จิตวิญญาณ (Spirituality)

ตัวคนเดียวจะอยู่อย่างไรให้มีความสุข

 

โรงเก็บเครื่องมือ (เล้าไก่) ของหมอสันต์

เรียนคุณหมอ

ดิฉันตัวคนเดียว อายุ 46 ปี เป็นโรคซึมเศร้ามานานแล้ว ทุกวันนี้กินยา และใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ  มีบางวันจิตตกบ้าง กลัว กังวลเวลามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย  กลัวเป็นโรคร้ายมากๆ ไม่รู้ทำไมกลัวขนาดน้้น บางครั้งกินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย จะปรึกษาใครก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว ตกงานมาหลายปี ไม่มีใครรับ คงจะเพราะอายุมากแล้ว  ดิฉันทำงานบริษัทเอกชนมาตลอด จนอายุ 40 ก็ตกงาน  มีเงินเก็บพอใช้นิดหน่อย  ทุกวันนี้เบื่อชีวิต มันเงียบเหงา มันไม่มีใครคุย หรือปรึกษาได้เลย ถ้ายังต้องอยู่สภาพแวดล้อมแบบนี้คงไม่เป็นผลดีกับตัวเอง  ดิฉันโทรหาเพื่อนบ้าง แต่เค้าก็คุยตามมารยาท  ไม่มีใครโทรมาถามทุกข์สุขดิฉันเลยสักครั้ง  มีแต่ดิฉันเป็นฝ่ายโทรไป  ได้คุยสัก 5 นาที เค้าก็วางแล้ว ทำให้ดิฉันไม่อยากไปรบกวนพวกเค้าอีก  แต่การอยู่คนเดียวมันก็ทรมานใจนะคะ ไม่รู้ชีวิตจะไปทางไหน  ไม่รู้จะปรึกษาใคร และจะอยู่ไปทำไม  ดิฉันอ่านเรื่องการฝึก self awareness ของคุณหมอ ก็พยายามจะทำให้ได้  แต่สภาพแวดล้อมที่อยู่มันโดดเดี่ยวเหลือเกิน  จะแก้ไขอย่างไรได้คะ  ขอโทษที่รบกวนเวลาคุณหมอนะคะ แต่ไม่มีใครจริงๆ และอยากหลุดจากวังวนแบบนี้ซักที  มันทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ค่ะ

ด้วยความนับถือ

………………………………………………

ตอบครับ

     ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าหมอสันต์ไม่รับทำจิตบำบัดด้วยวิธีปลอบโยนหรือที่เรียกว่า psychotherapy นะ ไม่ได้หมายความว่าวิธีรักษาแบบนั้นไม่ดี แค่ผมไม่ชอบที่จะทำแบบนั้น เรียกว่าไม่ถูกจริตก็แล้วกัน ดังนั้นการตอบปัญหาของคุณผมจะชี้ทางให้เห็น เพื่อเป็นทางให้คุณเลือกเดินไป แล้วก็จบกันแค่นั้น ถ้าคุณรู้ทางไปแล้วแต่ก็ยังเดินไปเสียอีกทางหนึ่ง ฮี่..ฮี่ แล้วผมจะทำอะไรได้เล่าครับ นอกจากกล่าวคำว่าสวัสดี

     สิ่งที่คุณเล่ามา มันเป็นอาการของโรคซึมเศร้าขนานแท้และดั้งเดิม สาระหลักเกี่ยวกับชีวิตของคุณก็คือคุณปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดที่ชงขึ้นมาโดย “สำนึกว่าเป็นบุคคล” ของคุณเองหรือ “ดิฉัน” นั่นแหละ มันชงความคิดต่างๆขึ้นมาเพื่อให้คุณปักใจเชื่อและลุ่มหลงในสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้มากขึ้นๆ แบบว่า

          “..ฉัน ตรมระทมหนักหนา ดู หรือโชคชะตา 

     เกิดมาอาภัพเหลือทน

     เหมือน ฝุ่น ละอองตามท้องถนน อาภัพ อับจน

     ความหวังมืดมน จนรักก็จาง

          ..ชีวิตแทบวาย จุดหมายเลือนลาง

     ญาติ มิตรเมินห่าง คิดไป คิดไป คิดไป อ้างว้าง เหลือ เกิน…”

