Latest

การฝึกสมาธิจะช่วยลดความอ้วนได้อย่างไร

(หมอสันต์ตอบคำถามสมาชิกแค้มป์ลดน้ำหนัก)

สมาชิกถาม

     “การฝึกสมาธิอย่างที่อาจารย์สอนนี้ จะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร”

หมอสันต์ตอบ

     1. ในระดับที่เข้าใจได้ง่าย การที่เรากลายมาเป็นคนอ้วนนี้ เป็นเพราะการใช้ชีวิตของเราในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการกินก็ดี การมีกิจกรรมประจำวันก็ดี มันล้วนเกื้อหนุนให้เราเป็นคนอ้วน กล่าวคือเรากินอาหารที่มีแคลอรี่สูง มีกากน้อย และกินในปริมาณมาก ขณะเดียวกันเราก็มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวออกกำลังกายน้อย มัวแต่ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งมองหน้าจอ เราเองก็รู้ทั้งรู้อยู่ว่าเราจะต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ มีกากแยะๆ ลดปริมาณการกินลง แล้วเคลื่อนไหวออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่รู้ทั้งรู้ เราทำไม่ได้

     เพราะชีวิตของเราทุกวันนี้ที่เราภูมิใจว่าเป็นชีวิตอิสระเสรีอยากกินอะไรก็ได้กินอยากทำอะไรก็ได้ทำนั้น แท้จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ มันเป็นชีวิตของทาส เราเป็นทาสความย้ำคิดย้ำทำ (compulsiveness) ซึ่งผูกเป็นวงจรแน่นหนาไว้ในระบบประสาทอัตโนมัติที่ฝังอยู่ในร่างกายเรา เราเป็นทาสของประสบการณ์ในอดีตของเราเอง แต่หลงภูมิใจว่าเราเป็นเสรีชน

     เราจะเป็นเสรีชนได้อย่างไร เสรีชนจะต้องสามารถใช้สิทธิเลือกทางเลือกต่างๆที่นำเสนอต่อหน้าเรา ณ ขณะนี้ แต่เราเป็นอย่างนั้นไหมละ พอเห็นอะไรหวานๆเราวิ่งเข้าใส่เลย เราไม่ทันได้คิดวินิจฉัยเลย การตัดสินใจได้เกิดขึ้นแล้วก่อนที่เราจะทันได้คิดวินิจฉัยเสียอีก เพราะผู้ตัดสินใจไม่ใช่เรา แต่เป็นวงจรความย้ำคิดย้ำทำหรือ compulsiveness ที่ฝังอยู่ในตัวเรามันบงการเราอยู่ แล้วเราก็นึกว่ามันเป็นเรา เราจึงนึกว่าเราเป็นเสรีชน

     เรายังไม่ทันรู้ตัวเลยการเลือกทิศทางดำเนินชีวิตก็เกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้เราจะเป็นเสรีชนได้อย่างไร การเป็นเสรีชนต้องมีความรู้ตัวว่า ณ ขณะนี้มีทางเลือกอะไรโผล่ขึ้นมาตรงหน้าบ้าง แล้วเราในฐานะความรู้ตัวหรือ consciousness เป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองโดยไม่มีใครมายัดเยียดบีบบังคับเราทีเผลอ คือเราอยู่อย่างรู้ตัว รู้ว่ามีความคิดอะไรโผล่ขึ้นมา แล้วเลือกตัดสินใจได้เองว่าจะทำตามหรือไม่ทำตามความคิดนั้นได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นเสรีชน

    แต่ในชีวิตจริงของเราโอกาสที่เราจะตั้งหลักได้ว่ามีความคิดอะไรผ่านเข้ามาให้เลือกบ้างนั้นแทบไม่มีเลย เพราะเรามีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้ตัว เราไปอยู่ในความคิดที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตลอดเวลา การจะยุติวงจรชั่วร้ายนี้เราจะต้องถอยความสนใจออกมาจากความคิดเพื่อมาอยู่กับความรู้ตัวให้ได้ก่อน

     การฝึกสมาธิ เป็นวิธีถอยความสนใจออกมาจากความคิด เอาความสนใจนั้นมาจ่อกับอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่นลมหายใจ จนความคิดมันฝ่อหายไป หมดอำนาจที่จะดึงดูดความสนใจให้ไปขลุกอยู่กับมัน จากนั้นเราจึงหันความสนใจจากลมหายใจ มาจ่ออยู่กับความรู้ตัว ซึ่งก็คือเดี๋ยวนี้ อันเป็นบ้านเดิมของมัน เมื่อเราทำอย่างนี้ได้แล้ว เราจึงจะปลดแอกจาก compulsiveness อันเป็นนายทาสของเราได้ จากนั้นเราจึงจะใช้ดุลพินิจเลือกอะไรที่ดีที่สุดกับตัวเราได้เยี่ยงเสรีชนที่แท้จริง

