวร้อน
ตอนแรกจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะหวัดก็เลยให้หาหมอ หมอบอกเป็นหวัดเล็กน้อยได้ paracetamol, bromhexine (8), centrizine (10) มากิน ตอนนี้อาการหวัดจะหายแล้ว แต่เรื่องจำๆ ลืมๆ ยังไม่ดีขึ้นเลย
คิดว่าควรทำอย่างไรดี มีเพื่อนทักว่ายาที่มีผลต่อสมองมันเยอะไปหรือเปล่า น่าจะเกี่ยว? หรือควรไปตรวจอะไรกับใคร อย่างไร เพิ่มดีครับ
ยาจิตเวชตอนนี้กิน nortriptyline (20), lamotrigine (200), dipotassium clorazepate 3*(5), olazapine (2.5), alprazolam (0.25)
(ชื่อ) ……

…………………………………………………………….

ตอบครับ

     1. อาการที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นอาการของโรคสมองเสื่อม ไหนๆก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ขอนอกเรื่องเล่าให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นได้ทราบไว้เสียด้วยว่าอาการขั้นแรกของสมองเสื่อมมีสิบอย่าง แต่ว่าถ้ามีสักสองอย่างก็ถือว่าเริ่มเป็นสมองเสื่อมแล้ว คือ

     1.1 ขี้ลืม เริ่มด้วยการจำชื่อคนไม่ได้ แล้วก็จำเวลาและเหตุการณ์ในชีวิตไม่ได้ หลานสาวเป็นไข้ ตัวเองเป็นพยาบาลจึงเดินไปหยิบยาลดไข้ให้หลานสาว แวะตู้เย็นเอาน้ำเย็นเทจากขวดลงแก้ว แล้วก็กินยานั้นซะเองและดื่มน้ำตามเสร็จเรียบร้อย.. ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     1.2 วางของผิดที่เป็นประจำ  เช่นลูกสาวเขาเอาผ้าซักสะอาดแล้วเรียงไว้เป็นตับในตู้เสื้อผ้าให้ ตัวเองก็เอาเสื้อใช้แล้วมีกลิ่นอ่อยๆแทรกเข้าไปตรงกลาง ทำให้ทั้งตู้ฉุยไปด้วยกลิ่นอะไรก็ไม่รู้ เด็กผู้ดูแลถูกไล่ออกประจำเพราะถูกกล่าวหาว่าขโมยของ แต่ที่แท้เป็นเพราะตัวเองเอาของไปวางผิดที่

     1.3 ทำอะไรที่เป็นขั้นตอนไม่ได้ เพราะสติและสมาธิเสียไปแล้ว ดังนั้นอะไรที่ต้องใช้สติสมาธิหลายชั้น (complex attention) จะทำไม่ได้เลย เช่นเปิดตำราแล้วจะทำกับข้าวตามตำราก็ทำไม่ได้แล้ว จะจ่ายเงินจ่ายทองชำระบิลค่าต่างๆก็ทำไม่ถูก จะเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ก็เปลี่ยนไม่ถูก จะทำคอมก็ลืมขั้นตอน จะใช้เครื่องชงกาแฟก็ลืมวิธี เห็นเพื่อนๆเขาซื้อของทางอินเตอร์เน็ทก็อยากซื้อตามบ้าง แต่สั่งซื้อไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเขาตัดเอาเงินของตัวเองไปหรือยัง แถมไม่ได้ของอีกต่างหาก เพราะจำขั้นตอนการสั่งไม่ได้

     1.4 สับสนเรื่องเวลาสถานที่ มีคนเห็นเด๋อด๋าอยู่จึงพาไปส่งตำรวจ ตำรวจถามว่าเมื่อเช้าก่อนมานี่อยู่ที่ไหนก็ตอบไม่ได้ เพราะเมื่อเช้านี้คือเมื่อใดยังไม่เข้าใจเลย วันเดือนปีไม่ต้องพูดถึงไล่ไม่ถูกหรอก อยู่ที่ไหนก็ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ ทั้งนี้เป็นเพราะคอนเซ็พท์เรื่องเวลา (time) และการจัดตัวของสรรพสิ่งในช่องว่างในเชิงกว้างยาวลึก (space) เสียไปแล้ว

     1.5 ใช้ภาษาติดๆขัดๆ ไม่ว่าจะพูด หรือจะเขียน ติดขัดหมด เขียนอะไรไปก็ไม่มีใครอ่านออก ตัวเองก็ยังอ่านไม่ค่อยออกเลย คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เพราะนอกจากจะจำก็ไม่ได้ว่าเรื่องนี้ตอนนี้พูดไปแล้วหรือยังแล้วยังมีปัญหาเรื่องการพูดไม่ถนัดออกเสียงก็ไม่ถูกอีก ทำให้คนเขาเข้าใจตัวเองผิดอยู่เรื่อย

     1.6 บุคลิกอารมณ์เปลี่ยนไป ลมขึ้นลมลงไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย บัดเดี๋ยวโกรธ บัดเดี๋ยวกลัว บัดเดี๋ยวเศร้า บัดเดี๋ยวระเบิด ที่จะแจ่มใสอารมณ์ดีให้คนรอบข้างเห็นนั้นมีน้อย

    1.7 ถดถอยจากสังคม ไม่สนใจจะยุ่งเกี่ยวกับใครแล้ว ไม่พูดกับใคร ใครจะพูดว่าอะไรก็ไม่ฟัง งานอดิเรกที่เคยชื่นชอบหากต้องไปยุ่งเกี่ยวกับผู้คนก็หยุดหมด

