Latest

การจะพบกับความมหัศจรรย์ของชีวิต คุณต้องไม่ปักใจเชื่ออะไรที่คุณไม่รู้

เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ
         จากที่ได้ไปเข้าแคมป์ CR … เมื่อเดือน ธ.ค. 62 แล้วแจ้งคุณหมอว่าถ้าผลการให้คีโมไม่ดีจะไม่รับคีโมต่อนะค่ะ (มะร็งเต้านมปี 2552 ลามไปกระดูกสันหลังปี 2559และลามไปตับปี 2561 ที่ตับเริ่มจาก 2 ซม. เป็น 10 ซม. และอีกหลายก้อนเล็กๆ รวม 10 ก้อน ให้คีโมแบบฉีด 2 คอร์ส และสุดท้ายแบบกิน เคฟไซทาบีน )
 เมื่อวันที่ 24/1/63 ไปทำ CTช่องท้องบน  แล้วพบแพทย์  27/1/63 แต่รายงานยังไม่ออก หมอเปรียบเทียบภาพสแกนกับเมื่อเดือน  09/2562 ผลไม่ดีขึ้น ก้อนที่ตับน่าจะใหญ่ขึ้น และมีก้อนเล็กๆเพิ่มขึ้นอีกหลายก้อนค่ะ
คุยกับหมอคร่าวๆ คุณหมอจะขอเปลี่ยนยา เป็นยาฉีดแทน (แต่ไม่บอกชื่อยา) เป็นยานอกบัญชีกลาง (ตอนนี้ใช้สิทธิประกันสังคมรักษา) ค่ายาเข็มละ สองหมื่นกว่า ฉีด 2 อาทิตละครั้ง รับยาได้อย่างมากไม่เกิน 6 เดือน แต่ไม่ได้เป็นการรักษานะคะ หวังผลแค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น หรือไม่ก็ให้ยาเดิม (เคฟไซทาบีน) อีก 2 รอบ แล้วรักษาตามอาการค่ะ
คุณหมอที่ … นัดอีกที่วันที่ 3 ก.พ. ค่ะ เพื่อดูรายงาน CT scan ให้ละเอียดก่อนจะสรุปว่าคนไข้จะรักษาอย่างไงต่อค่ะ
จึงจะเรียนปรึกษาคุณหมอนะค่ะว่า ถ้าไม่รับคีโมแบบฉีด  แต่จะรักษาแบบการแพทย์แผนผสมผสานโดยดูแลตัวเองตามที่เข้าแคมป์มา, follow up กับแพทย์ตามนัด/รักษาตามอาการ  และไปวัดคำประมง ช่วงเดือน มี.ค. 63  นี้นะคะ แต่ช่วงที่รอ 2 เดือน นี้จะรับคีโมแบบกิน เคฟไซทาบีน เพื่อพยุงไว้ก่อนดีมั้ยค่ะ
แต่ตอนนี้สภาพร่างกายก็ยังโอเคอยู่นะค่ะ ทานได้ ออกกำลังกาย ถ่ายได้ แต่ช่วงหลังมานี้ท้องโตขึ้น น้ำหนักเพิ่มเป็น  54.5 สูง 152 ค่ะ
พร้อมกันนี้ได้แนบเอกสารผลชิ้นเนื้อกับ ct scan ของเดืมมาให้ค่ะ
ด้วยความเคารพ

……………………………………………………

ตอบครับ

     1. ผมเห็นด้วยที่จะไม่รับยาฉีดที่ประกันสังคมไม่อนุมัติให้เบิก เพราะเหตุที่ประกันสังคมไม่อนุมัติ ก็เพราะมันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่ามันได้ผล จะทำให้ร่างกายเสียศูนย์ไปเพราะผลข้างเคียงของยาเปล่าๆ

