Latest

เรื่องไร้สาระ (23)โปรเจ็คสวนผักกระถาง

อากาศเย็น ตะวันอ้อมข้าว สวนผักประหยัดขาที่นอกหน้าต่างห้องครัวของผมก็พลอยเดี้ยงไปด้วย เพราะพอตะวันอ้อมไปทางป่าไม้สักหลังบ้าน เงาไม้ก็บังแดดไว้หมด ผักก็ไม่โต แถมอ่อนแอจนถูกหอยรังแกเหลือแต่ตอ

จะทำอย่างไรคอนเซ็พท์ปลูกผักไว้ใกล้ๆไม่ต้องเดินไปเก็บไกลจึงจะสำเร็จ แล้วก็คิดถึงครั้งหนึ่งนานมาแล้วไปเยี่ยมเพื่อนบ้านท่านหนึ่งในกรุงเทพฯ วันที่ยืนคุยกันอยู่บนระเบียงบ้านนั้นเขากำลังสั่งการให้ยามเฝ้าบ้าน (ยามจริงๆที่แต่งเครื่องแบบคล้ายตำรวจทหาร) ยกกระถางดอกไม้ต้นนั้นมาทางนี้ ย้ายกระถางดอกนี้ไปทางโน้น ปากก็บรรยายให้ผมฟังว่าต้นนี้มันไม่ชอบแดด อยู่ตรงนี้ไม่เหมาะ ต้นนั้นนึกว่าจะทนร่มแต่เอาเข้าจริงๆก็อยู่ไม่ได้ต้องย้ายไปที่แดดมากขึ้นหน่อย อย่างนี้เป็นต้น ผมจึงคิดว่าเออ ปลูกผักในกระถางก็ไม่เลวนะ ฤดูไหนแดดไม่มีก็ย้ายกระถาง ประกอบกับที่หน้าเล้าไก่ตอนนี้ต้นคูนซึ่งปลูกจากเมล็ดอายุเกือบยี่สิบปีได้แห้งตายลงพร้อมๆกับเพื่อนร่วมรุ่นของมันซึ่งพากันแห้งตายทั่วราชอาณาจักร ทำให้มีพื้นที่ว่างเล็กๆหน้าเล้าไก่ที่แดดส่องลงมาได้บ้าง โปรเจ็คสวนผักกระถางจึงเกิดขึ้น

เริ่มต้นก็ต้องไปซื้อกระถางมาก่อน เห็นในร้าน 20 บาทในตลาดมวกเหล็กมีกระถางพลาสติกสีดำชนิดหนึ่งทำรูปทรงแบบถังไม้โอ้คผ่าซีกเข้าท่าดี ราคา 20 บาท ผมจึงซื้อมาหลายใบอยู่ วันหนึ่งเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเห็นกระถางแบบนี้เข้าก็ชอบใจตามไปซื้อบ้าง เจ้าของร้านบอกว่า

“หมดแล้ว วันก่อนลุงคนหนึ่งแกมาเหมาไปหมด”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

สมัยเรียนเกษตรแม่โจ้จำได้ว่าวิชาไม้ดอกไม้ประดับบอกว่าการใช้จานรองกระถางจะช่วยทอดระยะการรดน้ำให้ห่างออกไปได้ถึงสองสัปดาห์ เพราะน้ำที่ขังอยู่ในจานรองใต้กระถางจะค่อยๆซึมขึ้นมาเลี้ยงราก ผมจึงกะจะเหมาจานรองกระถางแบบทำจากพลาสติกไปด้วย แต่พอเจอราคาก็จ๋อยไป เพราะใบละ 20 บาท เท่ากับตัวกระถางใบบะเร่อเลย โห แค่จานรองเนี่ยนะ ช่างไม่ยุติธรรม ไม่ซื้อดีกว่า

กระถางแบบนี้ลุงคนหนึ่งมาเหมาไปหมดแล้ว

นับกระถางทั้งที่เก็บเอาจากของเก่าถูกทิ้งๆขว้างๆกับของที่ซื้อมาใหม่ก็ได้ร่วมยี่สิบกระถาง จากนั้นก็เป็นการเตรียมดิน สูตรของผมก็ง่ายๆ ดินหนึ่งส่วน แกลบเก่าหนึ่งส่วน ปุ๋ยใบไม้ที่หมักไว้เองที่ตีนเขาอีกหนึ่งส่วน คลุกเคล้าเข้ากันดีแล้วก็ตักแจกลงกระถางรูปทรงต่างๆ แยกย้ายกันวางบนดินบ้าง บนโต๊ะบ้าง บนม้านั่งกลางแดดบ้าง เออ การวางกระถางนี่ก็เป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่งเชียวนะ วางยังไงก็ได้ให้ดูระเกะระกะ แต่เท่

