Latest

ยุทธศาสตร์ฉุกเฉินส่วนตัวสำหรับประชาชน กทม.และปริมณฑล ในช่วงโควิดเข้าระยะเร่ง

ข้อมูลที่ได้จากโครงการชมรมแพทย์ชนบทร่วมกันสป.สช.ที่เข้าไปตรวจคัดกรองในชุมชนของกทม.เป็นข้อมูลที่เปิดวิสัยทัศน์ให้เห็นภาพอีกด้านหนึ่งของเหรียญได้ดีมาก การตรวจครั้งนั้นทำ 12 จุดในกมท. ตรวจได้ 31,518 คน พบว่าตรวจ Rapid test ได้ผลบวก 5,086 คน ตรวจ PCR ได้ผลบวก 5,133 คน หรือได้ผลบวก 16.28 % ข้อมูลชุดนี้สื่อตรงๆว่าการติดเชื้อในชุมชนของกทม.นั้นอาจแพร่ไปได้ถึง 16.28% หรือประมาณ 928,186 คนแล้ว หากคำนวณจากประชากรกทม. 5,701,394 คน ตัวเลขนี้อาจลำเอียงไปทางมากเกินจริงไปบ้างเพราะผู้ขยันเดินออกจากบ้านมารับการตรวจที่ 12 หน่วยนี้อาจจะเป็นผู้ที่เห็นว่าตัวเองมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปก็ได้ หากตัดทอนความลำเอียงนี้ลงไปให้เหลือแค่ 10% ประชากรกทม.ที่ติดเชื้อแล้วก็จะมี 570,138 คน ซึ่งเป็นจำนวนและเปอร์เซ็นต์ที่ถือว่ามากเกินพอที่จะก่อโมเมนตัมให้โรคแพร่ไปอย่างรวดเร็วแบบตูม..ม….ม และจบลงอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงประมาณ 3 เดือน

ในฐานะประชาชนคนธรรมดาของกทม.คนหนึ่ง สามเดือนนี้เราควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย หรือยุทธศาสตร์ส่วนบุคคลเพื่ออยู่ให้รอดจากโควิดคืออะไร นี่เป็นวัตถุประสงค์ที่ผมเขียนบทความนี้

แน่นอนที่สุดมาตรการพื้นฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลแล้วอันได้แก่ (1) สวมหน้ากาก (2) อยู่ห่าง (3) ล้างมือ (4) ฉีดวัคซีน ยังคงเป็นมาตรการหลักที่ยังต้องปฏิบัติอยู่อย่างเข้มงวดแม้ในบ้านของเราเอง แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำเป็นพิเศษสำหรับสามเดือนอันตรายนี้ คือ

1.. หันมาจัดการปัจจัยเสี่ยงโรคเรื้อรังของตัวเองอย่างจริงจัง ใช่แล้วครับ เรากำลังคุยกันถึงการตายเพราะโควิด ไม่ใช่ตายเพราะโรคเรื้อรัง แต่งานวิจัยที่อังกฤษ กับคน 387,109 คน พบว่าการตายจากโควิดมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังไม่กี่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (1) การไม่ได้ออกกำลังกาย (2) การมีน้ำหนักตัวมากเกิน (ซึ่งมาพร้อมกับไขมันในเลือดสูง) (3) การสูบบุหรี่ เนื่องจากแฟนบล็อกหมอสันต์ไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ดังนั้นเหลือเรื่องต้องรีบทำแค่สองอย่าง คือให้ท่านลุกมาออกกำลังกาย สามเดือนจากนี้ไปเป็นโอกาสดีเพราะไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้ยิมเปิด ออกที่บ้านตัวเองหรือในห้องนอนตัวเองนั่นแหละ สำหรับคนที่น้ำหนักเกิน ก็ให้ใช้สามเดือนอันตรายนี้ลดน้ำหนักของตัวเองอย่างจริงจัง

2.. ปรับอาหารมากินพืชให้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ลง เพราะงานวิจัยเปรียบเทียบอาหารของแพทย์พยาบาลด่านหน้าที่ติดโควิดแล้วป่วยหนักและตายในหกประเทศพบว่าพวกที่ป่่วยหนักและตายมากที่สุดเป็นพวกกินไม่เลือก คือกินทั้งเนื้อสัตว์และพืช ส่วนพวกกินแบบวีแกน (เจ) ป่วยหนักและตายน้อยกว่าพวกกินไม่เลือก 73% และพวกมังกินปลา (pescatarian) ป่วยหนักและตายน้อยกว่าพวกกินไม่เลือก 59% พูดง่ายๆว่าการกินอาหารแบบพืชเป็นหลักสัมพันธ์กับการที่ผู้ที่เสี่ยงสัมผัสกับเชื้อโควิดจะป่วยหนักและตายจากโควิดลดลง ในสามเดือนอันตรายนี้จึงควรเป็นช่วงฝึกบันยะบันยังการกิน ทำอาหารเองแบบง่ายๆกินโดยใช้พืชผักผลไม้ถั่วนัทเป็นวัตถุดิบให้มากๆ ถ้ากินแล้วไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินมันซะเลย ดีเสียอีกจะได้ลดน้ำหนักได้ กินแต่ผลไม้อย่างเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเที่ยวกินของอร่อยแต่เพิ่มโอกาสตายมากขึ้น

