Latest

ลูกสาวอายุ 13 ยังไม่มีประจำเดือนแต่ตั้งครรภ์ได้ไง?

กราบเรียนคุณหมอสันต์
ลูกสาวอายุ 13 ปี ยังไม่เคยมีประจำเดือนเลย แล้วท้องโตขึ้น ไปตรวจจึงรู้ว่าตั้งครรภ์ ดิฉันเป็นงงจริงๆว่ายังไม่มีประจำเดือนเลยตั้งครรภ์ได้ด้วยหรือ แล้วก็โรคซ้ำกรรมซัด หมอที่โรงพยาบาล … ไม่ยอมทำแท้งให้ ครูที่โรงเรียนก็จะให้หยุดไม่ให้ไปโรงเรียนต่อ ไปหาคนรับจ้างทำแท้งก็ไม่มีใครรับทำเพราะเห็นเป็นเด็กคงกลัวความเสี่ยง สงสารลูกมาก มีคนแนะนำให้ซื้อกระบอกดูดสุญญากาศมาทำเอง ดิฉันจะทำได้ไหม ดิฉันควรจะทำอย่างไรดี

……………………………………………..

ตอบครับ

     ท่านผู้อ่านท่านอื่นอ่านจดหมายนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่านี่เป็นกรณีที่แปลกประหลาดพิกล แต่คนที่เป็นหมอที่ประจำอยู่ในประเทศไทยแลนด์ที่ติดตามข้อมูลข่าวสารทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมออ่านแล้วรู้สึกธรรมดามาก เพราะเมืองไทยเรานี้เป็นที่รู้กันดีว่าถูกจัดหมวดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น (teenage pregnancy) สูง คือสูงถึงระดับ 50 ครรภ์ต่อทุกการตั้งครรภ์ 1,000 ครรภ์ เทียบกับเพื่อนบ้านที่วัยรุ่นของเขาก็มีเซ็กซ์กันครึกโครมไม่ได้น้อยหน้ากว่าไทยแลนด์แต่อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเขาต่ำมาก เช่น ของญี่ปุ่น 5 ต่อ 1,000 ของสิงค์โปร์ 8 ต่อ 1,000 ทำไมบ้านเราจึงมีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสูงอย่างนี้ สูงแล้วจะทำอย่างไรกันดี หิ..หิ นี่ไม่ใช่ปัญหาของหมอสันต์นะครับ น่าจะเป็นปัญหาของลุงตู่มั้ง มาตอบเฉพาะปัญหาที่ถือว่าเป็นปัญหาของหมอสันต์กันดีกว่า

     1. ถามว่าเด็กยังไม่มีประจำเดือนเลยตั้งครรภ์ได้ด้วยหรือ ตอบว่าตั้งครรภ์ได้ครับหากมีเซ็กซ์ในช่วง 7-14 วันก่อนที่จะมีประจำเดือนครั้งแรก เพราะการเกิดการตกไข่ครั้งแรกในชีวิตจะเกิดขึ้นก่อนประจำเดือนครั้งแรกในชีวิต คือเกิดก่อนกันประมาณ 14 วัน ทั้งนี้การจะตั้งครรภ์ได้นั้นจะต้องเกิดการตกไข่ก่อน แล้วมีเซ็กซ์ในช่วงที่ไข่ตกพอดี ดังนั้นหากลูกสาวไปมีเซ็กซ์ก่อนประจำเดือนครั้งแรกจะมาราว 7-14 วันก็จะตั้งครรภ์ได้ เรียกว่าเป็นการใช้ร่างกายในการสืบเผ่าพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คือพอโรงงานเริ่มเดินเครื่องแบบรันอินปุ๊บก็ทำการผลิตได้ปั๊บทันที ฮี่..ฮี่