        ..ไหว หวั่นร้าวราญหวั่นไหว 

     ชีวิตก้าวผิดไป โทษใครเรามันไร้เงิน

    ไร้ เกียรติ เขาจึงเหยียดหยามกล้ำเกิน

     เพื่อนฝูงไม่มอง พี่น้องกลับเมิน เดินหนีร่ำไป

        ..ที่รักก็จาง ที่หวัง ก็ไกล ยิ่งคิด ครวญใคร่

     น้อยใจ น้อยใจ น้อยใจ…”

     (ฮือ ฮือ ฮือ..เศร้าโว้ย)

     ประเด็นที่ 1. กายและใจของคุณ ถูกฝึกมาโดยคุณเอง ถ้าร่างกายทำท่าไม่สบายคุณรีบเข้านอนห่มผ้า ลางาน ทำตัวซึมๆเซื่องๆ คุณจะเป็นคนป่วยบ่อย แต่ถ้าคุณตั้งใจจะทำอะไรแล้วร่างกายของคุณกระบิดกระบวนแล้วคุณไม่ยอม คุณดื้อดึงบังคับให้ร่างกายไปทำสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำจนเสร็จ ถึงเวลาออกกำลังกายคุณต้องไปออกไม่ว่าจะมีไข้ไม่มีไข้เพลียไม่เพลีย คุณจะเป็นคนที่ไม่ป่วยบ่อย เพราะวิธีที่คุณดูแลร่างกายคุณ เสี้ยมนิสัยให้ร่างกายคุณ

     เช่นเดียวกัน ถ้าคุณอวยความคิดลบที่เกิดขึ้นในใจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการดราม่า (คิดต่อยอด) อารมณ์เศร้า การย้ำคิดอยู่กับความกลัว ความกังวล ความน้อยใจคนอื่น ความสงสารตัวเอง นี่คุณกำลังซ้อมเป็นบ้าอยู่นะ ซ้อมไปซ้อมมา พอชำนาญถึงระดับหนึ่งคุณก็จะกลายเป็นบ้าจริงๆ

     ประเด็นที่ 2. ความคิดไม่ใช่คุณ คุณคือความรู้ตัว สามารถตื่นรับรู้อะไรได้ แต่ความคิดคือสิ่งที่งอกขึ้นมาภายในความรู้ตัว คุณเป็นผู้สังเกตเห็นความคิด คุณไม่ใช่ความคิด ความคิดมาแล้วก็ไป แต่คุณอยู่นี่มานานแล้วตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยไปไหน

     ความเศร้าเป็นความคิดชนิดมีสองหัว หัวหนึ่งปรากฎเป็นภาษาเป็นเนื้อหาสาระเรื่องราว อีกหัวหนึ่งปรากฏเป็นความรู้สึกในใจ ตัวความรู้สึกในใจแบบว่าอึมๆครึมๆอึดๆอัดๆไม่ชอบเลยนี้ ถ้าคุณเฉยๆกับมันเสีย มันมีธรรมชาติมาแล้วก็ไป แต่หากคุณไปผสมโรงเล่นด้วย เรียกว่าไปดราม่ากับมันเข้า เปรียบเหมือนไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์ผ่านมาแวะจอดหน้าบ้านทีไร คุณก็เผลอตัวขึ้นซ้อนท้ายมอไซค์ไปกับเขาทุกที พอเกิดเรื่องงามหน้าขึ้นแล้วคุณจะโทษใครได้ละ

