Latest

(เรื่องไร้สาระ16) ป่ามอสและกล้วยไม้

เมื่อเดือนก่อนไปหาซื้อกล้วยไม้ เจ้าของไม่เอาเงิน แถมให้กล้วยไม้สกุลแวนด้ามาอีกเป็นกระตั๊ก หมอสมวงศ์บอกว่ากล้วยไม้กลุ่มนี้ต้องการความชื้นสูง แต่ว่าที่บ้านมวกเหล็กนี้มีแต่ความแห้ง ความชื้นไม่มี ผมจึงคิดจะทำสวนแบบป่าชุ่มฉ่ำ กะว่าจะใช้พื้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่นอกระเบียงข้างตะวันตกของบ้านนี่แหละ มือระดับนี้จะไม่ทำแบบเรือนกล้วยไม้ที่เขาทำกันทั่วไปเพราะมันเชย แต่จะทำให้เป็นสวนป่าธรรมชาติข้างบนมีกล้วยไม้ขึ้นตามต้นไม้ใหญ่ ข้างล่างบนพื้นดินมีมอสเขียวๆ เวลานั่งทำงานบนระเบียงบ้านจะได้มองเห็นและได้สัมผัสความเย็นหิ หิ ฝันไปพลางๆก่อน ตัวเองยังไม่มีความรู้เลยว่ามอสเขาปลูกกันอย่างไร รู้แต่ว่ามันต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างความชื้นก่อน

ก่อนเริ่มโครงการผมชวนหมอสมวงศ์ไปหาซื้อหัวพ่นหมอกและมอสที่สวนจตุรจักร ไปพบพ่อค้าญี่ปุ่นคนหนึ่งพูดไทยกระท่อนกระแท่น เขาเห็นผมถือต้นมะกอกฝรั่งที่ผมกะซื้อมาไว้กินใบก็เข้ามาถามว่านี่ต้นอะไร คุยกันไปมาจึงรู้ว่าเขาพยายามขายต้นเมเปิลซึ่งเขาเอามาจากญี่ปุ่นให้ผม ผมถามว่าเขาขายต้นเท่าไหร่ เขาบอก 1500 บาท ปกติผมไม่ชอบต่อราคาสินค้า แต่ฟังราคาของเขาแล้วผมหัวเราะและบอกด้วยความจริงใจว่าผมไม่มีเงินมากขนาดซื้อต้นไม้ต้นละพันกว่าบาทหรอก ถ้า 500 ละก็พูดกันได้ เขาซื้ดลมเข้าปากเหมือนกินอะไรเผ็ดๆ เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนจะพูดความลับและบอกว่าเขาจะขายให้ผมเป็นพิเศษในราคา 600 บาทละกัน ผมชั่งใจนิดหนึ่ง เอาไปปลูกไว้ข้างสวนป่ามอสและกล้วยไม้ก็ไม่เลวนะ โอเค. คิดในใจว่าไม่เป็นไร ซื้อเหอะ อย่างมากก็ถูกคนญี่ปุ่นหลอก

ต้นเมเปิล อย่างมากก็ถูกคนญี่ปุ่นหลอก

กลับมาถึงมวกเหล็กแล้วก็เริ่มต้นด้วยสร้างกลไกให้ความชื้นด้วยวิธีที่ประหยัดที่สุดคือยกหัวสปริงเกลอร์น้ำบาดาลของเดิมให้สูงขึ้นไปเหนือระดับกิ่งไม้ใบไม้ คือปลดหัวสปริงเกลอร์เดิมออก เอาท่อเหล็ก 4 หุน สูง 6 เมตรบ้าง 2 เมตรบ้าง 1.5 เมตรบ้าง มาคั่นกลางแล้วใส่สปริงเกิ้ลที่ปลายท่อ แล้วตั้งท่อสูงขึ้นไป ท่อหกเมตรมันสูงมากเอาการอยู่ ต้องแหงนดูคอตั้งบ่า แล้วทดสอบน้ำ แถ่น แทน แท้น มันพ่นน้ำเป็นฝอยระไปตามใบไม้ยืนต้นสี่ห้าต้นในละแวกนั้น หัวสปริงเกิ้ลเดิมนี้ตั้งไว้ให้พ่นครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้งโดยพ่นแต่ระดับผิวดิน คราวนี้พ่นแต่ละครั้งน้ำจะไปเกาะอยู่ตามใบไม้สูงเหนือศีรษะ แล้วก็ค่อยๆทะยอยย้อย หยด ลดหลั่นกันลงมา แหมะ..แหมะ.. แหมะ กว่าจะหมดและแห้งก็เป็นชั่วโมงอยู่ ทั้งหมดนี้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในระยะยาวเพิ่ม เพราะใช้ระบบให้น้ำเดิมที่มีอยู่แล้วและฉีดนานเท่าเดิมแค่ยกหัวฉีดให้สูงขึ้น