     2. ถามว่าเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์อายุ 13 ปี แล้วครูไม่ให้เรียนต่อ จะทำอย่างไรให้ครูยอมรับให้เด็กเรียนต่อได้ ตอบว่า เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีกฎหมายใหม่ฉบับหนึ่งชื่อ พรบ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งกฎหมายฉบับนี้บังคับให้สถานศึกษาจัดให้นักเรียนซึ่งตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่อง รวมทั้งจัดให้มีระบบการส่งต่อให้ได้รับบริการอนามัยการเจริญพันธุ์และการจัดสวัสดิการสังคมอย่างเหมาะสมด้วย ดังนั้นคุณก็แค่ไปคุยกับครูใหญ่ของโรงเรียนว่าขอให้ท่านอนุเคราะห์ให้ลูกสาวได้เรียนต่อตามกฎหมายฉบับนี้ ผมมั่นใจว่าท่านจะให้ความช่วยเหลือเพราะการไม่ช่วยเหลือให้เด็กได้เรียนต่อตัวครูใหญ่เองจะมีความผิดอาญาซึ่งมีโทษถึงจำคุก แต่ถ้าท่านอิดออดไม่ยอมช่วยคุณก็คงเหลือทางเลือกเดียว คือแต่งทนายฟ้องศาล

    3. ถามว่าจะทำอย่างไรหมอจึงจะยอมทำแท้งให้ ตรงนี้ขอแยกคำตอบเป็นสองคำได้ไหมครับ

     คำตอบที่หนึ่ง คือคำตอบอย่างเป็นทางการ ตอบว่าไม่มีทาง..โนเวย์สะเตชั่น ที่ใครจะไปบังคับให้หมอทำแท้งได้  เพราะตามกฎหมายไทยหมอไม่มีอำนาจยุติชีวิตผู้ป่วยในทุกรูปแบบรวมทั้งในรูปแบบการทำแท้งด้วย แต่กฎหมายอาญามาตรา 305 ให้การยกเว้นไว้สองกรณีเท่านั้นคือ (1) จำเป็นต้องกระทำ เนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น และ (2)  หญิงนั้นมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา (ถูกข่มขืน)

     พูดมาถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ว่าต่อมาแพทยสภาได้ออกข้อบังคับด้วยคำพูดยาวยืดว่า

     “ในกรณีที่หญิงนั้นมีความเครียดอย่างรุนแรง เนื่องจากพบว่าทารกในครรภ์มีหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะมีความพิการอย่างรุนแรง หรือเป็นหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคพันธุกรรมอย่างรุนแรง เมื่อหญิงนั้นได้รับการตรวจวินิจฉัยและการปรึกษาแนะนําทางพันธุศาสตร์ (Genetic counseling) และมีการลงนามรับรองในเรื่องดังกล่าวข้างต้นโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ มิใช่ผู้กระทําการยุติการตั้งครรภ์อย่างน้อยหนึ่งคน ให้ถือว่าหญิงตั้งครรภ์นั้นมีปัญหาสุขภาพจิต” (ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพของหญิงนั้น ตามกฎหมายอาญา 305(1)

     แปลไทยให้เป็นไทยก็คือแพทยสภาบอกแพทย์ว่าถ้าทารกในครรภ์พิการรุนแรงแบบพิสูจน์ได้จากการตรวจยีน ก็อนุญาตให้แพทย์ทำแท้งได้ ตรงนี้ผมขอเขียนเพื่อเตือนให้เพื่อนแพทย์ที่จะทำแท้งให้ผู้ป่วยด้วยเหตุทารกพิการว่าให้ระวังสองประเด็นนะ คือ

     ประเด็นที่ 1. กฎหมายอาญา 305 ไม่อนุญาตให้ทำแท้งด้วยเหตุทารกในครรภ์พิการเลยนะ ไม่ว่าจะพิการระดับใด พิการแบบไหน ไม่ให้ทำแท้งทั้งนั้น นี่มันเป็นกฎหมายที่เข้าท่าหรือกฎหมายงี่เง่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ย้ำว่ากฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ทำแท้งด้วยเหตุทารกในครรภ์พิการ อนุญาตให้ทำแท้งเฉพาะกรณีเพื่อสุขภาพของแม่หรือกรณีแม่ถูกข่มขืนเท่านั้น

