Latest

หมอสันต์พูดในโอกาสรับรางวัล Elite Plus Award จากผอ.ยูเนสโก

เมื่อวันที่ 1 เมย.65 หมอสันต์ไปรับมอบรางวัล Elite Plus Award จาก มร.ชิเกรุ อะอุยากิ ผู้อำนวจการองค์การยูเนสโก ที่โรงแรมชาเตรียมริเวอร์ไซด์ ในโอกาสนี้ได้ปาฐกถาในลักษณะ dinner symposium ให้กับบรรดาทูตานุฑูตที่มาร่วมงาน ในหัวข้อ “สุขภาพดีด้วยตนเอง เมืองสุขภาพ และสันติภาพ” ผมแปลบทพูดมาให้อ่าน

…………………………………………………………………………….

สวัสดีครับ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ

ผมขอย้ายไปยืนพูดตรงโน้นดีกว่านะ ไม่ต้องใช้โพเดียมนี้ก็ได้ คุณมีไมค์ไหม

ผมแค่อยากเห็นหน้าพวกคุณ

โดยการฝึกอบรม ผมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ ความชำนาญของผมก็คือการผ่าตัดบายพาส

ชีวิตมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อตัวเองป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอาการเจ็บหน้าอกเวลาออกแรงหรือเวลาเครียด ตอนนั้นผม 55 ตอนนี้ผมย่างเข้า 70 ความกลัวตายทำให้ผมปฏิเสธการรักษามาตรฐานไม่ว่าจะเป็นการทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส ผมไม่เอา ผมหันไปสืบค้นทบทวนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ย้อนหลังอย่างจริงจัง ด้วยความหวังว่าจะพบทางเลือกอื่นที่รุกล้ำน้อยกว่านี้ แล้วก็พบว่าหลักฐานหลายชิ้นซึ่งมีน้ำหนักพอที่ผมจะทดลองกับตัวเองได้ ผมจะยกมาให้ท่านดูเพียงสองชิ้น

อ้าว..ว อย่าลืมกินด้วยสิครับ ขณะที่ฟัง โปรดรู้สึกสบายๆที่จะกินไปด้วยฟังไปด้วย

งานวิจัยชิ้นนี้ทำโดยดร.เอสซี่ เขาเป็นหมอผ่าตัดต่อมไร้ท่ออยู่ที่คลิฟแลนด์คลินิกซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในการรักษาโรคหัวใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เขาทำวิจัยโดยเอาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่หมดทางไปแล้ว 24 คนมาทดลองกินอาหารมังสวิรัติแบบไขมันต่ำ แล้วติดตามดูคนเหล่านี้นาน 12 ปี โดยทำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงต่างๆเช่นผลการตรวจสวนหัวใจและตรวจ PET scan เป็นระยะ ผลลัพท์ต่อโรคของคนไข้กลุ่มนี้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ อัตราเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันลดลงจาก 48 ครั้งใน 8 ปีก่อนหน้านั้นเหลือ 1 ครั้งใน 12 ปีที่ทำวิจัย ภาพการฉีดสีสวนหัวใจพบว่าหลอดเลือดที่ตีบโล่งขึ้น อย่างในภาพนี้สีขาวนี่คือสีที่ฉีดเข้าไป หลอดเลือดท่อนที่ปกติจะเป็นแบบนี้คือเห็นลำสีขาวเป็นแท่งกลมเรียบ แต่ท่อนที่เป็นโรคจะเห็นลำสีขาวตีบแคบผิวขอบขรุขระอย่างนี้ แต่การสวนหัวใจฉีดสีซ้ำในสามปีต่อมาหลังจากกินอาหารวีแกนพบว่ารอยตีบบนหลอดเลือดหายไปเลย กลายเป็นหลอดเลือดปกติ เช่นเดียวกันนี้เป็นการตรวจด้วย PET scan ตอนป่วยใหม่ๆกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายที่ตายไปแล้วเลือดจะเข้าไปไม่ได้ มองเห็นเป็นสีซีดๆอย่างนี้ แต่หลังจากกินอาหารมังสวิรัติไปหลายปีนำมาตรวจซ้ำพบว่าส่วนที่เคยเชื่อว่าตายแล้วกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ เลือดเข้าไปเลี้ยงได้ มองเห็นเป็นสีแดงอย่างนี้ และกล้ามเนื้อส่วนนี้ก็กลับบีบตัวได้ปกติ อาการหัวใจล้มเหลวที่เป็นอยู่ก็หายไป