     ประเด็นที่ 3. สำนึกว่าเป็นบุคคลนี้ เป็นเพียงความคิด สิ่งที่คุณเรียกว่า “ดิฉัน” นี่แหละคือสำนึกว่าเป็นบุคคล มันเป็นคอนเซ็พท์ หรือกลุ่มของความคิดที่ถักทอเรื่องราวไว้แบบค่อยๆแน่นขึ้น แน่นขึ้น ตั้งแต่เล็กจนโตโดยคุณไม่รู้ตัว มันเต้าความคิดขึ้นมาให้คุณกังวลห่วงใยมัน สงสารมัน และเรียกร้องให้คุณไปอ้อนวอนคนอื่นๆรอบๆตัวคุณให้มาร่วมห่วงใยมันและสงสารมันด้วย บางทีคนอื่นไม่ยอมมาสงสารมัน มันก็จะยุแยงตะแคงรั่วให้คุณไปโกรธไปแค้นไปอิจฉาริษยาเลิกนับญาติกับคนพวกนั้นซะจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้คุณ แล้วมันก็จะบอกคุณว่า..เห็นแมะ “ดิฉัน” ตัวนี้ช่างอาภัพอับวาสนาน่าสงสารซะเหลือเกิน ทั้งหมดนี้คือความคิดนะ ซึ่งผมจัดกลุ่มง่ายๆว่าเป็นความคิดขี้หมา ซึ่งไม่มีประโยชน์สร้างสรรค์อะไรกับชีวิตคุณเลย คุณอย่าไปเคารพนับถือความคิดต่อยอดความเศร้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวคุณ มันคือความคิดขี้หมาที่คอยครอบคุณไว้ไม่ให้คุณได้มีโอกาสมีชีวิตที่เบิกบานและสร้างสรรค์

     ประเด็นที่ 4. เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเสียใหม่อย่างสิ้นเชิง ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ชีวิตเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต วิธีใช้ชีวิตที่ผ่านมาของคุณคือมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ “ดิฉัน” ซึ่งเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณ แต่ว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นทำให้ชีวิตของคุณทุกข์ระทมไส้ขมอกไหม้มากมายดังที่คุณได้พรรณามาแล้ว สูตรของการใช้ชีวิตมีอยู่ง่ายๆแค่ว่า 

     “..หากวิธีใช้ชีวิตแบบเดิม คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ทำให้คุณเป็นทุกข์ 

     ไม่มีทางเสียหรอกที่คุณจะออกจากทุกข์นั้นได้

     ด้วยการใช้ชีวิตแบบเดิมๆนั้น…”

     ฮี่..ฮี่ ไม่ใช่คำสอนของใครที่ไหนหรอก เป็นสูตรที่หมอสันต์เต้าขึ้นมาเอง แปลว่าการจะออกจากทุกข์ที่เกิดจากการใช้ชีวิตแบบเดิมๆนี้ได้ คุณต้องเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเสียใหม่อย่างสิ้นเชิง ดังนี้

     3.1 เลิกอวยกับ “ดิฉัน” เสียที มันเป็นแค่ความคิด มันจะเป็นตายอย่างไรก็ช่างแม..อุ๊บ ขอโทษ ช่างมันเถอะ เลิกฟัง เลิกสน เลิกสนอง เลิกสนใจคอนเซ็พท์ ความเชื่อ ความบ้าใดๆในใจที่ยึดถือไว้เสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นความบ้าดี ความบ้าถูกผิด ความบ้ากตัญญู ความบ้า ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดที่คุณย้ำคิดแล้วพาคุณจมลงมาอยู่ ณ ที่ตรงนี้

     3.2 ตื่นมาตอนเช้าของแต่ละวัน ตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่เมื่อวานนี้หรือวันก่อนๆในชีวิตไม่เคยทำ เคยเป็นทาสในเรือนเบี้ยของความซึมเศร้า วันนี้ลองใหม่จะไม่ยอมแพ้แก่ความซึมเศร้า ผมรู้ เวลามันมามามาเหมือนม่านหมอกที่แผ่คลุมไปทั่วแล้วจิตใจก็จะเศร้าในบัดดลเหมือนกับปลาที่ถูกแหเหวี่ยงลงมาครอบสุดที่จะหลุดลอดออกไปไหนได้ แต่นั้นเป็นเพราะเราไปให้ค่ามัน ในความเป็นจริงความเศร้ามันเป็นแค่ feeling มันมาแล้ว มันก็ไป หากคุณไม่ยอมไปดราม่ากับมัน ผมหมายถึงไม่ไปคิดอะไรต่อยอดเป็นตุเป็นตุ มันมาแล้วก็แค่รู้ว่ามันมาแต่ไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ราคา อยู่สักพัก แล้วมันก็ไป ไม่มีเสียหรอกที่มันจะอยู่กับคุณทั้งวันทั้งคืนหากคุณแค่มองมันเฉยๆโดยไม่ยอมไปดราม่ากับมัน  