ตั้งสปริงเกลอร์ขึ้นไปสูง 6 เมตร

กลไกที่สองที่ผมตั้งใจจะทำขึ้นคือระบบพ่นหมอก น้ำที่จะใช้พ่นหมอกนี่ใครๆเขาก็ห้ามใช้น้ำบาดาลเพราะว่าจะทำให้หัวพ่นหมอกมันตันทันทีจากหินปูนอุดรูพ่น จึงต้องใช้น้ำฝน หมายความว่าต้องไปต่อท่อมาจากระบบจ่ายน้ำฝนที่ใช้อยู่ในบ้าน ผมจึงถือโอกาสนี้ตรวจปริมาณน้ำฝนที่เหลืออยู่ซะเลย ด้วยการเดินเคาะฟังเสียงถังเก็บที่หลังบ้านไปทีละใบ แล้วก็ต้องตกใจ

“..แว้ก..ก น้ำหมด”

เคาะแล้วจึงพบว่าน้ำในทุกถังรวมทั้งสิ้น 7 ถังได้แห้งลงเกือบถึงพื้นดิน เอ๋อ.. อะไรกันเนี่ย นี่มันเพิ่งเดือนกุมภาเองนะ แล้วก็มาถึงบางอ้อ เมื่อเห็นน้ำรั่วออกมาจากก้นถังใบหนึ่ง กลไกการรั่วก็เป็นแบบโจ๋งครึ่มเลย คือส่วนก้นของถังปริแตกออกเอง ที่เจ็บหัวใจยิ่งไปกว่านั้นคือผมเปิดวาล์วทุกตัวทิ้งไว้เพื่อให้น้ำทุกถังวิ่งเชื่อมต่อกันได้เพราะขี้เกียจมาคอยเปิดทีละถังเมื่อน้ำหมด ผลก็คือน้ำวิ่งเชื่อมกันได้สมใจ แต่วิ่งออกไปหมด ฮือ ฮือ ฮือ เวร..คำเดียวเลยจริงๆ

เย็นวันนั้นผมไปกินข้าวเย็นบ้านเพื่อน จึงบ่นให้เพื่อนฟังว่าถังน้ำนาโนที่คุยว่าทนแดดทนฝนรับประกันนานถึง 10 ปีนั้น เอาเข้าจริงๆก้นมันก็ปริแตกออกเพราะทนแรงอัดน้ำในตัวมันเองไม่ได้ เพื่อนซึ่งเป็นนายช่างรีบแนะนำว่า

“เคลมเลยสิครับคุณหมอ เคลมเลย คุณหมอซื้อมานานหรือยัง” ผมตอบว่า

“ผมเพิ่งซื้อมา 16 ปีเอง”

(ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

มอส 200 บาท ปลูกได้แค่ 1 ตรม.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไรที่รับประกันนานสิบปีนั้น อย่าเข้าใจผิดว่ามันจะอยู่ทนไปจนชั่วอายุขัยของคุณ หิ หิ เอ้า กลับมาอยู่กับถังเปล่าเจ็ดใบต่อกันดีกว่า เมื่อวัวหายแล้วก็ต้องล้อมคอก คราวนี้ผมเดินปิดวาลว์แยกน้ำในถังทุกใบทีละใบๆไม่ให้เชื่อมต่อถึงกัน พลางเอ่ยปากท่องโคลงสี่สุภาพที่จำได้จากสมัยเป็นนักเรียน

“…วัวหายจึงล้อมคอก กันวัว
ไม่เห็นวัวสักตัว คิดล้อม
แต่ก่อนบ่ห่อนกลัว วัวจัก หายนา
พูดแต่ทางอ้อมค้อม หมดเค้า เข้าตำราฯ…”

