Latest

อยากอยู่กับปัจจุบันแต่ไม่รู้ว่าอยู่อย่างไร

กราบเรียนคุณลุงหมอสันต์ ใจยอดศิลป์
หนูอายุ 15 ปี เรียนชั้น… โรงเรียน… จังหวัด … คุณพ่อส่งลิงค์บล็อกของคุณลุงมาให้หนูอ่านบ่อยๆ หนูสนใจที่คุณลุงหมอชอบพูดถึงการอยู่กับปัจจุบัน แต่หนูไม่รู้ว่าถ้าหนูจะอยู่กับปัจจุบันจริงๆแล้วหนูต้องทำอย่างไร คุณลุงหมอบอกวิธีทำเป็นขั้นๆ เป็น step เป็น step ได้ไหมคะ

………………………………………………..

ตอบครับ

     หิ หิ สมัยนี้ เด็กๆคิดแบบหุ่นยนต์เลยนะ ทุกอย่างต้องมี algorithm คือเป็นสะเต็พ สะเตพ โอเค้ โอเค. ผมจะลองเล่นในจังหวะหรือ step step step แบบที่หนูถนัดบ้างนะ ผมชักรู้สึกสนุกขึ้นมาซะแล้ว

     ..แถ่น แทน แท้น…การเดินทางสู่ปัจจุบัน อย่างเป็นขั้นเป็นตอน step step step

     ขั้นที่ 1. รับรู้ (aware) สิ่งรอบตัว ทิ้งความคิดไปก่อน ให้มาสนใจภาพ เสียง สัมผัส รอบๆตัว

     ขั้นที่ 2. ยอมรับ (accept) ด้วยว่าสิ่งนี้มันมีอยู่ที่นี่แล้ว อย่าไปปฏิเสธว่ามันไม่ดี มันไม่ควรมาอยู่นี่ อย่าทำอย่างนั้น แค่ยอมรับมันว่า จะดีหรือไม่ดีมันก็อยู่นี่แล้ว

     ขั้นที่ 3. ซาบซึ้ง (appreciate) รายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อยของสิ่งรอบตัว ซึ่งเราอาจไม่เคยสนใจมาก่อน คำว่าซาบซึ้งนี้เป็นความรู้สึกหรือ feeling นะ ไม่ใช่ความคิด คือในขั้นนี้หนูต้องหัด feel สิ่งรอบตัว แบบรู้สึกเอา ไม่ใช่คิดเอา เช่นมองก้อนหินก็มองอย่างซาบซึ้งถึงรูปลักษณ์ของมัน เห็นลูกหมาน้อยก็ซาบซึ้งในความรู้สึกน่ารัก มองแสงแดดส่องลอดก้อนเมฆก็ซาบซึ้งในความรู้สึกละเมียดละไมแฝงความมีชีวิตชีวา อยู่ท่ามกลางฝูงคนในสถานีรถไฟฟ้าก็ซาบซึ้งกับพลังที่เป็นความสงบเย็นที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของผู้คน อย่างนี้เป็นต้น

     ขั้นที่ 4. ให้หนูคอยถามตัวเองว่ามีอะไรอื่นอีกไหมในเดี๋ยวนี้ที่นอกเหนือไปจากที่เห็น ได้ยิน สัมผัส คำตอบก็คือไม่มีแล้ว มีแค่นี้แหละ นอกจากนี้เป็นความคิดซึ่งไม่ใช่ส่วนของเดี๋ยวนี้ ในขั้นนี้คืออย่าเผลอไปยุ่งกับความคิด ให้ปล่อยให้มันผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป โดยไม่ต้องไปใส่ใจคิดต่อยอดหรือต่อต้าน แล้วหันมาอยู่กับสิ่งรอบตัวที่เดี๋ยวนี้ที่รับรู้ได้ในรูปของภาพเสียงสัมผัสเท่านั้น คำว่าความคิดนี้ผมหมายความรวมถึงสิ่งกระตุ้นความคิดเช่นสมาร์ทโฟน เฟซ ไลน์ อีเมล์ ทีวี. หนังสือ ด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ส่วนของเดี๋ยวนี้ มันเป็นส่วนของความคิดที่ลากเราออกจากเดี๋ยวนี้ไปอยู่ในอนาคตหรืออดีต ระวังนะ อย่าเสียรู้มัน มันเป็นพรายกระซิบที่มักจะแอบกระซิบราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย แบบว่า

     “ต๊งเหน่ง!..ต๊งเหน่ง!..เรื่องนี้สำคัญนะ คุณต้องสนใจ ตามฉันมา”  

     ให้แค่รู้ทัน ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา และผ่านออกไป อย่าไปเผลอคิดต่อยอด เหมือนท้องฟ้าปล่อยให้ก้อนเมฆผ่านมาและผ่านออกไป

    ขั้นที่ 5. นอกจากจะรับรู้รับรองสิ่งรอบตัวที่เห็นได้ยินและสัมผัสได้แล้ว คราวนี้ให้หนูรับรู้พลังชีวิตของหนูด้วย ว่าหนูกำลังมีชีวิตอุ่นๆอยู่ที่นี่นะ ขั้นนี้ก็คือ body scan ที่ผมพูดถึงบ่อยๆ ถ้ายังไม่รู้จักและทำไม่เป็น ให้ฝึกทำง่ายๆอย่างนี้ หลับตาลง แล้วยกสองมือขึ้นมาเสมอข้อศอกเหมือนเวลาหนูกำลังยืนพูดอยู่หน้าชั้น แล้วถามตัวเองว่า

