Latest

เรียนรู้ “ความรู้ตัว” ผ่าน เวิร์บทูบี และ เวิร์บทูดู

(ภาพวันนี้: เอื้องสายหลวง)

(หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ SR)

มีสมาชิกท่านหนึ่งกล่าวว่าไม่สามารถเข้าถึงความรู้ตัว หรือทำความรู้ตัวให้เกิดขึ้นได้ และยิ่งไม่เข้าใจเมื่อผมพูดว่าการจะเข้าถึงความรู้ตัวได้จริงๆนั้น จะต้องมีการเปลี่ยนตัวตนหรือเปลี่ยน identity ก่อน

ผมจะค่อยๆพูดไปนะ เพราะการใช้ภาษาสื่อถึงสิ่งที่ภาษาสื่อไม่ถึง หากยิ่งรีบพูดก็จะยิ่งพลาด เหมือนลมที่แค่พัดผ่านเลยไป เฉยๆ ต้องอาศัยความเงียบและการลองฝึกระหว่างคำพูดมาช่วยในการสื่อสาร

ก่อนอื่นผมขอนอกเรื่อง ชกลมไปรอบๆก่อนนะ สมัยที่เราเรียนหนังสือชั้นประถม เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ เราเรียนรู้เรื่องคำกริยาสองกลุ่ม

  1. Verb to do ซึ่งมีคำกริยาอยู่สามคำ คือ do, did, done แปลเป็นไทยว่า “ทำ” ความหมายตรงกันเพะ ไม่ต้องอธิบาย
  2. Verb to be ซึ่งมีคำกริยาอยู่หกคำ คือ be, is, am, are, was, were ไม่สามารถจะแปลเป็นไทยได้ เพราะไม่มีคำไทยคำไหนตรงกับคำว่า be จึงต้องแปลด้วยคำถึงสามคำบวกกัน คือ (1) เป็น, (2) อยู่, (3) คือ เพราะคำใดคำหนึ่งสื่อถึงคำว่า be ได้ไม่ถึงครึ่งความหมายด้วยซ้ำ

ประเด็นที่หนึ่ง ของผมคือ ความรู้ตัว เป็น verb to be ไม่ใช่ verb to do

การที่เราจะนั่งสมาธิหรือ meditation ให้ถึงความรู้ตัว เราต้อง be ไม่ใช่ do

การลงมือทำทุกอย่าง อย่างที่หลายคนกำลังทำอยู่ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการครุ่นคิด การไตร่ตรอง การพิจารณา การจดจ่อ การจดจำ การจดบันทึก ล้วนเป็น do ไม่ใช่ be จึงไม่มีวันจะได้เข้าถึงความรู้ตัว

แล้วการ be โดยไม่ do นี้มันต้องอย่างไรเล่า เรามาลองกันตอนนี้เลยดีไหม

ก่อนจะลอง ผมให้คุณนึกถึงเด็กอายุต่ำกว่าหนึ่งขวบสักคนหนึ่งที่คุณเคยเจอนะ เขาหรือเธอจะทำตาโตเหมือนตาแมวตอนกลางคืน จ้องมองความเคลื่อนไหวทุกอย่างที่ผ่านหน้าไป ถ้าคุณทำเสียงดังหรือดีดมือเป๊าะเด็กก็จะหันขวับตามเสียง คือเขาตื่นอยู่ alert ระวังระไวเปิดรับรู้อยู่ตลอดเวลา มองเข้าไปในลูกตาที่กลมโตนั้น วูบหนึ่งคุณจะสัมผัสหรือ feel บางอย่างขึ้นมาได้ เป็นความสงบเย็น ผ่อนคลาย น่ารัก ซุกซน สวยงาม มันเป็นฟีลลิ่งที่เกิดขึ้นมาในคุณ ไม่ใช่ความคิด ข้างเด็กเองนั้นเขาไม่มีความคิดแน่นอนเพราะเขายังไม่รู้จักภาษา เขาจึงคิดไม่ได้ เพราะความคิดนั้นคิดกันเป็นประโยคเป็นภาษา

สิ่งที่ปรากฎอยู่ในเด็กที่คุณสัมผัสได้นั่นแหละคือความรู้ตัว อย่าลืมว่าคุณอยู่ห่างจากเด็กเป็นคืบเป็นศอกหรือห่างเป็นวาแต่คุณก็ยังสัมผัสรับรู้ได้ แสดงว่าสิ่งนั้นมันเป็นคลื่นที่แผ่สร้านหรือเชื่อมต่อมาถึงคุณได้

