Latest

การสร้างสรรค์(Creativity) เป็นแฝดผู้น้องของความสุขสงบเย็น (Peace and Joy)

เมื่อวันที่ 9 ธค. 64 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ได้พูดในโอกาสรับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณเป็นบุคคลคุณภาพแห่งปี (Quality Persons of The Year 2021) ด้านสาธารณสุข จากท่านองคมนตรี เกษม จันทร์แก้ว ซึ่งจัดพิธีประกาศเกียรติคุณโดยมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่แกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น (คัดย่อ)

ผู้ถาม

ช่วยเล่าชีวิตของคุณหมอ

นพ.สันต์

“..ผมเป็นคนไม่จำอดีตนะ ผมชอบให้ใจของผมกลวงๆว่างๆไว้อย่างนี้แหละ อย่าไปพูดถึงมันเลย มาพูดถึงสิ่งที่มสวท.พยายามจะทำดีกว่า คือการพยายามจะโปรโมทให้คนช่วยกันสร้างสรรค์สังคม ประเด็นที่ผมอยากจะพูดก็คือ “การสร้างสรรค์” นี่แหละ

คนเราเกิดมาก็เพื่อมาใช้ชีวิตอย่างสุขสงบเย็นและสร้างสรรค์ ทั้งสองอย่างนี้ ผมหมายถึง “ความสุขสงบเย็น” กับ “การสร้างสรรค์” มองเผินๆแล้วไปกันไม่ได้ เพราะโดยนิยามของความสุขสงบเย็นก็คือการที่เราตื่นอยู่ ดำรงอยู่ โดยปราศจากความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดที่มุ่งปกป้องหรือค้ำจุนอัตตาของเราเอง ในขณะที่ในการสร้างสรรค์นั้นเราต้องอาศัยความคิดจินตนาการเยอะแยะมากมาย ขึ้นชื่อว่าความคิด ย่อมเป็นที่รู้กันดีว่ามันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ ต้นเหตุของความไม่สุข ไม่สงบ ไม่เย็น แต่ที่ว่ามานี้เป็นความจริงเฉพาะเมื่อความคิดจินตนาการนั้นเป็นความคิดชนิดที่มีพื้นฐานอยู่บนความพยายามที่จะปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity ของตัวผู้คิดเอง ซึ่งเผอิญความคิดชนิดนี้เป็นพื้นฐานของจินตนาการที่ผลิดอกออกผลมาเป็นการสร้างสรรค์ต่างๆอย่างที่เห็นกันเป็นส่วนใหญ่ทั่วโลกทุกวันนี้ จนยิ่งสร้างสรรค์กันมาก บรรดาชีวิตต่างๆในโลกและตัวโลกเองก็ยิ่งถูกทำลายไปมากขึ้น

การสร้างสรรค์ที่แท้จริงมาจากพลังปัญญาอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นนอกกรอบของอัตตาหรือ identity ของเรา คือเมื่อเราวางความคิดชนิดที่จะปกป้องอัตตาเราลงเสียได้สนิท เราก็จะเข้าสู่ภาวะสุขสงบเย็น คือตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ สบายๆ แต่ไม่มีความคิด มีแต่นิ่งๆและเงียบๆ นี่เป็นปฐมเหตุก่อน ณ ที่ตรงนี้แหละ ปัญญาอีกชนิดหนึ่งที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์อย่างยิ่งจะเกิดขึ้น ผมเรียกว่าปัญญาญาณ หรือ intuition ก็แล้วกัน การสร้างสรรค์แบบนี้จะเป็นของแท้ที่ไม่เป็นไปเพื่อตัวเอง แต่เป็นไปเพื่อชีวิตอื่นหรือเพื่อโลก คือการสร้างสรรค์ที่แท้จริง เป็นแฝดผู้น้องของความสุขสงบเย็น

ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเรียนรู้ทักษะที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบเย็นด้วยตัวเองให้ได้เสียก่อน ซึ่งทักษะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการฝึกวางความคิด ซึ่งวิธีฝึกที่ได้ผลแน่นอนในทางปฏิบัติก็คือการทำ meditation ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่ชาวพุทธเราฝึกปฏิบัติสมาธิวิปัสนานั่นแหละ คือต้องวางความคิดที่จะปกป้องอัตตาตัวเองลงก่อน เพื่อให้มีชีวิตอย่างสุขสงบเย็นให้ได้ก่อน หลังจากนั้นการสร้างสรรค์ที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นจากทุกๆคนอย่างไม่มีขีดจำกัด แล้วโลกนี้ก็จะกลายเป็นโลกที่น่าอยู่สำหรับทุกชีวิต”