     “ถ้าฉันหลับตาอยู่อย่างนี้ ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่ามือของฉันอยู่ที่ไหน”

     หนูไม่อาจรู้ตำแหน่งของมือหนูได้ด้วยการคิดเอาดอก ทางเดียวที่หนูจะรู้ได้คือหนูพยายามรู้สึก (feel) ถึงความรู้สึกบนฝ่ามือ พยายามอยู่สักพัก หนูก็จะรู้สึกถึงความรู้สึกบนฝ่ามือ มันเป็นความรู้สึกแบบว่าวูบๆวาบๆจิ๊ดๆจ๊าดๆเหน็บๆชาๆซู่ๆซ่าๆ นั่นแหละหนูกำลังรับรู้ถึงพลังชีวิตหรือปราณาหรือชี่ของหนูเอง โดยวิธีนี้หนูก็จะบอกได้ว่ามือหนูอยู่ตรงไหน คราวนี้หนูทำอย่างนี้กับทั่วร่างกาย ไม่เฉพาะมือ จนคุณรู้สึกถึงพลังชีวิตที่อาบหรือห่อหุ้มหรือซ้อนทับอยู่ทั่วตัวหนู การรับรู้พลังชีวิตนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรับรู้ปัจจุบัน ภาพเสียงสัมผัสเป็นปัจจุบันภายนอก พลังชีวิตเป็นปัจจุบันภายใน สองอย่างนี้รวมกันหนูก็มาอยู่ในปัจจุบันเกือบจะสมบูรณ์แล้ว นี่เป็นฐานที่มั่นที่จะทำให้ความคิดเจาะเข้ามาได้ยาก

     ขั้นที่ 6. ในระยะต้นของการฝีกฝนนี้ ไม่ว่าหนูปักหลักแน่นอยู่กับฐานที่มั่นของหนูอย่างไรก็ตาม ความคิดก็จะเจาะเข้ามาจนได้ ในขั้นนี้ให้หนูใช้ประโยชน์จากความคิดที่เจาะเข้ามา คือนอกเหนือจากการรับรู้ (aware) และรับรอง (acknowledge) ว่ามีความคิดเจาะเข้ามาแล้ว ให้หนูสังเกตรับรู้ช่องว่างหลังจากความคิดที่หนึ่งหมดลง และก่อนที่ความคิดที่สองจะเข้ามา ให้หนูฉวยโอกาสสังเกตรับรู้ความว่างระหว่างสองความคิดตรงนั้น นี่มันเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นะ คือหนูจะค้นพบว่าในความเป็นหนูนี้ไม่ใช่มีแค่ความคิดที่ไหลต่อเนื่องกันมาไม่รู้จักหยุดหย่อนเท่านั้น แต่ในช่องว่างระหว่างแต่ละความคิดมันยังมีอะไรอยู่อีกอย่างหนึ่ง มันเป็นความตื่นอยู่แต่ปลอดความคิด ให้หนูสังเกตมัน และซาบซึ้งหรือ feel มันอย่างละเอียด หนูจะรู้สึกว่า ฮ้า..า หนูได้มาอยู่กับตัวเองจริงๆแล้ว ไม่ใช่ตัวเองที่เป็นบุคคลที่มีเรื่องราวประกอบเป็นอัตลักษณ์ของหนู แต่ตัวเองที่เป็น “ความรู้ตัว” ที่ทะลุข้าม (transcend) สำนักว่าเป็นบุคคลและภาพเสียงสัมผัสใดๆที่รับรู้ได้จากภายนอก

     ในขณะเดียวกันที่มันฝ่าข้ามทุกสิ่งทุกอย่างได้ ความรู้ตัวนี้เองก็ทำตัวเป็นพลังที่ทำให้หนูสามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ เป็นพลังที่ทำให้หนูรับรู้ภาพเสียงสัมผัสได้ เป็นพลังที่ทำให้หนูรับรู้ความคิดได้ เป็นพลังที่ทำให้หนูรับรู้พลังชีวิตของหนูได้ ถ้าไม่มีความรู้ตัวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตหนูนี้ก็จะไม่มี ดังนั้นความรู้ตัวนี้จึงเป็นสารัตถะที่แท้จริงของคำว่า “ปัจจุบัน” การอยู่กับปัจจุบัน ก็คือการมาอยู่กับความรู้ตัวนี้นั่นเอง ตรงนี้เป็นที่สงบเย็นและเป็นที่ที่จะทำให้ชีวิตทั้งชีวิตนี้มีแต่พลังสร้างสรรค์โดยไม่ทุกข์ ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้หนูยังไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือไม่จริง จนกว่าหนูจะได้ทดลองลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว

     โอ้ โฮ ผมตั้งใจจะพูดแบบเล่นๆกับเด็กอายุสิบห้า แต่สิ่งที่พูดไป แฟนๆบล็อกที่เป็นผู้ใหญ่หรือผู้คงแก่เรียนทั้งหลายจะลองเอาไปใช้ดูก็ได้นะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์