จิตวิญญาณ (Spirituality)

การเห็นตามที่มันเป็น เห็นอย่างไรหรือ

     

เช้านี้เรานั่งเรียนกันที่ข้างนอกนี้ก็แล้วกัน เผื่อจะได้แดดบ้าง ให้นั่งตามสบาย เหยียดแข้งเหยียดขาได้

     มีคนถามว่าเห็นตามที่มันเป็น เห็นอย่างไร ทำอย่างไร ทำได้จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่วาทะกรรมเล่นลิ้น วันนี้เรามามีประสบการณ์ในเรื่องนี้กัน 

     เริ่มต้นให้มองไปรอบๆ 

     มองทุกอย่างให้เห็นเป็นภาพ เป็นแค่ภาพนะ ไม่มีภาษาหรือคำบรรยายภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง

     เหมือนเป็นกล้องถ่ายรูป เล็งแล้วกดชัตเตอร์แช้ะ แค่นั้น

     สมัยก่อน กล้องถ่ายรูปของนักถ่ายรูปมืออาชีพทำได้แค่ตั้งค่าต่างๆให้พอดีก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดหน้ากล้อง การกำหนดคอนทราสท์ของภาพ การกำหนดเฉดสี อยากได้มู้ดแอนด์โทนแบบไหนก็ตั้งไว้เสียก่อน ทั้งหมดนี้เมื่อลั่นชัตเตอร์ไปแล้ว ภาพที่ได้จะเปลี่ยนไม่ได้แล้ว เพราะมันถ่ายมาภายใต้กรอบการตั้งค่าที่ตายตัว ค่าที่ตั้งไว้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในตัวภาพ เปลี่ยนไม่ได้ คล้ายๆฟอร์แมทที่เราเรียกว่า JPEG อย่างทุกวันนี้ เหมือนฟิลม์เอ็กซเรย์หรือฟิลม์ถ่ายรูปที่ล้างแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้ว 

     ต่อมามีกล้องถ่ายรูปสำหรับมือโปรรุ่นใหม่ สามารถเก็บเฉพาะข้อมูลดิจิตอลจริงๆโดยไม่เก็บค่าต่างๆที่ตั้งไว้ตอนถ่าย เรียกระบบการเก็บภาพแบบใหม่นี้ว่า RAW ภาพแบบนี้เก็บไว้แล้วไปภายหน้าจะเอาไปปรับหน้ากล้องปรับคอนทราสท์หรือเปลี่ยนสีอย่างไรก็ได้ เพราะมันเก็บมาแต่ข้อมูลพื้นฐาน ไม่ได้เก็บเอาค่าที่ตั้งไว้ขณะถ่ายมาด้วย เหมือนฟิลม์ที่ถ่ายแล้วแต่ยังไม่ได้ล้าง จะเอาไปล้างด้วยวิธีไหนก็ยังได้อยู่

     อุปมาการมองเห็นสิ่งต่างๆผ่านสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือผ่าน identity ของเราเหมือนการถ่ายภาพในฟอร์แมท JPEG ภาพที่ได้มามีภาษาบรรยาย ซึ่งก็คืออคติหรือมู้ดแอนด์โทนในทิศทางที่มุ่งปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลของเรา จะเรียกว่าเป็นการเห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น (What should be) ก็ได้ การมองเห็นแบบนี้จะล็อคสะเป็คให้การนำข้อมูลขึ้นมาใช้ข้างหน้ามีทิศทางไปทางเดียว คือทางที่มุ่งปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลของเราให้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น พูดง่ายๆว่าเป็นวิธีมองที่จะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เป็นแค่สิ่งที่ใจเรากุขึ้นมันไม่ใช่ของจริงที่จะอยู่ยั้งยืนยงอะไร

     ขณะที่การมองเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นหรือ What is นั้น เหมือนการถ่ายภาพแบบ RAW คือเก็บมาแต่รายละเอียดของภาพโดยไม่มีภาษาบรรยาย เป็นข้อมูลที่ได้จากการมองออกไปนอกกรอบของความคิด (intuition) เป็นข้อมูลความจริงที่หยิบกลับขึ้นมาใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ไม่จำกัดรูปแบบการใช้งานเพราะไม่ถูกบิดเบือนหรือบดบังด้วยกรอบความคิดเก่าๆของเรา

     นาทีนี้ให้ทุกคนมองไปรอบๆ ให้เห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น บันทึกแต่ภาพ ไม่บันทึกเรื่องราวประกอบ

     คราวนี้ให้ทุกคนหลับตา ถอยความสนใจเข้าไปอยู่ข้างในที่ลึกที่สุด มองฝ่าหนังตาออกไปก็จะเห็นเหมือนภาพผ้าใบสีดำผืนใหญ่อยู่ตรงหน้า มองให้เห็นแค่ภาพ ไม่เอาเรื่องราวประกอบ มองลึกละเอียดลงไปถึงลายผ้า ลึกลงไปถึงเส้นด้าย เหมือนซูมภาพให้ลึกละเอียดถึง pixel แต่ทั้งหมดนี้จำกัดแค่ความเป็นภาพนะ ไม่เอาภาษาเข้ามาสร้างเรื่องราว 