ฮี่ ฮี่ ยัง..ยัง โบราณว่าคนล้มอย่าข้าม ผมยังไม่หมดเค้า ผมยังมีน้ำฝนตุนไว้ที่ตีนเขาอีกสามถังใหญ่ น่าจะเกินสิบห้าคิว ขอบคุณโครงการเกี่ยวน้ำฝนของหมอสันต์ที่ทำไว้ตั้งแต่ปีกลาย คราวนี้ก็ต้องคิดอ่านเอาน้ำจากตีนเขาขึ้นมาบนเขา ต้องหาสูบน้ำชั่วคราวมาใช้ ความสูงในแนวดิ่งประมาณสามสิบเมตร สูบน้ำที่มีอยู่ในสวนแรงส่งไม่พอ จึงกัดฟันจ่ายสี่พันกว่าบาทซื้อสูบน้ำหอยโข่งขนาดเล็กมิตซูหนึ่งแรงม้า อ่านฉลากเขาคุยว่ามีแรงส่งในแนวดิ่ง (pump head) ถึง 38 เมตร ซึ่งเมื่อเอามาใช้งานจริงก็ดีสมราคาคุย

ย้ายน้ำฝนจากข้างล่างขึ้นมาข้างบนสำเร็จแล้ว คราวนี้ก็มาต่อระบบพ่นหมอก โดยต่อออกมาจากระบบจ่ายน้ำในบ้านซึ่งเป็นน้ำฝน พอต่อเสร็จทดลองพ่น แทนที่มันจะพ่นออกมาเป็นหมอกฟู่ฟ่า กลับออกมาเป็นน้ำหยดติ๋ง ติ๋งอย่างกับผู้ชายเป็นโรคต่อมลูกหมากโต เอ..เกิดผิดพลาดตรงไหนหรือ กลับไปค้นหาความรู้ในเน็ทดูใหม่ เขาบอกว่าหัวพ่นหมอกแบบนี้ต้องใช้แรงดัน 4-20 บาร์ หา.. อะไรนะ 4 บาร์เลยหรือ 1 บาร์ก็เท่ากับหนึ่งความดันบรรยากาศ คือดันน้ำขึ้นไปได้สูงราว 10 เมตร ปั๊มน้ำที่จ่ายน้ำฝนในบ้านมีแรงอย่างมากก็ 1.5 บาร์แค่นั้นเอง ก็ต้องทำระบบใหม่แยกออกมาสิ เสียเงิน ไม่เอาดีกว่า เอาระบบมินิก็แล้วกัน ผมหมายถึงมินิสปริงเกิ้ล ชัวร์ว่าไม่ตันแน่นอน ต่อระบบมินิสปริงเกิ้ลออกจากก๊อก แล้วจ่ายน้ำผ่าน timer ซึ่งเป็นตัวควบคุมเวลาของจีนที่ผมซื้อมาราคาสามร้อยบาท ของแบบเดียวกันนี้สมัยก่อนซื้อของอเมริกาตัวละสามพันบาท ขอบคุณประชาชนชาวจีนที่ช่วยผลิตของราคาถูกมาตัดหน้าอเมริกามหามิตร

ทดลองฉีดน้ำเมื่อติดสปริงเกลอร์เสร็จ

สร้างความชื้นได้แล้วคราวนี้ก็มาทดลองปลูกมอส ความอยากจะปลูกมอสนี้มีในใจมานานราว 20 ปีแล้ว เพิ่งจะมาสมประสงค์ก็ตอนวันนี้ซึ่งอาศัยบารมีของโควิด19 นี่แหละ ผมซื้อมอสรุ่นบุกเบิกสีเขียวๆมาเป็นก้อนเหมือนขนมปังก้อนเล็ก 5 ก้อน ก้อนละ 50 บาท ผมลองคลี่มันกระจายๆบนหินบ้าง บนเศษไม้เก่าบ้าง บนดินบ้าง ในร่มรำไรบ้าง ในที่อับแดดบ้าง แล้วจะคอยติดตามดูมันไปว่ามันชอบแบบไหนมากที่สุด แล้วค่อยขยายการปลูกไปบนพื้นที่แบบนั้น พื้นที่ตรงนี้มีทั้งหมดราว 20 ตารางเมตร แต่มอสที่มีอยู่พอคลี่ปลูกได้แค่ 1 ตารางเมตร เอาเหอะ มีเงินน้อยก็ทำน้อยๆไปก่อนอย่าเพิ่งโลภมาก มีคนบอกว่าหากอยากปลูกมากคราวเดียวให้เอามอสไปปั่นแล้วผสมกับนมบูดและนมเปรี้ยวแล้วราดไปบนพื้นที่ เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ ท่านผู้อ่านใครมีประสบการณ์เรื่องวิธีสร้างสวนมอสช่วยแนะนำหมอสันต์เอาบุญด้วย