นี่เป็นอีกงานวิจัยหนึ่งทำโดยดร.ดีน ออร์นิช ใช้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกือบหนึ่งร้อยคนสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตปกติ อีกกลุ่มหนึ่งให้เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใหม่ในสี่ประเด็น คือ

(1) ให้เปลี่ยนอาหารเป็นอาหารแบบกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติและไขมันต่ำ

(2) ให้ออกกำลังกาย

(3) ให้จัดการความเครียดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น โยคะ สมาธิ ไทชิ

(4) ให้เข้ากลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนสัปดาห์ละครั้ง

พอครบปีก็เอาทุกคนกลับมาตรวจสวนหัวใจดู พบว่ากลุ่มที่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตรอยตีบที่หลอดเลือดหัวใจโล่งขึ้น อัตราการเจ็บหน้าอกลดลง 91% ขณะที่กลุ่มใช้ชีวิตปกติรอยตีบเพิ่มขึ้น อัตราการเจ็บหน้าอกเพิ่มขึ้น 165%

ผมใช้แค่หลักฐานสองชิ้นนี้มาทำการทดลองกับตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนอาหารมากินพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำอย่างจริงจัง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผมเลิกกินเค้ก เลิกกินคุ้กกี้ เปลี่ยนกาแฟเป็นกาแฟดำ เลิกดื่มน้ำอัดลม เลิกดื่มน้ำผลไม้ที่ใส่กล่องขาย เลิกกินเกลือ เลิกใช้น้ำมันทุกชนิดทำอาหาร ลดเนื้อสัตว์ลงเหลือน้อยที่สุดหันมากินพืชผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 เสริฟวิ่ง และเพื่อประหยัดเวลาเคี้ยว ผมใช้เครื่องปั่นความเร็วสูงปั่นให้เหลวแล้วดื่ม ทำอย่างนี้อยู่ไม่กี่เดือนร่างกายของผมก็ดีขึ้น ความดันตัวบนลดลงจาก 167 ขณะใช้ยา ลงมาเหลือ 110 โดยไม่ใช้ยา โคเลสเตอรอลรวมลดลงจาก 268 ขณะใช้ยามาเหลือ 200 โดยไม่ใช้ยา อาการเจ็หน้าอกหายไป อย่าว่าแต่เดินเร็วเลย ผมวิ่งจ๊อกกิ้นได้โดยไม่มีอาการอะไร

ผลดีที่เกิดกับตัวเองทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตตัวเองเสียใหม่ เลิกทำผ่าตัด เลิกทำงานบริหารธุรกิจ ไปเข้าฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อให้มีคุณวุฒิพอที่จะเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวเพื่อให้สอนคนไข้ให้ดูแลตัวเองได้ เลิกชีวิตในโรงพยาบาล ไปเปิดศูนย์สุขภาพเวลเนสวีแคร์ที่มวกเหล็ก อยู่ห่างจากนี่ไปราวร้อยกม. เพื่อสอนให้ผู้ป่วยรู้วิธีมีสุขภาพดีและพลิกผันโรคได้ด้วยตัวของเขาเอง

บลูโซน

ต้้งแต่นั้นมาผมก็ได้เข้ามาสู่โลกของเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ผมเดินทางมาก ได้พบปะกับแพทย์และผู้คนจำนวนมากทั่วโลกที่เดินบนเส้นทางเส้นนี้ นอกจากดร.เอสซี่และดร.ดีน ออร์นิชแล้ว สุภาพบุรุษคนนี้ชื่อแดน บิวท์เนอร์ เราพบกันที่แคลิฟอร์เนีย ตอนนั้นแดนเป็นช่างภาพของ National Geography ซึ่งจ้างให้เขาเดินทางไปสำรวจทั่วโลก เพื่อค้นหาชุมชนที่คนมีอายุยืนที่สุด คือมีจำนวนคนอายุเกินร้อยเป็นอัตรามากที่สุด แดนได้ทำงานนี้ในรูปแบบของการวิจัยเชิงระบาดวิทยา โดยตัวเองเดินทางไปขลุกอยู่ตามชุมชนต่างๆทั่วโลก ในที่สุดเขาก็คัดชุมชนคนอายุยืนที่สุดในโลกมาได้ 5 ชุมชนคือ 

     1. แถบบาร์บาเจีย ในแคว้นซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี 

     2. แคว้นอิคาเรีย ประเทศกรีซ

     3. แหลมนิโคยา ประเทศคอสตาริกา

     4. ชุมชนเซเวนเดย์แอดเวนทิส ที่เมืองโลมาลินดา แคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐ

    5. เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

แดนและทีมงานของเขาได้ทำวิจัยหาปัจจัยร่วมที่ทำให้คนในชุมชนเหล่านี้มีสุขภาพดีมีอายุยืนกว่าคนที่อื่นของโลก ในที่สุดก็ได้ปัจจัยร่วมมาเก้าตัว คือ

     1. กินพืชเป็นอาหารหลัก กินเนื้อสัตว์น้อยมาก บางแห่งไม่กินเนื้อสัตว์เลย

     2. กินไม่ถึงอิ่ม คือกินแค่ 80%ของความอิ่ม 

     3. เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ ไม่มีโรงยิมหรือสถานออกกำลังกาย แต่เดินทำงานทั้งวัน

     4. ใช้ชีวิตแบบมีเป้าหมาย ทุกคนรู้ว่าวันนี้จะตื่นมา คำญี่ปุ่นใช้คำว่า ikigai 

     5. ทุกชุมชนมีสถานที่ มีวิธีคลายเครียด ส่วนใหญ่กับธรรมชาติ

     6. ส่วนใหญ่ดื่มแอลกอฮอล์ 

     7. ทุกชุมชนมีสังกัดของตัวเอง หมายความว่ามีศาสนา เอาพระเอาเจ้า 

     8. มีวัฒนธรรมรักตัวเอง รักครอบครัว 

     9. ทุกชุมชนมีวัฒนธรรมเอื้ออาทรต่อกัน มีเพื่อนซี้ ญี่ปุ่นมีคำเรียกกลุ่มเพื่อนซี้ว่า moai

    ทั้งเก้าข้อนี้เรียกว่าบลูโซนคอนเซ็พท์ แดนเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “บลูโซน” เพื่อเล่าเรื่องเหล่านี้ ซึ่งกลายเป็นหนังสือเนชั่นแนลเบสท์เซลเล่อร์จนทำให้เขาร่ำรวย 

     เฮลท์ ทาวน์ โปรเจ็ค

     ต่อมาก็มีพวกผู้นำรัฐบาลท้องถิ่นในอเมริกาที่ได้รับทราบเรื่องราวของบลูโซนจากแดน จึงเกินไอเดียขึ้นมาว่า..เออแล้วทำไมเราไม่เอาคอนเซ็พท์นี้ไปทำให้เมืองหรือตำบลของเรากลายเป็นเมืองสุขภาพที่คนแค่เข้าไปอยู่อาศัยในนั้นก็มีอายุยืนขึ้นได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกอบรมบ่มนิสัยอะไรให้ยุ่งยาก    เพราะในความเป็นจริง 90% ของเวลาในชีวิตของคนในเมืองๆหนึ่งจะใช้ชีวิตอยู่ในละแวกรัศมีห่างจากบ้านตัวเองไม่เกิน 30 กม.เท่านั้น ดังนั้นหากเราทำให้พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่หากคิดจะทำอะไรเพื่อสุขภาพของตัวเองก็ทำได้ง่ายๆ จะไปเดินออกกำลังกายก็มีที่ปลอดภัยให้เลือกเดินหลากหลายจะหาอาหารสุขภาพกินก็มีอยู่ทุกหัวระแหง ผู้คนก็จะมีสุขภาพดีขึ้นด้วยการแค่เข้าไปอยู่ในเมืองอย่างนั้น จึงเป็นที่มาเฮลท์ทาวน์โปรเจ็ค คือโครงการเปลี่ยนเมืองให้เป็นเมืองสุขภาพโดยมีเป้าหมายให้ประชาชนของเมืองนั้นมีสุขภาพดีมีอายุยืนขึ้น โดยมีม็อตโตว่า

“ทำให้ทางเลือกเพื่อสุขภาพ

ให้เป็นทางเลือกที่ง่าย”

“Making the healthy choice

the easy choice” 

ตามคอนเซ็พท์นี้ของบลูโซนโปรเจ็ค เมืองที่จะเป็นเมืองสุขภาพต้องมี

1. แหล่งอาหารพืชในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติหาซื้อกินได้ง่าย

2. มีทางเดินเท้าที่ปลอดภัยหลากหลาย ทั้งในเมือง นอกเมือง ในป่าในเขา มีสัดส่วนทางเดินเท้ามากกว่าถนนรถยนต์

3. มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพเพื่อให้ผู้คนมาร่วมแจมได้ง่าย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมผู้ชายด้วยนะ เพราะผู้ชายมักจะถูกลืมเมื่อพูดถึงสุขภาพ นี่คือ Men’s shed ซึ่งเทศบาลจัดขึ้นเพื่อให้พวกผู้ชายได้มาทำเรื่องของผู้ชายด้วยกัน เช่นทำงานช่างไม่ งานใช้มือต่างๆ

4. มีสถานที่ธรรมชาติให้พักผ่อนหย่อนใจ

5. มีสถานที่ให้ปลีกวิเวกทางจิตวิญญาณ

6. ทำชุมชนให้เป็นชุมชนเอื้ออาทรที่มี caring ต่อกันและกัน

     ในสหรัฐมีเมือง 25 เมืองที่ตั้งต้นเป็น blue zone city โดยเมือง Boulder, Colorado เป็นเมืองได้คะแนนสูงสุด ผู้คนในเมืองนี้มีสำนึกชุมชนสูง เข้าถึงธรรมชาติที่สวยงามสะอาดได้ง่าย ผู้คนมีชีวิตที่แอคทีฟ ตัวเมืองมีเปอร์เซ็นต์ถนนคนเดินเท้ามากที่สุดในสหรัฐ ทำให้อัตราการออกกำลังกายของผู้คนสูง อัตราการเป็นโรคอ้วนต่ำ อัตราการสูบบุหรี่ต่ำที่สุด

ตัวผมเองก็กำลังริเริ่มคอนเซ็พท์เฮลท์ทาวน์ในเมืองไทย โดยกำลังเริ่มทดลองทำหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ที่มวกเหล็กวาลเลย์ เริ่มจากเล็กๆสี่ห้าครอบครัวไปก่อน ทั้งหมดนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่มีอะไรมาแชร์มากนัก

การจัดการความเครียด

เรามาคุยกันถึงอีกองค์ประกอบสำคัญหนึ่งของการทำให้สุขภาพดีดีกว่า คือเรื่องการจัดการความเครียด

การเปิดแค้มป์ฝึกสอนผู้ป่วยมาหลายปี ทำให้ผมเรียนรู้ว่าองค์ประกอบสำคัญอีกอันหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาป่วยเป็นโรคเรื้อรังคือความเครียด ซึ่งหากแก้ตรงนี้ไม่ได้ โรคเรื้อรังก็ไม่หาย ผมจึงนำเรื่องการจัดการความเครียดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแค้มป์พลิกผันโรค ตอนเริ่มต้นตัวผมเองไปเข้าเรียนหลักสูตรฝึกสติลดความเครียด MBSR ของมหาลัย U of Mass แล้วเอาประสบการณ์นั้นมาจัดทำการฝึกสอนให้ผู้ป่วยไทยในลักษณะคล้ายกันโดยแยกเป็นแค้มป์เพื่อการนี้โดยเฉพาะหนึ่งวันเต็ม จากนั้นมันก็ค่อยๆพัฒนามาเป็น spiritual retreat ซึ่งต้องไปกินนอนอยู่นาน 4 วัน โดยที่เนื้อหาหลักมีเรื่องเดียว คือการลดทอนความเครียดด้วยการฝึกวางความคิด

การลดทอนความเครียด กับการแสวงหาความสงบเย็นมันเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อเราคิดจะทำอะไรก็ตาม เราต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่เรามี การจะสร้างความสงบเย็นขึ้นในโลกนี้ เราจะต้องเริ่มด้วยการทำให้ชีวิตของเราสงบเย็นก่อน ถ้าชีวิตของเราเองไม่สงบเย็น มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปสร้างความสุขสงบให้แก่โลก แต่ถ้าชีวิตของเราสงบเย็น ความสงบเย็นมันเป็นโรคติดต่อ เมื่อเราสงบเย็น ครอบครัวของเราก็จะสงบเย็น ซึ่งมันจะมีผลต่อๆไปถึง เพื่อนบ้านของเรา ชุมชนของเรา ชาติของเรา ท้ายที่สุดชุมชนนานาชาติก็จะสงบเย็น

เหตุที่แท้จริงของความเครียดก็คือความคิด การกำจัดความเครียดต้องฝึกวางความคิด วิธีฝึกวางความคิดที่ดีที่สุดก็คือฝึกผ่าน meditation พอผมพูดคำนี้ทุกคนก็เริ่มคิดในใจ มันมาอีกแล้ว แต่ว่า meditation นี้ในรูปแบบที่ง่ายที่สุดมันทำเมื่อใดที่ไหนก็ได้ มันมีองค์ประกอบแค่สามส่วนคือ