     ประเด็นที่ 2. ข้อบังคับของแพทย์สภาซึ่งเป็นกฎหมายระดับต่ำกว่าย่อมถูกหักล้างด้วยกฎหมายอาญา 305(1) ซึ่งเป็นกฎหมายพรบ. ในประเด็นที่แพทย์สภาแนะนำแพทย์ว่าคำว่า “สุขภาพของหญิงนั้น” ในกฎหมายอาญา 305(1) หมายถึงสุขภาพจิตด้วย นี่เป็นการตีความของแพทยสภาเองนะ แต่ทนายเขี้ยวลากดินย่อมรู้ดีว่าคนที่จะเฉลยได้ว่าคำว่าสุขภาพของหญิงนั้นหมายถึงเฉพาะสุขภาพกายอย่างเดียวหรือหมายความรวมถึงสุขภาพจิตด้วยมีคนเดียวเท่านั้นคือ..ศาล ดังนั้นถ้าท่านทำแท้งเพื่อรักษา “สุขภาพจิตของหญิง” ท่านอย่าเพิ่งได้ปลื้มว่ากฎหมายจะคุ้มครองท่านนะ หวยจะออกหัวหรือออกก้อยมันอยู่ที่ดุลพินิจของศาล นั่นเป็นที่มาของวลีอมตะในศาลที่ว่า

     “ข้าแต่ศาลที่เคารพ” หิ..หิ

     เอ๊ะ ทำไมอยู่ดีๆมาพูดเรื่องโรงเรื่องศาลได้เนี่ย กลับมาเรื่องของเราดีกว่า

     คำตอบที่สอง คือคำตอบอย่างไม่เป็นทางการ ตอบว่าผมแนะนำให้คุณปรึกษาแพทย์ในสถานพยาบาลที่ยอมทำแท้งให้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมประจำใจของตัวแพทย์ท่านเอง ซึ่งก็ควรจะเป็นการทำแท้งในสถานพยาบาลที่ไม่แสวงกำไร ยกตัวอย่างเช่นสถานพยาบาลของสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท.) เป็นต้น เมื่อปรึกษาแล้วแพทย์ท่านจะยอมทำให้หรือไม่นั่นเป็นเรื่องของท่านนะ คุณไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปบังคับท่านได้

     3. ถามว่าการทำแท้งด้วยตนเอง ด้วยการซื้อกระบอกดูดสุญญากาศ (Manual Vacuum Aspiration – MVA) มาทำเอง จะได้ไหม ตอบว่า ผมตอบคำถามนี้ให้คุณไม่ได้ เพราะถ้าผมตอบก็เท่ากับว่าผมทำผิดกฎหมาย ผมแนะนำให้คุณปรึกษาสูติแพทย์ดีกว่าครับ หิ หิ..โบ้ยซะเลย

     ปล.  ว่าจะจบแล้วแต่ขออีกหน่อย ไหนๆก็มีโอกาสคุยกันถึงเรื่องนี้ ผมขอสอนเด็กๆหลานๆที่จะโตไปเป็นสาวๆเสียตรงนี้เลยนะ ว่า

     ประการที่ 1. การอยากรู้เรื่องเซ็กซ์และอยากมีเซ็กซ์นั้นไม่มีใครว่าอะไร แต่ว่าการจะมีเซ็กซ์นี้ขอให้เรียนไปทีละขั้น ฝึกทำไปทีละขั้น จบขั้นหนึ่งแล้วค่อยไปเรียนอีกขั้นหนึ่ง คือต้องเรียนรู้เรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นเอดส์ และไวรัสเอ็ชพีวี. ให้เจนจบและทำการป้องกันตัวเองให้เป็นเสียก่อน จึงค่อยไปเรียนรู้เรื่องการมีเซ็กซ์ แล้วจึงค่อยไปมีเซ็กซ์จริงๆ เมื่อได้รู้วิธีป้องกันการตั้งครรภ์และป้องกันโรคติดต่อทางเซ็กซ์จนเจนจบแล้วต่อจากนั้นจะมีเซ็กซ์มากเท่าไหร่ก็มีไปเถอะ ปู่สันต์ไม่ได้ว่าอะไร