     3.3 หันมาใช้ชีวิตนี้ให้มันมีค่ากับโลกกับชีวิตอื่นให้สมกับที่อุตส่าห์ได้เกิดมาทั้งที ร่างกายที่เราใช้งานอยู่นี้เป็นหนี้บุญคุณดินอยู่นะ เพราะร่างกายนี้โตขึ้นมาได้ด้วยอาหารที่ได้มาจากดิน ลองทำอะไรตอบแทนดินสักหน่อยสิ ลองปลูกต้นไม้สักต้นก็ได้ หรือออกไปนอกบ้านเก็บขยะที่ถนนนอกบ้าน หรือกวาดใบไม้ที่ถนนนอกบ้าน ถ้าไม่เคยออกกำลังกาย ทุกวันออกไปวิ่งออกกำลังกายดูหน่อย ผมรู้ว่าคุณไม่เคยทำ แต่ผมให้คุณลองดู

     ชีวิตที่ได้มานี้มันมีองค์ประกอบอยู่สองอย่างนะ คือพลังงานกับสัมปะทานเวลา ก่อนที่สัมปะทานจะหมด จะไม่ใช้ชีวิตให้มันเป็นประโยชน์กับโลกหรือชีวิตอื่นดูสักหน่อยเลยหรือ อย่าไปฟังคำทัดทานของ “ดิฉัน” ที่ร้องทักท้วงว่าเฮ้ย 

     “ทำงั้นได้ไง คนอื่นเขาต้องมาช่วยอวยเรา ไม่ใช่ให้เราซึ่งกำลังเศร้าไปช่วยอวยคนอื่น” 

     คุณอย่าไปสนใจคำทักท้วง ให้เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเสียใหม่โดยไม่ต้องสนใจ “ดิฉัน” เดินออกไปนอกบ้าน เจอใครก็ไม่รู้คนแรกที่เดินสวนมา ยิ้มให้เขาด้วยความปรารถนาดี ลองดูหน่อยสิ อย่าไปสนใจว่าเขาจะตกใจหรือรีบเบือนหน้าหนี ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็จะยิ่งเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองวิธีใช้ชีวิตใหม่วิธีที่สอง คือให้อภัยเขาด้วยความเห็นใจ หรือขอโทษเขาอย่างอ่อนน้อมเสียเลย 

    แนวทางชีวิตใหม่มีคำสำคัญอยู่สี่คำ คือ ขอบคุณ เมตตา ให้อภัย ขอโทษ ทุกๆวันที่ตื่นขึ้นมาให้คุณถามตัวเองสักหน่อยว่าวันนี้จะทำอะไรสักอย่างสองอย่างบนแนวทางชีวิตใหม่นี้ที่เมื่อวานนี้หรือวันก่อนๆยังไม่เคยทำ 

     ประเด็นที่ 5. สนใจอะไรจริงจังแล้วจะพบกับความหมายของชีวิต กุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้คุณมีความสุขกับการใช้ชีวิตก็คือความสนใจ (attention) ของคุณนั่นแหละ มันเป็นแหล่งของพลังงานระดับมหาศาล ให้คุณสนใจ pay attention อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ “ดิฉัน” อย่างจริงจัง เมื่อคุณมองดูดอกไม้ดอกหนึ่งให้คุณมองดูมันอย่างจริงจังในรายละเอียด รับรู้มันตามที่มันเป็นโดยไม่ต้องเอาภาษา หรือคอนเซ็พท์ หรือคำตัดสินถูกผิดในใจไปครอบ ไม่ต้องไปสร้างเรื่องราวประกอบ แค่สนใจมันตามที่มันเป็น สนใจอย่างยิ่ง absolute attention ทำอย่างนี้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความสนใจอะไรสักอย่างตามที่มันเป็นนี้ จะให้ชีวิตใหม่แก่คุณเอง

