Latest

กลุ้มใจลูกชายวัยรุ่นไม่สุงสิงกับใคร

เรียนถามนพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
     ดิฉันกำลังมีปัญหากับลูกชายจนดิฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ … ได้แนะนำให้ดิฉันเขียนจดหมายมาหาคุณหมอ ลูกชายอายุ 27 ปี เรียนจบปริญญาโทธุรกิจจาก … สหรัฐอเมริกา ทำงานได้สองสามแห่ง แห่งละสองสามเดือน แล้วก็หยุดทำงาน เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ไม่ออกไปไหน ไม่ยุ่งกับใคร อยู่แต่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นอย่างนี้มาเกือบปีแล้ว ดิฉันพยายามถามพยายามคุยเขาก็หงุดหงิดอารมณ์เสีย ดูเขากินน้อยลง ผอมลง ดิฉันกลุ้มใจมาก … แนะนำให้พาเขาไปหาจิตแพทย์ เขาไม่ไปแถมโกรธด้วย ชวนไปทำบุญที่วัดก็เอะอะโวยวายเพราะเขาไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ … จึงแนะนำให้ดิฉันเขียนมาหาคุณหมอ ดิฉันอยากถามว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคกลัวสังคมใช่ไหม ควรจะดูแลเขาอย่างไร ถ้าเขาไม่ทำงานแล้วดิฉันจะตายตาหลับได้อย่างไร ถ้าเขาไม่ทำงานแล้วเมื่อดิฉันตายไปแล้วเขาจะเอาอะไรกิน ถ้าเขาคิดสั้นฆ่าตัวตายดิฉันจะทำอย่างไร

………………………………………….

ตอบครับ

     ขอโทษที่เก็บจดหมายของคุณไว้นานมาก เพราะสไตล์การตอบจดหมายของหมอสันต์คือไม่ตอบตามคิว มีอารมณ์ในเรื่องอะไรก็จะหยิบจดหมายในเรื่องนั้นขึ้นมาตอบ

     ก่อนตอบคำถาม เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อคุณพูดถึงคนไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ มีตลกฝรั่งเรื่องหนึ่งเล่าว่าวันหนึ่งหญิงแคทอลิกสาวสวยกลับมาบ้านด้วยอารมบูด คุณแม่เห็นลูกอารมณ์ไม่ดีจึงประเหลาะถาม แล้วก็ได้ความว่าลูกสาวเพิ่งปฏิเสธคำขอแต่งงานแฟนหนุ่มไปด้วยความรู้สึกสองฝักสองฝ่ายในตัวเอง คุณแม่พยายามดึงให้ลูกสาวกลับมาดีกับแฟนของเธอใหม่ โดยว่า

    “เขาทั้งจริงใจและดีต่อลูก ฐานะการเงินเขาก็ดี ลูกจะไปปฏิเสธเขาทำไม” 

     ลูกสาวผู้เคร่งศาสนาระบายความในใจว่า

     “เขาไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง หนูจะไปแต่งงานกับคนอย่างน้้นได้อย่างไร” 

     คุณแม่ยิ้มที่มุมปาก และว่า

     “ไม่เป็นไรลูก แต่งกับเขาไปเถอะ เราสองคนจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าความเชื่อของเขาผิด”

     ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     เลิกพูดเล่นมาตอบคำถามคุณดีกว่า

     1. ถามว่าลูกชายเก็บตัวอยู่คนเดียวเป็นเดือนๆ หลบหน้าคน เขาเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคกลัวสังคมใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่หรอกครับ เพราะงานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าการเก็บตัวเงียบของคนเรามีสองแบบ คือ

     1.1 แบบที่เรียกว่าปลีกวิเวก (solitude) เป็นการเก็บตัวแบบที่ตัวเองจะได้ประโยชน์ คือเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวได้ เพราะนี่มันเป็นทักษะที่ดีและจำเป็นในการเกิดมาเป็นคน มันใช้ฟื้นฟูสภาพร่างกายจิตใจที่ทรุดโทรมได้ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นการรู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองอยากอยู่คนเดียว เมื่อไหร่อยากอยู่กับคนอื่น นี่ยิ่งเป็นเป็นทักษะทางสังคมที่จำเป็นอย่างแท้จริง เพราะการได้อยู่คนเดียวเป็นโอกาสให้ได้ย้อนกลับไปเป็นสู่ความรู้ตัวอันเป็นตัวตนแท้ๆและดั้งเดิมของเขา ความเงียบทำให้คนเรามีความสุข และทำให้มีเรี่ยวแรงคิดอ่านทำโน่นนี่ อย่าไปคิดว่าเป็นคนปกติต้องสังคมต้องเจ๊าะแจ๊ะต่อยหอยหรือโซเชี่ยลตลอดเวลา