     คราวนี้แอบมองออกมายังใจของเราบ้าง แอบดูว่ามีความคิดอะไรโผล่เข้ามาบ้าง หากมีความคิดอะไรโผล่มาในใจให้รับรู้ปล่อยมันไปไม่สนใจไปติดต่อยอด เหมือนท้องฟ้าชำเลืองเห็นก้อนเมฆที่ลอยผ่านเข้ามาทีละก้อน ทีละก้อนแล้วก็ปล่อยให้มันลอยผ่านไป แค่สังเกตหรือรับรู้ โดยไม่ไปผสมโรงคิดต่อยอด หรือเพิกเฉยต่อความคิดนั้นเสีย หันมาสนใจแต่ภาพผืนผ้าใบสีดำหรือสีอะไรก็ตามที่ข้างหน้านี้ต่อ สนใจให้ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป ใช้เทคนิคทำสมาธิเพื่อเปิดรับพลังงานจากภายนอกที่เรียนไปเมื่อวานนี้เอามาใช้ด้วย หายใจลึกๆเข้ารับเอาพลังงานเข้ามาด้วย มองภาพข้างหน้าด้วย หายใจออก ยิ้ม ผ่อนคลายร่ายกาย และรับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าบนผิวกายเหมือนว่าพลังงานที่รับเข้ามามันกระจายไปทั่วร่างกาย ค่อยๆทำอย่างนี้ไปจน ร่างกายผ่อนคลาย ใจหมดความคิด 

     ตอนนี้เราสงบเย็นแล้ว ณ จุดนี้คือพื้นฐานของการจะออกไปใช้ชีวิต คือเราต้องสงบเย็นก่อนแล้วค่อยออกไปใช้ชีวิต ไม่ใช่ใจเรารุ่มร้อนด้วยความคิดแล้วไปวิ่งหาความสงบเย็นที่ข้างนอก มันเป็นไปไม่ได้ ต้องวางความคิดให้หมดก่อน แล้วความสงบเย็นมันรอเราอยู่แล้วที่ข้างใน จากนี้เราก็พร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิต เพราะชีวิตเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์เต็มศักยภาพที่เรามี ไม่ใช่เกิดมาเพื่อจุ่มตัวเองอยู่ในความคิดให้ร้อนรนแล้ววิ่งออกไปหาความสงบเย็นที่ข้างนอก ซึ่งแบบนั้นหาไปทั้งชาติก็หาไม่เจอ

     โอเค. คราวนี้ค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง รับรู้สิ่งเร้าข้างนอก ภาพ เสียง สัมผัส ตามที่มันเป็น 

     เป็นธรรมดาเมื่อเปิดรับสิ่งเร้า ก็จะเกิดความรู้สีกหรือ feeling ขึ้นมา จะเป็นความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบ ก็แล้วแต่ ให้รับรู้มันในฐานะความรู้สึก ซึ่งมันก็มีธรรมชาติมาแล้วก็ไปเช่นกัน แค่รับรู้ความรู้สึก โดยไม่ไปคิดอะไรต่อยอด หรือเมื่อเผลอมีความคิดต่อยอดลอยเข้ามา ก็ให้แค่สังเกตรับรู้แล้วเพิกเฉยต่อมันเสีย รับรู้มันตามที่มันเป็นโดยไม่เอาภาษาไปอธิบาย เช่นเดียวกับที่เรารับรู้ภาพเสียงสัมผัส 

     ด้วยวิธีมองเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นอย่างนี้ วันนี้ใครมีภาระกิจแผนการอะไรเราก็ทำไปในฐานะตัวละครที่ต้องเล่นบทของตัวเองบนเวที อินกับบทบาทที่ได้รับมาพอไม่ให้คนดูเซ็งว่านักแสดงอะไรช่างเล่นละครได้จืดชืดซะ แต่ไม่ถึงกับอินมากเกินไป เพราะตัวละครบนเวทีนั้นเป็น identity ของเราก็เฉพาะแค่เวลาที่เราอยู่บนเวที เราที่แท้จริงนั้นเป็นผู้แอบชมละครจากข้างหลังเวที ไม่ต้องไปรู้หรอกว่าเราที่แท้จริงเป็นใครหรือเป็นอะไร นั่นไม่ใช่ความรู้ที่จำเป็นในตอนนี้ ตอนนี้รู้แค่ว่าเราที่แท้จริงไม่ใช่ identity นี้ ไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่ความคิดนี้ ความเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวละครตัวนี้บนเวทีนี้ก็เป็นแค่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเราซึ่งเป็นผู้ชมอยู่หลังเวที รู้แค่นี้ก็เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสร้างสรรค์ได้เต็มศักยภาพโดยไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการเกิดมามีชีวิตได้แล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์