Latest

ให้ลูก ลูกก็ไม่เอา เออ..แล้วผมจะหาไปทำไม

     วันนี้แฟนบล็อกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ป่วยของผมด้วย ได้มีโอกาสนั่งคุยกับผมราวสิบห้านาที ผมเห็นว่าเนื้อหาสาระมีประโยชน์จึงขออนุญาตท่านนำมาเผยแพร่ ท่านอนุญาตให้เปิดเผยชื่อท่านด้วย แต่ผมขอไม่เปิดเผยชื่อดีกว่าเพราะไม่อยากให้คนที่ไม่เข้าใจเจตนาของท่านไปว่าท่านในเชิงลบ แต่ผมยืนยันให้ท่านผู้อ่านมั่นใจว่านี่เป็นประสบการณ์ในการใช้ชีิวิตจริงๆ ของผู้สูงอายุวัย 72 ปี ตัวเป็นๆคนหนึ่ง ผมเรียกชื่อปลอมท่านว่า “คุณ ษ.” ก็แล้วกัน

นพ.สันต์

     ชีวิตประจำวันของพี่?

คุณ ษ.

     ผมตื่นแต่เช้า นั่งสมาธิวันละหนึ่ีงชั่วโมงตอนหกโมงเช้า ทำอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ตอนแรกผมตื่นมานั่งสมาธิตอนตีสาม แล้วเข้านอนต่อ แต่ตอนหลังนี้เปลี่ยนเป็นหกโมงเช้า จบแล้วจะได้ออกกำลังกายเลยโดยไม่ต้องกลับไปนอนอีก จบสมาธิแล้วก็ไปเดินออกกำลังกายรอบหมู่บ้านอีกหนึ่งชั่วโมง ผมติดเครื่องนับก้าวด้วย ตั้งใจเดินให้ได้วันละ 10,000 ก้าวเป็นอย่างต่ำ ทำอย่างนี้ทุกวัน

     มื้อเช้าผมกินสลัดอย่างเดียว พอสายก็ไปทำงาน ผมถึงที่ทำงานสิบโมงเช้า ราวบ่ายสองผมก็กลับ กินอาหารกลางวันที่ที่ทำงาน ส่วนใหญ่มื้อกลางวันผมกินอาหารญี่ปุ่น กินสลัดจานหนึ่งก่อน แล้วกินอาหารญี่ปุ่นตามถ้ายังหิว ตกเย็นผมกินข้าวเย็นกับแฟน เรากินมังสะวิรัติ แต่ก็มีบ้างที่เราไปกินนอกบ้าน ซึ่งก็กินอาหารปกติทั่วไป

     เออ มีเรื่องปรึกษาคุณหมอเรื่องหนึ่ง เมื่อวันก่อนตอนไปกินนอกบ้านด้วยกัน แฟนผมกินกุ้งใหญ่ไปสี่ตัวแล้วมีอาการจุกแน่นหน้าอก อย่างนี้ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือเปล่าครับ

หมอสันต์

     ไม่ต้องหรอกครับ คนที่กินอาหารพืชเป็นประจำอยู่ๆไปกินอาหารเนื้อสัตว์คราวละมากๆก็จะมีอาการอย่างนี้ทุก เพราะระบบย่อยอาหารปรับตัวกับอาหารที่เปลี่ยนกะทันหันไม่ทัน แบคทีเรียในลำไส้ก็ปรับตัวไม่ทันด้วย มีบางคนกลับไปบ้านแล้วนอนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นนั่ง นี่เป็นเรื่องธรรมดา

     พี่นั่งสมาธิได้วันละเป็นชั่วโมงทุกวันเนี่ยเก่งมากนะที่ทำใด้สม่ำเสมอ

คุณ ษ. 

     หนึ่งชั่วโมงนี่แป๊บเดียวนะ ผมตั้่งนาฬิกาไว้ อ้าว หนึ่งชั่วโมงแล้วหรือ

นพ.สันต์

     พี่นั่งสมาธิทุกวัน ใจพี่สงบได้แค่ไหนครับ มันได้ประโยชน์อะไรบ้าง

คุณ ษ.

     ก็สงบนะ เวลานั่งสมาธิใจผมปลอดความคิด ออกจากสมาธิแล้วมันทำให้ผมไม่กังวลอะไรมาก ผมนอนหลับดี ตื่นคืนละหนึ่งครั้ง การที่ใจผมสงบทำให้ผมปล่อยวางเรื่องต่างๆในชีวิตได้ง่ายขึ้น พูดถึงการปล่อยวางนี้มันเกิดจากประสบการณ์อื่นๆในชีวิตด้วย

นพ.สันต์

     เช่น?

คุณ ษ.

     ผมเคยคิดแบบคนอื่นๆทั่วไปว่าเราต้องทำงานหาเงินสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้ครอบครัว และผมก็ทำอย่างนั้นตลอดมา จนวันหนึ่งเมื่อลูกของผมเรียนจบปริญญาเอก ผมหารือกับภรรยาแล้วตกลงกันยกมรดกให้เธอครึ่งหนึ่ง เพราะเธอเป็นลูกคนเดียว สามสิบล้าน แต่ลูกปฏิเสธอย่างสุภาพ ว่า…ไม่เอาสักบาท ผมจึงคิดขึ้นได้ว่าเออ.. แล้วผมจะหาไปทำไมวะเนี่ย ลูกก็ไม่เอา ตายไปผมก็เอาไปด้วยไม่ได้