     2. ส่วนจะรับยากินที่เบิกประกันสังคมได้ดีไหมนั้น ทางเลือกคือกินหรือไม่กินก็ได้เอาที่คุณสบายใจ แล้วแต่คุณชอบ ความเห็นส่วนตัวของผมนั้นเห็นว่าควรจะหยุดยาเคมีบำบัดไปเสียทั้งหมดทุกตัว เพราะยาตัวนี้เราก็เคยกินมาแล้วและได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผล กินอีกก็จะเหมือนเดิมอีก แต่ผลเสียของยามีแน่คือมันกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้เซลที่จะจับทำลายเซลมะเร็งได้ตามธรรมชาติของร่างกายต้องอ่อนกำลังลงไปเพราะยา

     3. ผมสนับสนุนให้ไปวัดคำประมง เพราะผมได้พบกับทั้งแพทย์ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงผลักดันวัดคำประมง แล้วได้พบกับทั้งคนไข้หลายคนที่ไปวัดคำประมงมาแล้ว ผมเห็นว่าวัดคำประมงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่สังคมพึงจะทำได้ในแง่ของการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาด้วยวิธีของแพทย์แผนปัจจุบันทั้งการผ่าตัดฉายแสงและเคมีบำบัดแล้วก็ยังไม่เวอร์ค

     4. ในระยะนี้ สิ่งที่ผมคิดว่ามีประโยชน์ที่สุดคือ

     4.1 การวางความคิดไปให้หมด ถอยออกมาปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัว ซึ่งมันเป็นที่ที่สงบเย็นอยู่แล้ว อยู่ที่ความรู้ตัว เป็นผู้สังเกตความเป็นไปของร่างกาย รับรู้ ยอมรับทุกอย่าง ไม่คิดอะไรต่อยอด อยู่กับเดี๋ยวนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด รับมือไปทีละช็อตๆ ไม่ต้องวิ่งหาอะไร ไม่ต้องเสียดายอะไร

     4.2 กินอาหารพืชเป็นหลัก ที่ไม่มีเนื้อสัตว์เลย 100%

     4.3 การอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เหยียบดิน ขุดดิน ฟันหญ้า ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ ตากแดด

     4.4 การฟื้นฟูพลังชีวิต ที่เรียกว่า ชี่ หรือ ปราณา ด้วยการขยันรำมวยจีน ขยันรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan) เพราะมันสื่อถึงพลังชีวิต พลังชีวิตเป็นที่มาของพลังงานที่เซลร่างกายใช้ฟื้นฟูตัวมันเอง และบทที่ร่างกายมันจะฟื้น มันฟื้นได้แบบเหลือเชื่อ

    พูดถึงอะไรที่เหลือเชื่อ การพลาดโอกาสได้ใช้ความมหัศจรรย์ของชีวิตก็คือการที่ความเชื่อของเราคอยบอกตัวเราเองว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในการจะได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของชีวิต คุณต้องไม่ปักใจเชื่ออะไร อะไรที่คุณยังไม่รู้ก็คือยังไม่รู้ ให้เปิดใจรับความเป็นไปได้ทุกอย่างในสิ่งที่คุณไม่รู้ อย่าไปปักใจเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ การไปปักใจเชื่ออย่างนั้นเป็นการไม่ไว้วางใจชีวิตและไม่ไว้วางใจจักรวาลนี้ซึ่งคุณเป็นส่วนหนึ่งของมัน นั่นคือคุณปิดโอกาสที่คุณจะได้สัมผัสมหัศจรรย์ของชีวิต ให้คุณเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ อะไรไม่รู้ก็คือไม่รู้ แล้วหัดไว้วางใจชีวิต ไว้วางใจจักรวาลนี้ ว่าทุกอนูของมันเป็นความมหัศจรรย์ มันจะมีความลงตัวของมันเองด้วยดีเสมอ

     คุณอย่าไปเข้าใจผิดว่าวิทยาศาสตร์เท่านั้นเป็นความจริง อย่างอื่นเป็นเพียงความเชื่อที่ไม่จริง ผมจะบอกคุณว่าวิทยาศาสตร์ก็เป็นเพียงระบบความเชื่ออย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นระบบความเชื่อที่ให้น้ำหนักเชื่อตามโอกาสความเป็นไปได้ซึ่งสรุปออกมาเป็นสถิติจากงานวิจัยเปรียบเทียบ ตรงนี้สำคัญนะ คุณฟังให้ดี เมื่อวิทยาศาสตร์ให้น้ำหนักตามความเป็นไปได้ ทำให้วิทยาศาสตร์มีความขลัง เพราะการที่เราเชื่อถือ (trust) อะไร มันเกิดจากการที่เราเปิดใจรับว่ามันเป็นไปได้ ชีวิตมันพิศดารก็ตรงนี้ คือเมื่อใดที่เราเปิดใจรับว่ามันเป็นไปได้ มันก็จะเป็นไปได้จริงๆ