แล้วก็เริ่มงานเพาะในกระถางเล็กๆก่อน ผมมีเมล็ดผักค้างปีอยู่หลายอย่างจึงเอาออกมาเพาะ หนึ่งอย่างก็หนึ่งกระถาง ตอนไปซื้อดอกกุหลาบที่สวนกุหลาบที่เขาใหญ่ได้ป้ายชื่อพลาสติกเล็กๆมาหลายอันจึงเขียนชื่อผักที่เพาะเสียบไว้ตรงของกระถาง การมีป้ายชื่อทำให้สวนกระถางของผมดูมีระดับขึ้นมาทันที ผักที่เพาะมีหลายอย่างสุดแล้วแต่ว่าจะมีเมล็ดอะไรเหลืออยู่ในกล่องเมล็ดพันธ์ เช่นผักสลัด โหระพา แมงลัก สะระแหน่ ผักแพว ผักบุ้ง พริก มะเขือเทศ ดอกทานตะวัน ข้าวโพดข้าวเหนียว ถั่วฝักยาว ถั่วลิสง เป็นต้น มีเพื่อนคนหนึ่งให้เมล็ดหญ้านวลน้อยมานานแล้ว ผมจึงเอามาลองเพาะในกระถางดูด้วย

ถังนมเก่านี่แหละแทนโอ่ง เพราะว่าที่นี่มวกเหล็ก จะเอาโอ่งจากไหน

เพาะเมล็ดจบแล้วก็ต้องรดน้ำ จะต่อสายยางมาฉีดก็ได้นะ แหม แต่มันเป็นการทำสวนที่ไม่โรแมนติกเลย หาโอ่งมาตั้งแล้วเอาฝักบัวตักรดดีกว่า หันไปหันมาไม่มีโอ่ง มีแต่ถังนมเก่าเหลืออยู่ใบหนึ่ง เออ เอาถังนมนี่แหละ เพราะว่าที่นี่มวกเหล็ก จะหาโอ่งจากไหน

ผมตักน้ำจากถังนมไปรดน้ำด้วยบัวเล็กๆแบบปลายกุด เข้าใจว่าฝักบัวหล่นหายไปหรือว่าหมอสมวงศ์ซึ่งไม่สันทัดเรื่องเกษตรซื้อบัวปลายกุดนี้มาก็ไม่ทราบ แต่การรดน้ำด้วยบัวรดน้ำเล็กๆไปตามกระถางเล็กกระถางน้อยซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนโต๊ะเก่าและเก้าอี้เก่า เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของชีวิตทีเดียว

แล้วผมต้องเข้ากรุงเทพฯสองสามวัน กลับมาถึงมวกเหล็กผมรีบไปสำรวจกระถางเพาะเมล็ดด้วยความตื่นเต้นว่าจะมีเมล็ดอะไรงอกออกมาแล้วบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง มีกระถางหนึ่งงอกออกมาแล้ว..ว…ว เขียวสลอนน่ารัก เข้าไปอ่านป้ายดูซิว่าเป็นผักอะไร ปรากฎว่าเป็น

“หญ้านวลน้อย”

โห ช่างเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ซะ หมอสันต์สามารถเพาะหญ้านวลน้อยขึ้นเป็นต้นได้ด้วย หิ หิ

หนึ่งเดือนต่อมากล้าผักหลายชนิดก็ขึ้นเบียดเสียดยัดเยียดกันสลอนรอเจ้าของมาย้ายไปปลูก แต่ผมก็ไม่มีเวลาย้ายเพราะยุ่งอยู่กับการสอนแค้มป์ต่าง วันหนึ่งหมอสมวงศ์ถามว่าที่สวนของผมมีแมงลักไหมจะทำแกงเลียง ผมกลัวเสียฟอร์มจึงตอบว่ามี มี มี ว่าแล้วก็ไปตัดยอดกล้าแมงลักกำใหญ่มาให้ด้วยคิดว่าตอที่เหลือมันจะแตกใบใหม่อีก แต่ผลปรากฎว่ามันตายเรียบ สรุปว่าเม็ดแมงลักหนึ่งซอง ปลูกรดน้ำแล้วทำแกงเลียงได้หม้อเดียว

สวนกระถางของผมประสบความสำเร็จด้วยดี แต่ว่าจำเป็นต้องมีโปรเจ็คต่อยอด เพราะกล้าพริก กล้าผักหลายชนิดไม่สามารถจบแค่ในกระถางได้ ต้องย้ายไปลงแปลงปลูก จึงต้องเดือดร้อนลงไปเตรียมแปลงปลูกผักระดับ commercial scale ที่หน้ากระต๊อบสองคนกับลุงดอนเหย็งๆ ขุดพลิกดินเตรียมแปลงอยู่หลายวันก็ยังไม่เสร็จเพราะหญ้ามันแยะ มันหิน มันโหด มันช่างน่าฆ่าจริงๆ วันหนึ่งผมเปรยกับเพื่อนที่มีพื้นเพเป็นชาวสวนด้วยกันถึงความไม่น่ารักของหญ้า เธอก็เห็นด้วยเป็นปี่เป็นขลุ่ยว่ามันต้องยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหญ้า เท่านั้น คือพากันพูดเพื่อความสะใจแค่นั้นแหละแต่ไม่กล้าใช้หรอก

โปรเจ็คใหม่จะเป็นอย่างไร จะหาเวลาเล่าให้ฟังนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์