   1.8 การกะระยะและแยกสีด้วยสายตาเสียไป ขับรถชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย แยกสีไม่ได้ เวลาซื้อของหยิบได้แต่ของเก่าเพราะดูสีแล้วนึกว่าของใหม่

     1.9 การเคลื่อนไหวและทรงตัวเสียไป แม้แต่จะเดินบางครั้งก็เดินไม่ถูก ต้องเอาขาไหนออกหน้าดี ต้องยกหัวแม่ตีนก่อนหรือเตะเท้าก่อน มีปัญหาไปหมด แถมหกล้มง่ายมาก แบบที่ไม่รู้ตัวด้วยว่าลงไปนอนแอ้งแม้งได้อย่างไร

     1.10 ดุลพินิจ (judgement) แย่ ตัดสินใจอะไรผิดๆ ชั่งน้ำหนักไม่ได้ว่าอย่างไหนเรียกว่ายุติธรรม อย่างไหนเรียกว่ามีเหตุผล เวลาซื้อของก็มักถูกโขกราคาเกินเหตุ หรือไม่ก็ทะเลาะกับคนขายหาว่าเขาขายของแพง เสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองก็ประเมินไม่ได้ว่าอย่างนี้เรียกเขาว่าเยินหรือยู่ยี่แล้ว

      ในกรณีของคุณ อาการเรียกได้ว่ารุนแรงแล้ว เพราะนอกจากจะขี้ลืมซึ่งเป็นอาการพื้นฐานแล้ว ยังมีอาการสับสนในเรื่องเวลาและสถานที่ และสูญเสียการทรงตัวและการเคลื่อนไหวอีกต่างหาก

     2. ถามว่าอาการสมองเสื่อมของคุณเกิดจากอะไร ตอบว่าในกรณีที่กินยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางอยู่อย่างคุณนี้ ให้ถือว่าสมองเสื่อมจากยาไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ เพราะยาที่คุณให้ชื่อมาเป็นยาออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางทุกตัว ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางทุกตัวทำให้สมองเสื่อมได้หมด เมื่อหยุดยาหมดทุกตัวแล้วอาการยังไม่หายก็ค่อยไปโทษสาเหตุอื่น เช่น การใช้ได้รับสารพิษต่อระบบประสาทกลาง เช่น แอลกอฮอล์ กัญชา โลหะหนักต่างๆ การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง อันได้แก่วิตามินเกลือแร่สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ การเป็นโรคบางโรค เช่นโรคพาร์คินสัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น

     4. ถามว่าคุณควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ตอบว่าก็ต้องทำสองขั้น คือ

     4.1 ไปตั้งต้นที่แพทย์ทางด้านประสาทวิทยา (neurologist) เพื่อตรวจประเมินความเสียหายของสมองให้เป็นรูปธรรมและหาสาเหตุของสมองเสื่อมในส่วนที่อาจแก้ไขได้ รวมทั้งค้นหาสารพิษต่อสมองที่ได้รับมาว่ามีตัวไหนบ้าง แล้วลดละเลิกเสียให้หมด

     4.2 แล้วก็กลับมาดูแลตัวเอง ในห้าประเด็นคือ

     (1) การหลีกเลี่ยงสารพิษต่อระบบประสาทกลาง ขอคุณหมอลดยาลงเหลือเท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ อย่าไปเห่อกัญชาตามคนอื่นเขา ตรวจเลือดดูระดับโลหะหนักตัวเอ้ๆเช่นปรอท สารหนู ตะกั่ว ถ้ามีมากก็ต้องค้นหาว่ามันเข้ามาทางไหนแล้วแก้ไขเสีย

     (2) การเปลี่ยนอาหาร เพื่อให้ระบบประสาทกลางได้รับไวตามินเกลือแร่และสารต้านอนุมูลอิสระที่พอเพียง อาหารที่ดีที่สุดสำหรับการนี้คืออาหารพืชเป็นหลัก หมายความว่าอาหารมังสวิรัติ ทั้งนี้ควรเสริมวิตามินบี.12 ด้วย

     (3) การออกกำลังกาย มีงานวิจัยมากพอที่จะสรุปได้ชัดแล้วว่าสมองเสื่อมป้องกันได้ส่วนหนึ่งด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิกควบกับการเล่นกล้ามและเสริมการทรงตัว

     (4) การฝึกสติสมาธิ เพื่อให้กลับมาทำงานที่ต้องใช้สติสมาธิซับซ้อนหลายขั้นหลายตอนได้ นอกจากการฝึกผ่านกิจกรรมเช่นนั่งสมาธิ รำมวยจีน โยคะแล้ว ปัจจุบันนี้ยังมีแบบฝึกการทำงานของสมองเป็นขั้นๆในลักษณะเกมสำหรับคนแก่ซึ่งคนญี่ปุ่นทำขาย จะซื้อมาฝึกก็ไม่เสียหลาย

      (5) ตากแดด เพราะแดดนอกจากจะให้วิตามินดี.ซึ่งสมองขาดไม่ได้แล้ว ยังเป็นตัวจัดรอบการปล่อยฮอร์โมนควบคุมการหลับและตื่นซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีสมองที่แจ่มใสไม่ง่วงเหงาเซาซึมด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์