     การวิจัยทางการแพทย์กี่ครั้งต่อกี่ครั้งล้วนให้ผลแบบเดียวกันว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยเปิดใจรับว่ามันเป็นไปได้ มันก็จะเป็นไปได้ ซึ่งวงการแพทย์เรียกผลอันนี้ว่า placebo effect ผมยกตัวอย่างงานวิจัยหนึ่งทำที่อังกฤษเมื่อสองปีที่แล้ว เอาคนป่วยเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบที่มีอาการเจ็บหน้าอกแล้วมาสองร้อยกว่าคน จับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้าทำบอลลูนใส่สะเต้นท์แบบทำจริงๆ อีกกลุ่มหนึ่งเข้าทำบอลลูนใส่สะเต้นท์เหมือนกัน แต่เป็นการทำหลอกๆ ไม่ได้ทำจริง มีแต่หมอรู้แต่คนไข้ไม่รู้ แล้วตามดูว่าทั้งสองกลุ่มจะมีอัตราการเจ็บหน้าอกและความสามารถออกกำลังกายได้ต่างกันหรือเปล่า ผลวิจัยปรากฎว่าไม่ต่างกันเลย ทำไมคนที่เข้าทำบอลลูนในกลุ่มหลอกจึงหายเจ็บหน้าอกได้ทั้งๆที่หมอเขาไม่ได้ทำบอลลูนขยายหลอดเลือดใส่ขดลวดให้จริงๆสักหน่อย ที่หายเจ็บหน้าอกได้นั้นเป็นเพราะ placebo effect พูดแบบบ้านๆก็คือเป็นผลจากการถูกหลอก แต่พูดแบบการเปิดรับมหัศจรรย์ในชีวิตก็คือเป็นผลจากการที่คนไข้เปิดใจรับความเป็นไปได้ หมายความว่าเมื่อถูกเข็นเข้าห้องทำบอลลูน ใจมันเปิดรับว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะหายเจ็บหน้าอกแล้วเพราะใครๆที่ทำบอลลูนกันเขาก็หายเจ็บหน้าอก แค่เปิดใจรับก็หายจริงๆแม้จะไม่ได้ทำบอลลูนจริง

     ดังนั้นในกรณีของคุณนี้การรักษาด้วยเคมีบำบัดฉายแสงผ่าตัดไม่ได้ผลก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีโอกาสหาย คุณไม่รู้ดอก แม้แต่ผมเองก็ไม่รู้ ว่ากลไกการหายจากมะเร็งจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้างในระดับพลังชีวิตหรือพลังงานของร่างกายและในระดับเซลของร่างกาย แต่ผมรู้ว่ามันมีความเป็นไปได้ที่มะเร็งจะหายแม้การผ่าตัดฉายแสงเคมีบำบัดจะไม่ได้ผล เพราะผมเคยเห็นคนไข้มะเร็งมาเป็นจำนวนมาก และส่วนหนึ่งหายได้แม้ผ่าตัดฉายแสงเคมีบำบัดจะไม่ได้ผล ผมจึงย้ำนักย้ำหนาว่าอะไรที่คุณไม่รู้ คุณอย่าไปปักใจเชื่ออย่างใดอย่างหนึี่งเป็นตุเป็นตะ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ นั่นคือการเปิดรับความเป็นไปได้ทุกแบบ ยอมรับทุกอย่างและไหลไปกับชีวิตอย่างไม่ขัดขืน ตรงนั้นแหละคือโอกาสที่จะเกิดความมหัศจรรย์ในชีวิต
   
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์