     นานมาแล้วสมัยผมทำงานเป็นหมออยู่เมืองนอก มีคนไข้เก่าฝากนกกระดาษพับมาให้ตัวหนึ่ง ผมจำไม่ได้หรอกว่าเป็นคนไข้คนไหนเพราะชื่อฝรั่งจำยาก แต่เมื่อรับนกมาผมมองดูนกนั้นอย่างละเอียดก็เห็นว่านกนั้นพับมาอย่างได้เหลี่ยมได้มุมอย่างปราณีตบรรจง ประมาณปีต่อมาก็ได้พบกับผู้ป่วยเจ้าของนกซึ่งมาที่คลินิกติดตามผู้ป่วยหลังผ่าตัด เธอเล่าว่าหลังผ่าตัดไปใหม่ๆเธอว้าวุ่นกังวลเรื่องสุขภาพของตัวเองมากมีแต่ความทุกข์ความกลัวและความเศร้า แต่เมื่อได้สนใจหัดพับนกอย่างจริงๆจังๆเธอพบว่าชีวิตเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดี เธอเล่าว่าเธอไปสอนให้เด็กนักเรียนพับนกอย่างปราณีตแล้วระบายสี แบบสอนให้ฟรีๆหลังเด็กเลิกเรียน นี่แหละเป็นตัวอย่างที่ผมบอกว่าให้สนใจอะไรอย่างจริงจังสักอย่าง แล้วก็จะพบว่าความหมายของชีวิตซ่อนอยู่ในนั้น

     ประเด็นที่ 6. ความแตกต่างระหว่าง “ความเหงา” กับ “วิเวก” เมื่อเราอยู่คนเดียว ใจเราจะเข้าไปอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งในสองภาวะนี้ คือ “ความเหงา” ซึ่งหมายถึงเราอยู่ในความคิดที่สำนึกว่าเป็นบุคคลของเรา หรือ “ดิฉัน” ชงขึ้น โอดโอย ร่ำร้อง เรียกหา ให้มีใครมารักมาสนใจหรืออย่างน้อยก็มาเป็นเพื่อนให้ “ดิฉัน” คนนี้คลายเหงา พูดง่ายๆว่าอยู่คนเดียวแล้วเป็นทุกข์ 

     กับอีกภาวะหนึ่งคือ “วิเวก” ซึ่งหมายถึงเราอยู่ในความรู้ตัว ปลอดความคิด ที่ตรงนั้นมันสงบเย็น ว่าง สบายดี เป็นความสงบสุขที่รอเราอยู่ที่นั่นที่ข้างในตลอดเวลา ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหน แค่เราวางความคิดได้เมื่อไหร่ก็ไปถึงตรงนั้นได้เมื่อนั้น พูดง่ายๆว่าอยู่คนเดียวแล้วเป็นสุข

     คุณอยู่คนเดียว เป็นโอกาสดีที่จะฝึกเดินทางจากความเหงาไปหาวิเวกด้วยตัวเองโดยไม่มีอุปสรรคภายนอกเช่นความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอันรกรุงรังมาเป็นเครื่องขวางกั้น ที่คุณร้องโอดโอยว่ามันโดดเดี่ยวเหลือเกินนั้นแท้จริงมันคือสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับคุณแล้ว ขอให้มองเห็นตรงนี้ 

     วิเวกนั้นอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เส้นทางไปสู่วิเวกก็มีอยู่แล้ว ผมกำลังชี้ทางให้อยู่นี่ไง ตอนนี้คุณจึงมีทางเลือกอยู่สองทาง หนึ่ง คือทดลองเดินไปตามทางที่ผมชี้ หรือ สอง ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดที่ “ดิฉัน” กุขึ้นซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมเรียกว่า “ซ้อมบ้า” ต่อไปเหมือนเดิม จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ  

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์