     2. ในระดับที่เข้าใจยาก ความอ้วนเป็นอุปสรรคขวากหนามอย่างหนึ่งในชีวิต การที่คนเราจะเอาชนะอุปสรรคขวากหนามในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคที่จี้จิกเราอย่างต่อเนื่องอย่างยืดเยื้อเรื้อรัง เราจำเป็นต้องมีพลัง พลังนั้นมาสู่เราได้สามทาง สามระดับ คือ

     2.1 ระดับความคิดบวก (positive thinking) คือเมื่อคิดบวกเราก็จะได้พลัง แต่เรามักจะเผลอคิดลบ เราจึงมักถูกดูดพลังออกไป

      2.2 ระดับพลังเพื่อนช่วยเพื่อน (synergy) คือคบเพื่อนดี พากันไปอออกกำลังกายหรือกินของดีๆต่อสุขภาพ เราก็จะหายอ้วน คบเพื่อนไม่ดีคือชอบพากันไปกินอาหารแคลอรี่สูงและทำกิจกรรมที่นั่งนิ่งๆ เราก็ไม่หายอ้วน

     2.3 ระดับพลังความรู้ตัว (awareness) หรือที่ภาษาจิ๊กโก๋เรียกว่า “พลังจักรวาล” ตรงนี้มันเป็นอะไรที่คนยังไม่รู้จักกันนักดอก แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ถามว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามันมีอยู่จริง ตอบว่าวิธีพิสูจน์มีทางเดียวคือตัวคุณเองต้องฝึกวางความคิดไปเป็นความรู้ตัวให้ได้ก่อน คุณจึงจะรู้ว่าพลังความรู้ตัวมันมีอยู่จริง การจะมารอพิสูจน์มันด้วยคอนเซ็พท์หรือตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลรวมทั้งคอนเซ็พท์วิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้ เพราะพลังงานนี้เป็นคลื่นชนิดที่ไม่อาจรับรู้ผ่านอายตนะหรือการคิดเอาจากภาษาหรือการอนุมานเอาจากตรรกะได้ วิธีพิสูจน์จึงมีทางเดียว คือคุณ feel มันให้ได้ด้วยตัวคุณเองเท่านั้น 

     พลังชนิดนี้จะเริ่มเกิดขึ้นกับตัวคุณเมื่อคุณดึงความสนใจออกมาจากความคิดมาจ่ออยู่กับเป้าอะไรสักอย่าง (เช่นลมหายใจ) ได้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง จนความคิดหมดไป แล้วคุณจ่อความสนใจอยู่กับเป้านั้นต่อเนื่องต่อไปอีก จ่อดูลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป จนเป้านั้นมันหายไปจากการรับรู้ของคุณเลย เหลือแต่ความรู้ตัวอยู่ในความว่างตรงหน้าที่เดี๋ยวนี้ ไม่เหลืออะไรอย่างอื่นเลยนอกจากความรู้ตัวที่ตื่นอยู่ ณ จุดนี้แหละ ที่จะมีคลื่นพลังงานไหลเข้ามา มาจากไหนไม่รู้ ผมเรียกง่ายๆว่ามาแบบดาวน์โหลดก็แล้วกัน ตัวคุณเองจะรับรู้ถึงพลังงานนี้ได้ในรูปของความสงบเย็นและเบิกบาน และในรูปของ “ปัญญาญาณ (intuition)” ที่ชี้นำให้คุณเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น พลังระดับนี้มันเปลี่ยนชีวิตคุณได้แบบดลบันดาลให้คุณเป็นอีกคนหนึ่งได้เลยทีเดียว คุณคิดจะทำอะไรมันก็ช่วยเป็น “แรง” ทำให้คุณทำได้สำเร็จง่ายขึ้น รวมทั้งการจะลดน้ำหนักด้วย ดังนั้นคนที่คิดจะลดน้ำหนักจริงจัง ผมสนับสนุนสุดลิ่มให้ฝึกสมาธิทุกวัน

     ถามว่าที่พูดมานี้เป็นสิ่งเดียวกับ “ความหลุดพ้น” หรือเปล่า ตอบว่าไม่ใช่ ทั้งหมดที่พูดมานี้ไม่ใช่ความหลุดพ้น (liberation หรือ enlightenment) นะ ปัญญาญาณไม่ใช่ความหลุดพ้น คนละเรื่องกัน เปรียบความหลุดพ้นเป็นแก่นไม้ ปัญญาญาณก็เป็นแค่กะพี้ของไม้เท่านั้น มันเป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้คุณวางความคิดแบบติดหนึบยากที่จะแกะได้สำเร็จ หากคุณวางความคิดแบบนั้นได้สำเร็จหมดเกลี้ยงถาวรเมื่อไหร่ นั่นแหละคือความหลุดพ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์