เอ้า ลองมา be โดยไม่ do กันตอนนี้เลย บนสนามหญ้านี่แหละ เช้าๆอย่างนี้แหละ เตรียมตัวกันก่อนนะ ทุกท่านนั่งให้ตัวตรง นั่งท่าไหนวางขาอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้หลังตรง ใช้สูตร 4-4-8 ก็ได้ หายใจเข้าลึก นับหนึ่ง..สอง..สาม..สี่ แล้วกลั้นหายใจไว้ นับหนึ่ง..สอง..สาม..สี่ แล้วปล่อยลมหายใจออกมาตามธรรมชาติอย่างผ่อนคลาย หน้าอกจะยุบให้ลมออกมาเองไม่ต้องเบ่ง แค่ระหว่างหายใจออกให้นับหนึ่ง..สอง..สาม..สี่..ห้า..หก..เจ็ด..แปด แล้วก็หายใจเข้ารอบใหม่นับ..หนึ่ง…

ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้ม

เอาละ ทุกคนพร้อมแล้ว คราวนี้ลอง be โดยไม่ do คือแค่อยู่ที่นี่ เฝ้าดู เฝ้าฟัง รับรู้ภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ดูและฟังทั้งสิ่งที่อยู่ข้างนอกร่างกาย ดูและฟังร่างกายเองจากข้างนอกให้เห็นว่าเรานั่งอยู่ที่นี่ ดูและฟังร่างกายจากข้างใน รับรู้ภาพ รับรู้เสียง รับรู้สัมผัส แต่ไม่คิดอะไรต่อยอด ไม่ทำอะไรทั้งนั้น แค่.. be

ผมจะให้เวลาให้คุณได้ลองอยู่คนเดียวแบบ be แบบ เป็น อยู่ คือ หรือแบบโต๋เต๋คนเดียวอยู่ในความเงียบ สักห้านาที

คุณจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะมองดูร่างกายหรือมองดูความคิด เมื่อสนใจมองร่างกาย ร่างกายก็จะกลายเป็นเป้าของการถูกมองถูกสังเกต เมื่อสนใจมองความคิด ความคิดก็จะกลายเป็นเป้า ขณะที่เราซึ่ง be อยู่ที่นี่นั้นเป็นผู้ดูหรือเป็นผู้สังเกต เราสังเกตเห็นทั้งร่างกายของเราตั้งอยู่ที่นี่ เห็นตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นทั้งตัว เห็นทั้งบรรยากาศรอบๆ เห็นนก เห็นกระรอก เห็นต้นไม้ เห็นดอกไม้ เห็นก้อนหิน เห็นความคิดที่โผล่ขึ้นมาแล้วแว้บหายไป แล้วเรายังสังเกตเห็นความรู้สึกหรือ feeling ที่แผ่สร้านขึ้นมาว่าเออมันดีนะ ลมเย็นๆพัดมาถูกหน้า กระรอกอ้วนตุ๊ต๊ะน่ารัก แสงแดดส่องระไปบนใบหญ้าสวยงาม ยามที่ปลอดความคิดอย่างนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่ความตื่น ความสามารถรับรู้ ซึ่งมีคุณลักษณะสงบเย็นและผ่อนคลายดี นี่แหละคือความรู้ตัว

อุปมาราวกับว่าความสามารถสังเกตรับรู้ของเรานี้มันเหมือนไออุ่นของแสงแดดยามเช้าซึ่งแผ่สร้านแทรกซึมไปทั่วนอกจากจะลูบไล้ร่างกายของเราเองแล้วยังแทรกซึมไปทุกหย่อมหญ้า ไปถึงชีวิตอื่น ต้นไม้ ไก่ที่ขัน นกที่บิน กระรอกที่วิ่งไล่กัน

แล้วที่ผมบอกว่าต้องเปลี่ยน identity ให้ได้ก่อนนั้นหมายความว่าอย่างไร ผมหมายถึงว่าการเปลี่ยนการมองสิ่งรอบตัวจากมุมของสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ซึ่งมีร่างกายนี้เป็นสัญญลักษณ์หลัก มีความคิดคอนเซ็พท์ต่างๆเป็นองค์ประกอบร่วม เดิมเรามองทุกอย่างออกไปจากร่างกายนี้จากผลประโยชน์ของบุคคลคนนี้ ต่อแต่นี้ไปมุมนี้เราไม่เอาแล้ว ให้เปลี่ยนเสียใหม่ ให้ย้ายมุมมองของผู้สังเกตไปอยู่ที่ใหม่ ไปอยู่ข้างนอกแล้วมองเข้ามาจากมุมของการเป็นไออุ่นของแสงแดดยามเช้าซึ่งแผ่สร้านแทรกซึมไปทั่ว นอกจากลูบไล้ร่างกายของเราเองอย่างถ้วนทั่วแล้วยังแทรกซึมไปทุกหย่อมหญ้า ไปถึงชีวิตอื่น ไก่ที่ขัน นกที่บิน กระรอกที่วิ่งไล่กัน เชื่อมโยงทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน รวมทั้งร่างกายและอีโก้หรือบุคคลที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ก็ถูกเชื่อมโยงเข้าไปด้วย ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้การรับรู้และการรับรองของไออุ่นของความรู้ตัวนี้