(1) Relax ผ่อนคลายร่างกายและยิ้ม

(2) Observe สังเกตทุกอย่างที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้

(3) No judge ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิพากษา

เอ้า เราลองมาทำกันดูเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ทุกคน เอาตอนที่ท่านกำลังกินอยู่นี่แหละ นั่งท่าไหนก็ได้ แต่ขอให้ตั้งกายตรงขึ้น

เริ่มขั้นที่หนึ่ง Relax ด้วยการผ่อนคลายร่างกายก่อน หายใจเข้าออกลึกๆ ใช้สูตร 4-4-8 คือหายใจเข้าขณะผมนับ 1-2-3-4 แล้วกลั้นไว้ขณะผมนับ 1-2-3-4 แล้วปล่อยลมหายใจออกช้าๆโดยผ่อนคลายร่างกายไปด้วย ยิ้มไปด้วย การยิ้มนี้ไม่ใช่เพราะเราขบขันกันอะไรภายนอก แต่ยิ้มเพื่อผ่อนคลายร่างกาย และยิ้มเพื่อเปิดทางให้พลังชีวิตแผ่ออกมาจากข้างใน พอกลั้นหายใจครบ 1-2-3-4 จากนั้นก็จะเป็นการหายใจออก โดยผมจะนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 ผ่อนคลายร่างกายไปทุกส่วน ทีละส่วน เริ่มที่ใบหน้าก่อน ยิ้มที่มุมปากนิดๆ เพราะหากเรายิ้มได้แปลว่าเราผ่อนคลายได้จริง แล้วก็ไปผ่อนคลายคอบ่าไหล่ ลำตัว แขนขา ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้ม..ม relax…x….x

เอาละ ทุกคนผ่อนคลายได้แล้ว คราวนี้ก็มา ขั้นที่สอง Observe คือการสังเกต ให้หายใจแบบผ่อนคลายไปด้วย สังเกตทุกอย่างที่เข้ามาสู่การรับรู้ ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไปด้วย ทั้งภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน สัมผัสบนผิวหนัง สังเกตกลิ่นอาหาร สังเกตรสของอาหาร แม้กระทั่งสังเกตความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจก็สังเกตด้วย เมื่อตะกี้เราคิดอะไรอยู่ สังเกตดูมันจากข้างนอกแบบไม่ไปผสมโรงคิดต่อยอด ปล่อยให้ความคิดผ่านเข้ามา เฝ้าดูมัน ให้เห็นมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

แล้วก็มา ขั้นที่สาม No Judge คือไม่ไตร่ตรอง ไม่พิพากษา อันนี้ไม่ใช่แอ๊คชั่น เป็นเพียงภาคขยายของการสังเกต คือไม่ว่าเราจะสังเกตรับรู้ภาพ เสียง สัมผัส หรือความคิด เราจะรับรู้มันตามที่มันเป็น ไม่ไปคิดต่อยอด ไม่ไปตัดสินว่ามันดีมันเลว รับรู้และยอมรับสิ่งเร้าทุกอย่างที่เข้ามาตามที่มันเป็น

สำหรับผู้ที่สนใจ meditation จริงจัง ผมแนะนำเครื่องมือให้ท่านไปทำความรู้จักและฝึกใช้ 7 ชิ้น

  1. Attention หรือความสนใจ โดยมุ่นเน้นที่การถอยความสนใจออกมาจากความคิด มาอยู่ที่อะไรอย่างอื่นที่เดี๋ยวนี้
  2. Breathing ลมหายใจ โดยใช้มันเป็นที่วางความสนใจ และใช้มันเป็นตัวให้จังหวะการใช้เครื่องมือวางความคิดอื่นๆ
  3. Relaxation การผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย เน้นที่การยิ้ม
  4. ฺBody scan คือการรับรู้พลังชีวิต ผ่านการรับรู้ความรู้สึกบนผิวกาย
  5. Observation การสังเกต คือการรับรู้ทุกอย่างตามที่มันเป็น โดยไม่คิดต่อยอด สังเกตทั้งภาพ เสียง กลิ่น สัมผัส และที่สำคัญ สังเกตความคิด ไม่ใช่คิดนะ แต่เป็นการรับรู้ว่ากำลังคิดอะไร
  6. Concentration หรือการจดจ่อความสนใจอยู่ที่อะไรสักอย่างเพียงอย่างเดียว จดจ่อลึกลงไป ลึกลงไป แต่ไม่เพ่งหรือเคร่งเครียดนะ เป้าหมายก็คือกีดกันไม่ให้ความคิดแทรกเข้ามาแย่งเอาความสนใจไป
  7. Alertness การกระตุ้นตัวเองให้ตื่นเสมอ เหมือนเวลาเราเดินบนธารน้ำแข็ง เราต้องตื่นตัวเพราะน้ำแข็งบนผิวอาจทรุดผลุบลงเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะทำอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับว่าชีวิตมีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น วินาทีข้างหน้าอะไรจะโผล่เข้ามาเรายังไม่รู้เลย มันเป็นความมหัศจรรย์ มันเป็นตัวแยกการใช้ชีวิตสองแบบออกจากกัน