     1.2 แบบที่เรียกว่าถดถอย (withdrawal) เป็นการเก็บตัวแยกตัวจากคนอื่นด้วยความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่าไร้ความหมาย ความรู้สึกคุมตัวเองไม่ได้เมื่ออยู่กับคนอื่น ความรู้สึกทนไม่ได้ (กลัว) กับความเปลี่ยนแปลงหรือความไม่เสถียรของสรรพสิ่งข้างนอกตัวที่ตัวเองพยายามคุมแต่คุมไม่สำเร็จ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องอกหักรักคุดด้วย การปลีกตัวแบบนี้บางครั้งก็คละเคล้าไปด้วยความรู้สึกอยากตาย แบบนี้เป็นการอยู่คนเดียวแบบไม่ค่อยดี คือเป็นการป่วยทางจิตมากบ้างน้อยบ้าง

     2. ถามว่าจะดูแลเขาให้กลับมาเป็นคนปกติได้อย่างไร ตอบว่าไม่ว่าจะเป็นการปลีกตัวแบบไหน คนปลีกตัวทั้งสองแบบต่างก็รำคาญคนอื่น หงุดหงิดเมื่อคนอื่นพยายามจะเข้าไปสอดแทรกการปลีกตัวของเขา สิ่งที่คุณพึงทำจึงไม่ใช่การไปพยายามลากเขาออกมาจากถ้ำของเขา คุณควรทำแค่เฝ้าดูแลช่วยเหลือเขาอยู่ห่างๆ ทิ้งระยะให้ห่างพอควร คือดูแลแต่ไม่ไปเกะกะลูกตา ถ้ามีโอกาสก็คอยยิ้มให้ โอบกอด ถ้าจังหวะไม่อำนวยก็ไม่ต้องพูดอะไร ห้ามอบรมสั่งสอนเด็ดขาด เพราะเขาอาจกำลังพยายามหนีสิ่งนั้นอยู่พอดี

     เวลาอยู่ใกล้ลูก คุณต้องอยู่อย่างมีความรู้ตัว มีความสุข ผ่อนคลาย ยิ้ม แผ่เมตตา ไม่ใช่จมอยู่ในความคิดลบๆเกี่ยวกับตัวลูก หรือคิดคาดหวังว่าลูกควรจะทำตัวอย่างนั้นอย่างนี้ หรือเรียกร้องความสนใจจากลูกด้วยการออกอาการเป็นทุกข์หรือซึมเศร้าประกวดประชันกับลูก ความคิดลบของคุณจะถ่ายทอดผ่านสีหน้าของคุณไปสู่ใจของลูก (emotional contagion) ซึ่งจะทำให้สถานะการณ์ของลูกแย่ลงไปกว่าเดิมชนิดที่ว่าถ้าเขาไม่ได้เห็นหน้าแม่เสียยังจะดีกว่า

     ถ้ามีโอกาสได้พูด ให้เลือกพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์ เช่น

     “แม่อยู่นี่นะ มีอะไรจะให้แม่ช่วยก็บอกแม่ได้” 

     ถ้าเห็นว่าลูกปลีกตัวเพราะกำลังจมอยู่ในความทุกข์จากความผิดหวังหรือจากอะไรก็ตาม และเฉพาะเมื่อมีโอกาสดีจริงๆ จึงพูดชี้แนะในประเด็นเดียว ว่า

     “ความคิดไม่ใช่เรานะ เราคือความรู้ตัว ความคิดเป็นสิ่งที่โผล่ขึ้นมาในความรู้ตัว เราสังเกตเห็นมันได้ แต่มันไม่ใช่เรา”