     ชีวิตผมทุกวันนี้จึงมีแต่ให้ ผมหาโอกาสให้ ให้ ให้ เจอขอทานผมให้เงิน นี่ผมเพิ่งกลับจากอินเดีย ผมไปนอนวัด จะอาบน้ำพบว่าน้ำไม่ไหล ถามแม่ชีได้ความว่าปั๊มน้ำเสียมานานแล้ว จึงสูบไม่ได้ ผมขอให้แม่ชีเรียกช่างมา ถามว่าปั๊มราคาเท่าไหร่ ช่างตอบว่าหมื่นกว่าบาท เอา..ผมจ่าย ลงมือซ่อมกันเลย ทำไปทำมาหมดไปสามหมื่นกว่าบาท ตั้งแต่เปลี่ยนซับเมอร์สบาดาล กลับมาแล้วผมโทรศัพท์ไปถามแม่ชีว่ายังเวอร์คดีอยู่ไหม เธอตอบว่ายังเวิร์คดีอยู่ แถมได้อาบน้ำอุ่นด้วยเพราะเงินที่ผมให้ไว้ยังเหลือติดเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำได้ด้วย

     ผมกับภรรยาตั้ังกองทุนการศึกษาให้เด็กที่ยากจนแต่อยากจะไปเรียนหนังสือเมืองนอกให้ได้ไปเรียนที่ีอินเดีย คือเด็กมาแต่ตัวและหัวใจ ผมออกให้หมดแม้กระทั่งสมุดดินสอ กองทุนนี้ทำมาพักใหญ่ ส่งเด็กไปเร่ียนแล้วหลายคน และยังทำอยู่ต่อเนื่อง

นพ.สันต์

     พี่เอาแต่ให้ไม่กลัวยากจนหรือกลัวเงินหมดหรือ

คุณ ษ.

     ฮึ.. ผมไม่กลัวจน ความจริงผมวางแผนทางการเงินไว้แล้วตั้งแต่ตอนอายุหกสิบ ว่าถ้าผมกับแฟนใช้เดือนละแสน เงินก็จะพอใช้ไปจนเราอายุ 92 ปี แต่นี่ผ่านไปสิบสองปีแล้วเราสองคนยังไม่ได้ใช้เงินที่เราเตรียมไว้เลย เพราะผมก็ยังทำงานมีรายได้อยู่ ดังนั้นเงินที่ผมมี หากผมใช้แบบธรรมดาๆที่ผมใช้อยู่ ผมใช้จนตายยังไงก็ไม่หมด

     อีกเรื่องหนึ่ง แม่ผมตายต่อหน้าผม นอนตายอยู่บนพื้นอย่างนี้ แม่ผมมีชีวิตแบบคนจน ผมให้เงินเลี้ยงดูแม่มาตลอด แต่หลังจากแม่ตายแล้ว ผมถึงค่อยมาพบว่าแม่เก็บหอมรอมริบทิ้งเงินไว้ให้ตัวผมเองตั้ง 20 ล้าน โธ่ ผมจะเอาเงินแม่มาลงคอได้อย่างไร ผมก็เลยต้องทิ้งไว้เป็นเงินกองกลาง ไปภายหน้าพวกหลานๆหรือเหลนๆใครขัดข้องเรื่องเรียนไม่มีเงินให้เอาเงินนี้ไปเรียน เรียนจบแล้วหาเงินได้ก็หามาใช้เพื่อให้รุ่นต่อๆไปได้ใช้ประโยชน์จากกองกลางนี้ต่อ

นพ.สันต์

     คนสูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ดี นั่งสมาธิวันละชั่วโมง ออกกำลังกายวันละชั่วโมงทุกวัน ดูแลอาหารการกินตัวเองได้ จิตใจปลอดโปร่งไม่คิดกังวลอะไร หาได้ยากนะครับ คนสูงอายุส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการใช้ชีวิตแบบนี้จะเป็นไปได้ ผมขออนุญาตเอาเรื่องของพี่ไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ไหม

คุณ ษ.

     ได้เลยครับ จะบอกชื่อจริงผมด้วยก็ได้ เพราะผมพูดอย่างนี้จริงๆ ใช้ชีวิตอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวคนอื่นจะรู้ว่าผมพูด แต่ผมว่าคนส่วนใหญ่เขาก็ทำกันอย่างนี้อยู่แล้วนะครับ

นพ.สันต์

     ไม่หรอกครับ เอาตัวอย่างแค่ผู้สูงอายุที่ผมดูแลอยู่ทุกวันนี้สองสามร้อยคนก็ได้ ส่วนใหญ่ ผมให้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยังมีชีวิตที่เป็นทุกข์อยู่ในความคิด คนไข้ของผมทุกคนมีเงินนะ ไม่มีใครจน แต่ว่าส่วนใหญ่ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนในแต่ละวันชีวิตจมอยู่ในความคิดความกังวลจนเป็นเหตุให้ซึมเศร้าและเป็นทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนอกตัว เรื่องของคนอื่น เช่นลูกหลานเป็นต้น จะหาผู้สูงอายุที่ฝึกสมาธิถึงจุดที่ปล่อยวางความคิดได้อย่างพี่นี้มีไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์ ผมจึงอยากจะเผยแพร่เรื่องของพี่ให้ผู้สูงอายุคนอื่นเห็น ว่าโอ้..ผู้สูงวัยใช้ชีวิตอย่างนี้จริงๆก็ได้ด้วยหรือ มีคนใช้ชีิวิตแบบนี้อยู่จริงๆตัวเป็นๆด้วยหรือ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์