การเป็นอย่างไออุ่นของแสงแดดยามเช้าซึ่งแผ่สร้านแทรกซึมไปทั่ว ซึ่งมีความตื่น ความสามารถรับรู้ ความสงบเย็น และความผ่อนคลายเป็นคุณลักษณะประจำตัวนี้ ภาษาอังกฤษเขานิยมใช้คำว่า Grace ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า Karuna ภาษาไทยไม่มีคำเรียกที่ถูกใจผม คำว่า “เมตตาธรรม” อาจจะใกล้เคียงอยู่แต่ก็แทนได้แค่ซีกเดียว ตัวผมใช้คำว่า “ความรู้ตัว” เรียกมานานหลายปีเสียจนชิน จึงขอใช้คำนี้ต่อไปก่อน

ประเด็นที่สอง ของผมคือการเปลี่ยน identity จากอีโก้ไปเป็นความรู้ตัวต้องเปลี่ยนที่ be ไม่ใช่เปลี่ยนที่ do คือขณะที่ร่างกายที่นั่งจุมปุกอยู่กลางสนามนี้เริ่มขยับเคลื่อนไหวมือเท้า หรือขณะที่ความคิดเริ่มโผล่ขึ้นมาในห้วงคำนึง เรายังเป็นหรือยัง be เจ้าตัว identity ใหม่นี้อยู่ แบบยังมองเห็นร่างกายและความคิดอยู่ขณะที่ตัว be นี้ก็ยัง be อยู่อย่างนิ่งๆ อย่างไม่มีเอี่ยวด้วย ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง มองออกไปจากมุมนี้จะมีแต่ความสงบเย็นและผ่อนคลายดีไม่มีเครียด ไม่ว่ากิจกรรมขณะนั้นจะทำอะไร

ประเด็นที่สาม ของผมคือความสามารถในการมองเห็นกิจกรรมของร่างกายและความคิดที่กำลังดำเนินไป แบบมองนิ่งๆไม่มีเอี่ยวด้วยแม้เพียงแว้บเดียวนี้ มันสามารถพัฒนาไปเป็นความสามารถมองเห็นกิจกรรมของร่างกายและความคิดอยู่เนืองๆได้ทั้งวันโดยที่ผู้มองหรือผู้สังเกตยัง be คือยังอยู่นิ่งๆได้ เหมือนไออุ่นของแสงแดดยามเช้าที่แผ่สร้านโอบกอดรับรองทุกอย่างที่เห็นราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็เป็นหนึ่งเดียวกับตัวไออุ่นอันเป็นผู้สังเกตด้วยเหมือนกัน

และเมื่อความสามารถนี้พัฒนาไปจากแว้บเดียวเป็นบ่อยขึ้น ก็จะเฝ้ามองเห็นกิจกรรมของร่างกายและความคิดได้ต่อเนื่องจากตื่นนอนตอนเช้าจนกลับเข้านอนตอนกลางคืน ต่อจากนั้นมันจะพัฒนาไปจนเห็นกิจกรรมหรือกลไกการนอนหลับ ถึงจุดนั้นการมองเห็นกิจกรรมในชีวิตแบบแทงตลอดทั้งการตื่น การหลับ การฝัน และการตายซึ่งเป็นแค่อีกกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจากการหลับก็จะกระจ่างขึ้น แล้วความกลัวตายซึ่งเป็นความคิดที่อีโก้พยายามปั้นแต่งว่าการแตกสลายของร่างกายและอีโก้เป็นเรื่องน่ากลัวก็จะหมดพลังไป เพราะตัว be นี้เป็นแค่ผู้สังเกตดูเฉยๆจึงไม่เห็นพ้อยท์ที่จะต้องไปทุกข์ร้อนอะไรตามที่อีโก้นำเสนอเลย แล้วพลังชีวิตที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์แก่โลกแก่ชีวิตอื่นก็จะฉายเด่นชัดขึ้นมาแทนที่ความกลัวที่แผ่วไปแล้วได้อย่างอัตโนมัติ เพราะจากมุมมองของ be นี้ ทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนถูกโอบกอดรับรองเป็นหนึ่งเดียวกันกับตัว be นี้นั่นเอง

ทั้งสามประเด็นนี้ คือสิ่งที่ผมอยากจะสื่อให้เห็นเมื่อพูดถึงความรู้ตัวในวันนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์