3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอย่างจริงจัง ซึ่งนอกจากการขยันออกกำลังกายและเปลี่ยนมากินพืชให้มากขึ้นแล้ว ท่านยังจะต้อง

(1) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

(2) จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด เช่น โยคะ หรือรำมวยจีน หรือนั่งสมาธิ หรือทำงานอดิเรกที่ได้จดจ่อมีสมาธิโดยไม่เครียดเรื่องผลลัพธ์ที่จะได้

(3) อย่าให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุที่มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคเช่น วิตามินซี. วิตามินดี. วิตามินอี. สังกะสี เป็นต้น ถ้าไม่ชัวร์ก็ซื้อวิตามินเป็นเม็ดมากินเสริม

(4) พาร่างกายกลับเข้าหาธรรมชาติ เพราะนั่นเป็นที่ที่ร่างกายก่อกำเนิดมา ธรรมชาติจะช่วยค้ำจุนร่างกายให้ท็อปฟอร์มอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ หาโอกาสสัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า หาโอกาสตากแดด รับลม แช่น้ำ

4. ใช้ประโยชน์จากสมุนไพร พืชสมุนไพรเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและเป็นตัวสร้างความหลากหลายให้กับสารอาหาร โดยเฉพาะสารอาหารที่ร่างกายต้องการน้อยแต่ขาดไม่ได้ (trace element) ร่างกายใช้สารเหล่านี้ในการเสริมสร้างการทำงานของเซลทุกระบบรวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันโรค สมุนไพรไทยส่วนใหญ่ใช้ประกอบอาหารไทยอยู่แล้ว เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย ขมิ้นชัน การกินอาหารไทยเช่นต้มยำและแกงให้บ่อยขึ้นก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายได้รับสมุนไพรที่หลากหลายเป็นระยๆโดยไม่ขาด

5. ใช้ฟ้าทะลายโจร เนื่องจากหลักฐานวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรในการฆ่าไวรัสซารส์โควี2และการรักษาโรคโควิดมีมากพอแล้ว ในภาวะวิกฤติสามเดือนข้างหน้านี้ผมแนะนำให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ดังนี้

กรณีที่ 1. ไม่มีอาการอะไร ในช่วงสามเดือนอันตรายนี้ ผมแนะนำให้คนกทม.กินฟ้าทะลายโจรในขนาดผงบดบรรจุแคปซูลละ 400-500 มก. (กรณีของอภัยภูเบศร์บรรจุ 400 มก. มีแอนโดรกราฟโฟไลด์ 12 มก./แคปซูล กรณียี่ห้ออื่นซึ่งไม่ระบุขนาดแอนโดรกราฟโฟไลด์ไว้ข้างขวดก็ใช้วิธีเดาเอาก็แล้วกันว่ามีใกล้เคียงกับของอภัยภูเบศร์) กินวันละ 1 แคปซูล ติดต่อกัน 5 วัน สลับกับเว้นว่าง 2 วัน แล้วกลับมากินอีก 5 วัน กินแบบนี้ไปสามเดือนให้พ้นระยะสามเดือนอันตรายนี้ไปก่อน วิธีกินแบบนี้ผมลอกเลียนมาจากงานวิจัยของ Swedish Herbal Institute ซึ่งทำวิจัยป้องกันโรคหวัดในหน้าหนาวโดยให้กินฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราฟโฟไลด์วันละ 11.2 มก. กินห้าวันเว้นสองวันสลับกันไปนานตลอดหน้าหนาวสามเดือน พบว่าสามารถลดการเป็นหวัดลงได้หนึ่งเท่าตัวและมีความปลอดภัยดี ผมเอามาแนะนำให้ท่านกินแบบนี้จากนี้ไปสามเดือนเพราะ

(1) มันรักษาโรคประสาทได้ (หิ..หิ ตัวหมอสันต์ก็กินด้วยข้อบ่งชี้นี้อยู่)

(2) มันมีความปลอดภัย เพราะงานวิจัยของสถาบันสมุนไพรสวีเดนกินแบบนี้พบว่าปลอดภัย อีกทั้งการสลับเว้นวันว่างไว้ 2 วันต่อสัปดาห์นั้นเป็นคอนเซ็พท์ที่เรียกว่า drug holiday ซึ่งวงการแพทย์ใช้กันอยู่แล้วกับยาที่ต้องกินกันนานแต่ยังไม่มั่นใจในผลแทรกซ้อนระยะยาว

(3) มันฆ่าไวรัสทางเดินลมหายใจส่วนบนได้ อย่างน้อยก็ลดการเป็นหวัดได้ ส่วนจะลดการเป็นโควิดได้หรือไม่ยังไม่รู้