     ประการที่ 2. ควรเรียนรู้ด้วยว่าความ “อยาก” จะมีเซ็กซ์นั้น จริงๆแล้วมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรานะ มันเป็นเพียงความคิด เราก็คือเรา เราคือความรู้ตัว ความคิดก็คือความคิด คนละอันกัน ความคิดอยากมีเซ็กซ์มันเกิดจากฮอร์โมนเพศที่รังไข่ผลิตขึ้นไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึก (feeling) บนร่างกาย ความรู้สึกนั้นกระตุ้นให้เกิดความคิด “อยาก” ขึ้น มันเป็นกลที่ผูกไว้เป็นสัญชาติญาณ (instinct) ติดมากับเซลร่างกายของสัตว์ทุกชนิด แต่เราไม่จำเป็นต้องรีบผลีผลามตามความคิดไปอย่างฉุกเฉินตะพึด เรายังมีอีกก๊อกหนึ่งที่สัตว์อื่นไม่มี คือดุลพินิจไตร่ตรองเอาตามเหตุผลแห่งตรรกะและความรู้จักผิดชอบชั่วดีจากก้นบึ้งหัวใจของเราเองว่า อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรเสี่ยง อะไรไม่เสี่ยง นี่จะเป็นตัวกลั่นกรองป้องกันตัวเราให้ปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง

     ขออนุญาตยกตัวอย่างประกอบเป็นอุธาหรณ์ หลายปีมาแล้วที่บ้านพักบนเขาของผมที่มวกเหล็ก คนสวนเก็บลูกหมาป่าหลงทางตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้ เขาตั้งชื่อมันว่า “ไอ้จืด” มันใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านบนเขาไม่ออกไปไหนเลยจนมันโตเป็นหนุ่ม พอเข้าเดือนสิบสองอันเป็นฤดูสุนัขติดสัด ไอ้จืดได้กลิ่นตัวเมียและได้ยินเสียงหอนอันไพเราะก็ออกตามกลิ่นตามเสียงไปตามแรงขับดันของฮอร์โมนในร่างกายของมัน คนสวนเล่าว่ามันเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาโอกาสผสมพันธ์กับตัวเมีย แต่ว่าก็ต้องฝ่าดงเขี้ยวของบรรดาสุนัขตัวผู้ในหมู่บ้านก่อน มันตัวเดียวจึงโดนรุมสกรัมจนได้รับบาดเจ็บ ถูกกัดลูกอัณฑะเป็นแผลเหวอะหวะ กลับมานอนแซ่วไข้ขึ้นอยู่ที่บ้าน แววตาซึมไม่ขี้เล่นอย่างเคย เรียกให้กินอะไรก็ไม่กิน คือมันติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วมันก็ตาย  ตัวมันคิดเองไม่ได้หรอกว่าการเข้าไปในหมู่บ้านนั้นเป็นเรื่องควรหรือไม่ควร เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อย แต่มันไปเพราะฤทธิ์ฮอร์โมนเพศตามธรรมชาติผลักดันให้มันไป ไปแล้วมันก็ประสบเคราะห์กรรมกลับมาอย่างนี้ ช่วยไม่ได้จริงๆเพราะมันเป็นแค่หมาซึ่งสมองของมันไม่มีส่วนที่จะสามารถใช้ตรรกะ ดุลพินิจ หรือคอนเซ็พท์ผิดชอบชั่วดี

     แต่ระวังนะ คนอย่างเราซึ่งเป็นวัยรุ่นๆหนุ่มๆสาวๆก็อาจพาตัวเองไปสู่ความยุ่งยากใหญ่หลวงเช่นติดเอดส์หรือตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้ในลักษณะเดียวกับที่ไอ้จืดโดนมาแล้วเหมือนกัน ถ้าเราเผลอตามแรงขับดันของฮอร์โมนเพศไปโดยลืมใช้ดุลพินิจหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งก่อน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์