     ให้สติแค่นี้ก็พอ ที่เหลือเขาจะไปต่อของเขาเองได้     

     3. ถามว่าเขาเรียนมามากมายแล้วไม่ยอมทำการทำงานอะไรแล้วจะให้แม่ตายตาหลับได้อย่างไร ตอบว่าเขาอยากทำงานไม่อยากทำงานมันเรื่องของเขา คุณเลี้ยงเขามาจนอายุขนาดนี้แล้วคุณหมดหน้าที่แล้วนะ ที่เหลือเขาจะไปต่อของเขาเอง ในเรื่องการไม่ทำงาน ผมไม่เห็นจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร คนรุ่นเราเอาแต่ทำงานๆๆๆๆๆ แล้วคุณเห็นไหมคนรุ่นเราทำโลกนี้ให้เละตุ้มเป๊ะขนาดไหน สมัยก่อนผมเคยทำไร่อยู่ที่ตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย เนื้อที่ 60 ไร่ ผมทำอะไรไปแยะมาก ขุดโน่นขุดนี่ ทำโน่นทำนี่ ต่อมาผมไม่มีเวลาก็ทิ้งไร่ไปหลายสิบปี กลับไปอีกทีผืนดินแห่งนั้นฟื้นฟูตัวเองกลายเป็นป่าธรรมชาติที่มีความผสมกลมกลืนอย่างลงตัวจนผมรู้สึกได้ตั้งแต่แรกเดินเข้าไป ผมว่าที่โลกม้นเละก็เพราะเราพยายามทำอะไรมากเกินไป ถ้าคนรุ่นใหม่จะเลิกทำงานอย่างสิ้นเชิงเสียสักสองสามชั่วอายุคน โลกนี้อาจจะน่าอยู่ขึ้นก็ได้นะ

     4. ถามว่าถ้าเขาไม่ทำงานแล้วเขาจะเอาอะไรกิน ตอบว่าอ้าว ก็สมบัติที่คุณสะสมไว้นั่นไง เขาขายสมบัติเก่ากินนั่นเป็นการช่วยไถ่บาปให้คุณที่ทำอะไรไว้มากเกินไปนะ (หิ หิ พูดเล่น) ประเด็นสำคัญก็คือคุณไม่ต้องไปห่วงหรอกว่ามนุษย์ในฐานะสัตว์ตัวหนึ่งจะอยู่ไม่รอดบนผิวโลกใบนี้ เพราะปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดนั้นเกือบทั้งหมดฟรี เช่น อากาศ น้ำ ผืนดินที่เหยียบ เป็นต้น และวิธีที่จะอยู่รอดธรรมชาติก็ฝังไว้เป็นสัญชาติญาณอยู่ในยีนของแต่ละเซลของสัตว์ทุกตัวมาเรียบร้อยแล้ว คุณไม่ต้องห่วงเลย ความห่วงของคุณนั้นเป็นปัญหาของคุณ เพราะมันเป็นคอนเซ็พท์ที่คุณยึดถือ เป็นความคิดในหัวของคุณเอง คุณต้องหัดวางความคิดนั้นเอาเอง นั่นไม่ใช่ปัญหาของลูกชาย

     5. ถามว่าแล้วถ้าเขาคิดสั้นฆ่าตัวตายละจะทำอย่างไร ตอบว่าให้คุณอยู่กับที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่าไปอยู่ในความคิดซึ่งจินตนาการอะไรต่ออะไรเยอะแยะมากมาย ให้คุณปักหลักอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่จะเกิด มันจะเกิดที่เดี๋ยวนี้ ให้คุณรับมือกับมันไปทีละช็อต ทีละช็อต สิ่งทั้งหลายนอกตัวคุณมีปัจจัยหลายร้อยปัจจัยเป็นตัวกำหนด คุณคุมมันไม่ได้หรอก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แล้วรับมือกับมันไปทีละช็อต ทีละช็อต แต่ใจคุณ คุณจะคิดอะไร คุณคุมมันได้นะ ให้คุณคุมสิ่งที่คุณคุมได้ ความคิดลบคุณวางมันลงเสีย แล้วเพิกเฉยหรือยอมรับสิ่งที่คุณคุมไม่ได้ ปล่อยมันไปตามที่มันเป็นโดยไม่เอาผลประโยชน์หรือความคาดหวังส่วนตนเข้าไปเกี่ยวข้อง นี่คือสุดยอดวิชาของการใช้ชีวิตสำหรับตัวคุณเอง

    6. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้ ว่าการที่คุณเป็นทุกข์ มันเป็นปัญหาของคุณ ต้องแก้ที่ใจคุณ ไม่ใช่ไปแก้ที่สิ่งภายนอก ลูกชายเป็นสิ่งภายนอก คุณควบคุมไม่ได้ดอก อย่าไปแก้สิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ ให้แก้ที่การสนองตอบต่อสิ่งภายนอกของใจคุณ เพราะคุณควบคุมได้และแก้ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Thomas V, Azmitia M. Motivation matters: Development and validation of the Motivation for Solitude Scale – Short Form (MSS-SF). Journal of Adolescence, 2019; 70: 33 DOI: 10.1016/j.adolescence.2018.11.004