หมอสมวงศ์แวะมาดูผลงานแล้วเปรยว่าเอากล้วยไม้ไปแปะสูงอยู่บนต้นไม้อย่างนั้นเธอไปดูแลไม่ได้ ก็จึงต้องคิดอ่านทำราวแขวนกล้วยไม้ที่หมอสมวงศ์จะเดินดูบนพื้นดินได้ด้วยอย่างน้อยสักหนึ่งราว ไปหาไม้ไผ่ต้นใหญ่มาทำเสาสองต้น ดูเท่เชียว เอาพลาสติกหุ้มตีนเสากันปลวก ตั้งเสาขึ้น แล้วบอกลุงดอนว่าผมจะไปส่งหมอสมวงศ์จ่ายตลาดก่อนนะ เดี๋ยวจะกลับมาทำราวแขวนต้นไม้ คิดไว้ในใจว่าจะทำแบบเท่ๆ คือเจาะรูเสาด้วยสิ่วแล้วเอาราวไม้ไผ่กลมแยงรอดรูจนทะลุเสาสองต้น จึงบอกให้ลุงดอนฝังเสาไปก่อน แต่พอกลับจากตลาดมาถึงบ้านปรากฎว่าลุงดอนฉวยโอกาสช่วงเจ้านายไม่อยู่ใช้ครีเอทีฟไอเดียของเขาเองบากหัวเสาไผ่ตงและพาดราวไม้ไผ่ไปแล้วเรียบน้อย หิ หิ อย่าได้เผลอเชียว ยิ่งอยู่กับผมมานาน ลุงดอนยิ่งชอบฉวยโอกาสแย่งใช้ความคิดสร้างสรรค์แซงหน้าเจ้านายบ่อยๆ นี่ถ้าเป็นอยู่ในกองทัพเยอรมันมีหวังถูกเลี้ยะพะไปนานแล้ว แต่อยู่กับหมอสันต์ไม่เป็นไร เพราะใครก็ตามที่มาอยู่กับหมอสันต์นานๆไปท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นคนมีนิสัยชอบทำอะไรแหกคอก แต่เรื่องที่เจ้านายจ้ำจี้จ้ำไชให้ทำโดยเฉพาะการเก็บเครื่องมือเข้าที่กลับไม่ชอบทำ อามิตตาภะ..พุทธะ

ทำราวไม้ไผ่เสร็จแล้วก็เอากล้วยไม้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้สกุลแวนด้าที่คนเขาให้มาเข้าประจำที่ ผูกไว้ตามต้นไม้บ้าง แขวนห้อยต่องแต่งอยู่บนราวไม้ไผ่บ้าง พวกกล้วยไม้สกุลหวายก็ใส่กระถางยัดกาบมะพร้าววางไว้บนดินในตำแหน่งที่ได้แสงมากหน่อย เพราะหมอสมวงศ์บอกว่าพวกหวายต้องการแดดมากกว่าพวกแวนด้า ส่วนพวกฟาแลนก็ใส่กระถางตั้งบนราวไม้กระดานอยู่ห่างออกไป เพราะเขาบอกว่าฟาแลนอย่ารดน้ำมาก

รุ่งเช้าวันต่อมาผมตื่นแต่เช้ามาใช้จอบถากกระดุมทองซึ่งคลุมอยู่บนพื้นออกเพื่อเตรียมขยายพื้นที่ปลูกมอส ยังไม่มีความรู้เลยว่าจะขยายมอสอย่างไร แต่ถากไว้ก่อน ฝันไว้ว่าอยากจะมีมอสคลุมพื้นเขียวขจีหลายตารางเมตรที่แตะแล้วนุ่มมือและเย็นฉ่ำ ทำอยู่จนสาย โปรเจ็คป่าสวนมอสและกล้วยไม้ซึ่งเป็นการทำงานในบรรยากาศเย็นฉ่ำก็เสร็จ ปิดจ๊อบได้ จากนี้ไปกล้วยไม้ฟรีจะตายหรือจะรอด และมอสที่ซื้อมา 200 บาทจะกลายเป็นทุ่งมอสเขียวขจีหรือซากมอสกระดำกระด่าง นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่จะต้องติดตามดูกันต่อไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์