ผู้ถาม

ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ ที่มวกเหล็ก คุณหมอได้สร้างสรรค์อะไรไว้บ้าง และจะทำอะไรต่อไปอีกในอนาคต

นพ.สันต์

เมื่อห้าปีก่อน ผมกับเพื่อน ซึ่งบังเอิญเป็นวิศวกร ชื่อคุณวิเวก เราสองคนได้ร่วมกันตั้งศูนย์สุขภาพเวลเนสวีแคร์ขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการดูแลสุขภาพของคนในชาติเสียใหม่ จากการที่มุ่งหน้าเข้าโรงพยาบาล รับการรักษา ผ่าตัด ทำบอลลูน กินยา ซึ่งเราก็รู้ๆอยู่จากข้อมูลวิจัยใหม่ๆว่ามันได้ผลน้อย เพราะโรคสมัยนี้มันเป็นโรคไม่ติดเรื้อรังซึ่งวงการแพทย์รักษาไม่หาย เราจะเปลี่ยนสังคมไทยมาสู่แนวทางการดูแลสุขภาพด้วยตนเองด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเช่นอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียดเป็นต้น สโลแกนของเราคือ prevent and reverse หมายถึงว่าป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตนเอง ซึ่งตลอดห้าปีที่ผ่านมาเราทำแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวมาตลอด แม้ว่าจะยังมีผลอยู่ในวงแคบเฉพาะผู้ป่วยที่มาที่เรา แต่เราก็ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้มันแผ่ขยายในวงกว้างยิ่งๆขึ้นไป

ส่วนในอนาคตเวลเนสวีแคร์จะทำอะไรต่อไปนั้น เมื่อเราตั้งชื่อเราเองว่าเวลเนสวีแคร์ เราก็ต้องมุ่งทำทางด้านเวลเนสให้ครบวงจร แล้วคำว่า Wellness นี้จริงๆแล้วมันหมายความว่าอย่างไรหรือ ตัวศัพท์จะหมายความว่าอย่างไรมันไม่สำคัญดอก สำคัญที่คนส่วนใหญ่หรือคนทั้งโลกเขาอยากจะให้มันหมายความว่าอย่างไร การวิจัยผู้บริโภคของบริษัทเมคเคนซี่เมื่อเร็วๆนี้พบว่าผู้บริโภคได้ตีความหมายของเวลเนสไว้ว่ามันหมายถึง 6 เรื่องต่อไปนี้ คือ

  1. การมีสุขภาพดี
  2. การมีโภชนาการที่ดี
  3. การมีฟิตเนส หมายถึงร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า
  4. การมีสติดี หมายถึง mindfulness ซึ่งหมายความต่อไปถึงความไม่เครียด
  5. การนอนหลับดี
  6. การดูดี หรือ good appearance หรือ look good

ทั้งหกอย่างนี้คือนิยามของคำว่าเวลเนสตามเจตนาของผู้บริโภคส่วนใหญ่ ในอนาคตเวลเนสวีแคร์ก็จะทำทั้งหกอย่างนี่แหละ สี่อย่างแรกคือสุขภาพดี โภชนาการดี มีฟิตเนส ฝึกสติ ที่เวลเนสวีแคร์ได้ทำมาต่อเนื่อง คือมีคอร์สสอนการป้องกันและพลิกผันโรค สอนการทำอาหารพืชเป็นหลักซึ่งเป็นอาหารป้องกันและรักษาโรค และทุกเดือนก็เปิด spiritual retreat เพื่อสอนการวางความคิดเพื่อยังผลให้คลายความเครียด เหลืออีกสองอย่างคือการช่วยให้คนที่มีปัญหาการนอนหลับให้หลับได้ดี และการทำให้ตัวเองดูดีนั้น เราจะเริ่มทำในปีใหม่นี้ ในรูปของโปรแกรมฟื้นฟูการนอนหลับหรือ sleep program และโปรแกรมที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุ “แปลงร่าง” ของตัวเองจากการเป็นคนหลังค่อมงกๆเงิ่นๆไม่มั่นใจ ให้กลายเป็นคนหลังตรงเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงมีความมั่นใจยิ้มง่ายใจดี นั่นคือสิ่งใหม่ที่เราจะทำ

แต่ที่สำคัญกว่าการขยายกิจกรรมไปครอบคลุมเวลเนสทั้งหกด้าน ก็คือความตั้งใจของเราที่จะให้การป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตนเองนี้แพร่ขยายออกไปจนเป็นวิถีชีวิตของคนไทยทั่วประเทศโดยอาศัยอำนาจอิทธิพลของอินเตอร์เน็ทเป็นตัวช่วย นั่นคือสิ่งที่เราหมายมั่นปั้นมือจะทำในอนาคตอันใกล้นี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์