กรณีที่ 2. เมื่อมีอาการป่วยติดเชื้อทางเดินลมหายใจ ให้ท่านทำสองอย่างพร้อมกัน คือ

(1) ด้านหนึ่งกินยาฟ้าทะลายโจรในขนาดรักษาโรคโควิดทันทีโดยไม่ต้องรออะไรทั้งสิ้น คือกินวันละ 180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ (เทียบแคปซูลผงบดอภัยภูเบศร์วันละ 15 แคปซูล) ติดต่อกัน 5 วันแล้วหยุด

(2) อีกด้านหนึ่งก็ทำการตรวจคัดกรองโควิด (Rapid test) ทันทีจะซื้อมาหรือหาของฟรีก็แล้วแต่ ถ้าได้ผลลบก็แล้วไป ถ้าได้ผลบวกก็ขวานขวายไปตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ถ้าได้ผลบวกอีกก็ไปสมัครเข้าระบบดูแลของรัฐ ผ่านทาง 1668 หรือผ่าน อสม. ที่ดูแลท่านอยู่ก็ได้ แล้วก็รับการรักษามาตรฐานตามที่เขาจะจัดให้ โดยอย่าลืมบอกเขาด้วยว่าท่านได้กินฟ้าทะลายโจรไปแล้วอย่างไรเท่าไร

โอเค. ผมจะจบแล้วนะ ท่านผู้อ่านอาจจะทักท้วงว่า อ้าว..หมอสันต์ แล้วไม่พูดถึงวัคซีนเลยหรือ หิ หิ พูดเสียหน่อยก็ได้ ว่าเมื่อถึงคิวได้ฉีดวัคซีนก็ให้ท่านไปฉีดตามคิว อย่าไปเกี่ยงว่าเป็นวัคซีนเทพหรือวัคซีนมาร เพราะวัคซีนที่ใช้ในเมืองไทยเป็นวัคซีนที่ WHO รับรองแล้วทั้งหมด มีประโยชน์ใกล้เคียงกันหมด แต่ประเด็นสำคัญคือท่านอย่าไปบ้าหรืออย่าไปได้ปลื้มกับวัคซีนเทพหรือวัคซีนมารโดยละเลยไม่ดูแลตัวเองใน 5 ข้อข้างต้น วัคซีนท่านก็ต้องฉีดไปแต่ต้องดูแลตัวเองด้วย วัคซีนอย่างเดียวไม่ช่วยให้ท่านรอด 100% เพราะแม้ขนาดฉีดวัคซีนดับเบิ้ลเทพ (หมายความว่าฉีดวัคซีน mRNA ครบสองเข็ม) พอเกิดระบาดแบบนรกแตกขึ้นมาที พบว่า 74% ของคนที่ติดโรคครั้งใหม่นี้ล้วนได้วัคซีนดับเบิ้ลเทพมาแล้ว นี่ผมไม่ได้กุเรื่องขึ้นเองนะ ผมอ่านมาจากรายงานของศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) เมื่อวานนี้ ว่าเกิดระบาดตูมขึ้นที่เมืองบาร์นสเตเบิลเคาน์ตี้ รัฐแมสซาชูเส็ท มีคนป่วยเป็นโควิดทันที 469 คนในช่วงเวลาแค่สองสัปดาห์ วิเคราะห์แล้วพบว่า 346 คน (74%) ได้วัคซีนเทพมาครบแล้ว ดังนั้นวัคซีนเป็นของดีที่ลดอัตราตายได้ ถึงคิวฉีดท่านก็ไปฉีด แต่มันไม่สำคัญเท่ากับท่านดูแลตัวเองให้ได้ห้าอย่างที่ผมแนะนำมาข้างต้นนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Hamer M, Kivimäki M, Gale CR, Batty GD. Lifestyle risk factors, inflammatory mechanisms, and COVID-19 hospitalization: A community-based cohort study of 387,109 adults in UK. Brain Behav Immun. 2020;87:184-187. doi:10.1016/j.bbi.2020.05.059
  2. Kim H, Rebholz CM, Hegde S, LaFiura C, Raghavan M, Lloyd JF, Cheng S. and Seidelmann SB. Plant-based diets, pescatarian diets and COVID-19 severity: a population-based case–control study in six countries. BMJNPH 2021;4:e000272. doi:10.1136/bmjnph-2021-000272
  3. Caceres DD, Hancke JL, Burgos RA, Wikman GK. Prevention of common colds with Andrographis paniculata dried extract. A pilot double blind trial. Phytomedicine. 1997;4(2):101-4.
  4. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. การเสวนาวิชาการฟ้าทะลายโจรสมุนไพรไทยใน COVID-19 เมื่อ 17 มิย.64. https://www.youtube.com/watch?v=2phuTUSCld8&t=7681s (เล่านิพนธ์ต้นฉบับของงานวิจัยที่รอตีพิมพ์)
  5. CDC. Outbreak of SARS-CoV-2 Infections, Including COVID-19 Vaccine Breakthrough Infections, Associated with Large Public Gatherings — Barnstable County, Massachusetts, July 2021. MMWR Early Release / July 30, 2021 / 70.