ทั้งเจ็ดชิ้นนี้คือเครื่องมือที่คุณใส่ไว้ในกล่องเครื่องมือที่คุณหิ้วติดตัวไว้ตลอดเวลา ยามไหนที่ต้องใช้เครื่องมือชิ้นไหน คุณก็เปิดกล่องเอามันออกมาใช้ โดยไม่จำเป็นว่าต้องใช้อย่างเรียงตามลำดับก่อนหลัง ถ้าคุณมีทักษะในการใช้เครื่องมือทั้งเจ็ดตัวนี้ในการใช้ชีวิตประจำวัน การวางความคิดที่เป็นต้นเหตุของความเครียดลงก็เป็นเรื่องที่ทำได้จริงแบบง่ายๆ

สันติภาพของโลก

บางท่านบอกผมว่าให้พูดถึงวิธีสร้างสันติภาพหน่อย อื้อฮือ เรื่องใหญ่นะ

การจะสร้างอะไรก็ตาม ผมจะเริ่มจากสิ่งที่ผมมีอยู่ในมือ ผมจะเริ่มด้วยการฝึกใช้เครื่องมือทั้งเจ็ดชิ้นที่ผมเพิ่งกล่าวไปเพื่อวางความคิดลบในใจลงไปให้ได้ก่อน ให้ทุกเช้าตื่นขึ้นมาแล้วผมยิ้มได้ก่อน จากนั้นผมก็จะยิ้มให้กับทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมทั้งวัน สันติสุขมันเป็นโรคติดต่อ เมื่อเรายิ้มได้ มันจะแพร่จากเราไปสู่คนอื่นเอง

กลไกที่มันแพร่ไปนี้มันไม่ใช่แค่กลไกการเลียนสีหน้าเท่านั้น คือสำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่เบอร์ลิน ได้ทำวิจัยชื่อ Emotional Contagion trial ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าการที่อารมณ์ความรู้สึกถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้โดยยังไม่ต้องพูดจาอะไรกันนั้น มันถ่ายทอดไปด้วยการเลียนแบบสีหน้า facial mimicry

แต่ผมกำลังจะอธิบายว่านั่นไม่ใช่กลไกเดียวที่จะแผ่ความสงบสุขจากตัวเราไปสู่คนอื่น มันยังมีกลไกที่สำคัญกว่านั้น คือเมื่อคุณประสบความสำเร็จในการใช้เครื่องมือทั้งเจ็ดชิ้นวางความคิดลงได้แล้ว คุณจะเข้าไปเป็นความรู้ตัว (be conscious) ซึ่งเป็นธาตุแท้หรือแก่นกลางที่แท้จริงของความเป็นคุณ ที่ตรงนี้นอกจากมันจะมีธรรมชาติเป็นความสงบเย็น ตื่นรู้ และสร้างสรรค์แล้ว มันยังเป็นพลังเมตตาที่เชื่อมโยงแก่นกลางของสรรพชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย ดังนั้นใครก็ตามที่วาง egoic identity เบื้องนอกเข้าไปเป็นตัวตนส่วนลึกนี้ได้ จะเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นโดยอัตโนมัติ ด้วยความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นนี้ ความสงบเย็นใดๆในตัวเรามันจะแผ่กระจายออกไปเองโดยอัตโนมัติ นี่เป็นกลไกหลักที่แท้จริงว่าทำไมเมื่อเราสงบเย็นได้แล้ว มันจะเหนี่ยวนำให้โลกนี้สงบเย็นด้วย

ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษ ผมขอจบการพูดไว้แค่ตรงนี้ก่อน และผมยินดีที่จะตอบคำถามถ้าหากมี