Latest

ขอวิธีที่หนูจะไม่ต้องมาเกิดอีก

สวัสดีค่ะคุณหมอ
หนูรบกวน ขอวิธีที่หนูจะไม่ต้องมาเกิดอีก มีกี่วิธีคะคุณหมอ ขอบคุณค่ะ
ป.ล. ที่ถามเพราะ หนูเห็นข่าวนักร้องอิสระที่ชื่อประกายฟ้า โดดตึกฆ่าตัวตาย เค้าทำแบบนี้ เค้าก็ต้องกลับมาเกิดอีกง่ะ (หนูไม่อยากเกิดมาเจออะไรที่แย่กว่าโควิดอีกเลย แล้วก็ไม่อยากเกิดมาทำอะไรตามฮอร์โมนในตัวพาไปอีกแล้วค่ะ )

…………………………………………….

ตอบครับ

ความจริงผมทิ้งจดหมายของคุณไปแล้ว แต่เมื่อตะกี้เผอิญอ่านผ่านวารสาร Lancet เห็นการตีพิมพ์ผลวิจัยการฆ่าตัวตายในอินเดียว่าปีหนึ่งสูงถึง 230,314 คน และกลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายมากที่สุดคือกลุ่มอายุ 15-29 ปี จึงคิดถึงจดหมายของคุณแล้วไปคุ้ยถังขยะหยิบขึ้นมาตอบใหม่ เพราะรู้สึกว่าถ้าคนแก่อย่างผมสนใจพูดคุยตอบคำถามกับคนรุ่นคุณสักหน่อย มันอาจช่วยเพิ่มความเข้าใจชีวิตและเปิดมุมมองด้านสวยงามของชีวิตให้คนรุ่นคุณมองเห็นได้มากขึ้นก็ได้

สิ่งที่ผมเห็นฉายแววในตัวคุณจากจดหมายฉบับนี้มีสองอย่างนะ (1) คุณมองเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ในรูปแบบที่ผ่านมา เป็นเรื่องไร้สาระน่าเบื่อหน่ายและคุณรับไม่ได้ จึงคิดหาทางจะไปพ้นๆชนิดไม่ต้องกลับมาเกิดอีก (2) คุณมองเห็นว่าความคิดที่ชี้นำชีวิตของคุณในช่วงที่ผ่านมานั้นถูกจี้เอาไปเป็นตัวประกัน (hijack) โดยฮอร์โมน โดยที่คุณมามองย้อนหลังแล้ว แต่ละครั้งคุณไม่ได้ยินยอมพร้อมใจแต่ก็หมดปัญญาที่จะต่อกรกับฮอร์โมนได้

แหม..สองอย่างเนี่ยมันดีมาก อายุแค่นี้ได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว แต่มันยังขาดไปอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่ขาดไปคือคุณและคนหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งหลายมองไม่เห็นว่าความคิดไม่ใช่ตัวคุณ คุณจึงไม่รู้ว่าคุณกำลังถูก hijack ด้วยความคิด และจะว่าไปแล้วการถูก hijack ด้วยฮอร์โมนนั้นจิ๊บๆ แต่การถูก hijack ด้วยความคิดนี้สิเป็นตัวแม่ มันทำให้ชีวิตของคุณถูกพาหลงทางเข้ารกเข้าพงมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ คอนเซ็พท์กฎเกณฑ์ค่านิยมที่สร้างโดยพ่อแม่โรงเรียนและสังคมยิ่งพาคุณหลงเข้าป่าลึกหนักเข้าไปอีกจนถึงจุดที่คนรุ่นคุณนึกว่านี่เป็นทางตันเสียแล้ว ทั้งๆที่ความจริงทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นจากความคิดของคุณเองทั้งนั้น คนรอบตัวซึ่งล้วนมีส่วนในการพาคุณหลงทางมาก็ไม่มีใครจะพาออกจากทางตันนี้ได้ ในที่สุดก็เลยไปจบที่การฆ่าตัวตาย หรือทำลายชีวิต ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นใช้ชีวิตจริงจังเลย

คุณถามว่าวิธีที่จะไม่กลับมาเกิดมีกี่วิธี ตอบว่ามีกี่วิธีผมไม่ทราบ แต่มีอยู่อย่างน้อยหนึ่งวิธีที่ผมยืนยันว่าได้ผลแน่ คือคุณฝึกวางความคิดในหัวคุณลงไปให้หมด วางเดี๋ยวนี้เลย วางให้หมดเกลี้ยงเลยนะ คุณที่เหลืออยู่ก็จะเหลืออยู่แค่ความรู้ตัว ในภาวะที่ตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ สามารถสนองตอบต่อสิ่งเร้าได้ แต่สงัดจากความคิด มันจะเป็นภาวะที่สงบเย็น สุขุม และจากจุดนี้ ความปราดเปรื่องจากส่วนลึกของคุณจะฉายออกมาชี้นำทางชีวิตให้คุณเอง ทั้งหมดนี้เกิดที่เดี๋ยวนี้ ที่ลมหายใจนี้เท่านั้น ไม่เกิดในอนาคต ไม่เกิดในเวลาอื่น

แล้วทำอย่างไรจึงจะวางความคิดได้สำเร็จ ตอบว่าให้คุณเริ่มที่ความสนใจ (attention) ของคุณ แทนที่จะเอาความสนใจไปขลุกอยู่ในความคิด เช่นว่าจะอยู่ต่อไปแบบหมอนๆหรือจะตายดี จะตายแบบไหนดีจะได้ไม่กลับมาเกิดอีก ฯลฯ ให้คุณถอยความสนใจออกมาจากความคิดเหล่านั้นทั้งหมดเสีย เอาความสนใจมาจอดไว้กับลมหายใจ หายใจเข้ารู้ตัวว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ตัวว่าหายใจออก ใหม่ๆความสนใจมันไม่ยอมอยู่กับลมหายใจ มันคอยจะหนีกลับไปกอดความคิดซึ่งเป็นคู่ขาเก่าของมัน คุณอาจจะต้องใช้เสียงช่วย หรือนับในใจ เช่นเข้า เข้า เข้า ออก ออก ออก หรือนับก็ได้ เช่นเข้าก็ 1 2 3 ออกก็ 123 ยิ่งความคิดมาแทรกถี่ก็ยิ่งนับดังนับเร็ว พอความคิดมันห่างไป คุณก็พูดคำพูดให้ห่างไป ห่างไป จนไม่ต้องพูดไม่ต้องนับ ตามดูลมหายใจอย่างเดียว

ขั้นต่อไปเมื่อเริ่มถอยความสนใจออกมาจากความคิดได้บ้างแล้ว ให้คุณหัดสังเกตหรือหัดชำเลืองดูความคิด
เช่นขยันถามตัวเองว่า “ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า” การจะตอบคำถามนี้ได้คุณก็ต้องไปตามหาว่าความสนใจมันไปขลุกอยู่ที่ไหน ซึ่งแน่นอนคุณจะพบแว้บแรกว่ามันไปขลุกอยู่ในความคิด ถ้าแรงดึงดูดให้ความสนใจของคุณออกมายังไม่แข็งแรง คุณไม่ต้องไปดูว่ามันกำลังคิดเรื่องอะไร ให้คุณหลับหูหลับตาลากเอาความสนใจกลับมาอยู่กับลมหายใจทันที เพื่อจะให้ตอบตัวเองได้ว่าคุณรู้ตัวอยู่ แต่ถ้าแรงดึงดูดความสนใจออกจากความคิดแข็งแรงแล้ว ให้คุณแอบชำเลืองดูความคิดนั้นสักครู่ ดูอย่างสนใจแบบคนนอกห้องแอบมองคนในห้องจากนอกห้อง แล้วคุณจะพบด้วยความประหลาดใจว่าเมื่อถูกคุณแอบดู ความคิดมันจะขวยอายแล้วฝ่อหายไป เมื่อใดที่ไม่มีความคิด ให้คุณจุ่มหรือแช่อยู่ตรงที่มีแต่ความรู้ตัวแต่ไม่มีความคิดนั้นนานๆที่สุดเท่าที่จะอยู่ได้ ฝึกทำไปจนความคิดบางลงๆ ความรู้ตัวมากขึ้นๆ แล้วจิตของคุณก็จะเริ่มมีพลัง ปัญญาญาณจะฉายแสงออกมาจากข้างใน มาชี้นำทางชีวิตให้คุณเลือกสนองตอบต่อสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างเหมาะเจาะเองโดยคุณไม่ต้องขบคิดหรือบีบบังคับตัวเองด้วยคอนเซ็พท์หรือหลักการใดๆเลย การฝึกขั้นตอนเหล่านี้มันจะง่ายขึ้นถ้าคุณเริ่มด้วยการนั่งสมาธิ (meditation) วันละสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง พอชำนาญแล้วก็ทำในการเรียนการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องนั่งหลับตาทำสมาธิก็ได้

เป้าหมายสุดท้ายคือให้คุณมองเห็นความคิดทุกความคิดที่ผ่านเข้ามาและเลือกวิธีสนองตอบต่อความคิดนั้นได้เองแบบสุขุมเยือกเย็นที่ไม่ใช่การตอกกลับอย่างเป็นอัตโนมัติ เมื่อคุณมาถึงจุดนี้ได้เมื่อใด คุณก็หลุดพ้นจากการถูกความคิดจี้เอาไปเป็นตัวประกันได้แล้ว ชีวิตของคุณจะมีแต่ความสงบเย็นและสร้างสรรค์ ไม่ต้องไปไตร่ตรองว่าตายแล้วจะต้องกลับมาเกิดอีกหรือเปล่า..เพราะอย่าลืมว่านั่นเป็นความคิดนะ คุณเพิ่งปลดแอกออกจากมันมาได้ เรื่องอะไรจะกลับเข้าไปเป็นตัวประก้นให้มันอีก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. India State-Level Disease Burden Initiative Suicide Collaborators. Gender differentials and state variations in suicide deaths in India: the Global Burden of Disease Study 1990–2016″. Lancet 2018;3(10): E478-E489.