Latest

คุณคือผลผลิตของความคิดของคุณ You Are The Placebo

(ภาพวันนี้: สระน้ำของเพื่อนบ้าน)

เรียน อ.สันต์ ที่เคารพ ค่ะ

       .ปรึกษา อ. สันต์ว่า … เรียนเภสัชกร และทำงานเภสัชกร รพ.มา 15 ปี เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองเชื่อใน you are the placebo ตาม dr.joe dispenza มาประมาณ 1 ปี ก็เลยคิดจะกลับหลังหันจากอาชีพสนับสนุนให้คนไข้ใช้ยาอย่างเภสัชกรค่ะ ประเด็นคือรู้สึกเสียเวลาที่เรียน+ทำงานมานาน (แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องยางอกออกมานะคะ มีแต่ถดถอยลง เพราะไม่ชอบ ไม่อ่าน ไม่จำ จริงๆ) สนใจใคร่รู้แต่กฏจักรวาล the law of attraction spiritual ประมาณนี้ค่ะ เคยเรียนกับ อ.สันต์ SR16 อยู่กับปัจจุบันขณะ รู้ว่าดี จะมี intuition ค่ะ แต่ตอนนี้ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เพื่ออ่านความรู้ spiritual ที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งน้านนน ก็เลยใช้ทางลัดค่ะ chatt ทางแอปหาคู่ ได้เพื่อนผู้ชายชาว … มาคนนึง ช่วยให้ความใคร่รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นๆ แต่ก็ต้องเสียเวลากับอารมณ์ fall in love อยู่เหมือนกันค่ะ

        สรุป เรียนถาม อ.สันต์แบบนี้ค่ะ

1.แนวคิด you are the placebo รักษาตัวเองโดยไม่พึ่งยาหรือแม้แต่การผ่าตัด มันจริงเหรอคะ (นี่หนูเชื่อหัวปำไปแล้ว)

2.ถ้าข้อ 2 จริง แล้วหนูเชื่อ ปฏิบัติตามจนทำได้ แต่แม่ของเราไม่สามารถเชื่อ+ทำตามได้ ต้องใช้ยาและหัตถการในการรักษาตัวเอง หนูก็ยังต้องฝืนมีความรู้เรื่องยาอยู่มั้ยคะ (มันไม่เข้าหัวจริงๆ)

3.ตอนนี้รู้ตัวเองว่าต้องฝึกฝนเรื่อง Responsibility มากๆ มีความเป็นเด็ก ทำอะไรไม่สุดสักทีค่ะ เริ่มออกมาทำ youtube (ทำเอง สอนตัวเองเอง 555) เกี่ยวกับเรื่องกฏแรงดึงดูด, you are the placebo ค่ะ  ต้องการหารายได้ในสิ่งที่ชอบและเลิกมีข้ออ้างใดๆ ในการลงมือทำอีก หนูเข้าใจว่า การฝึก Mindfulness นี่แหละ จะช่วยให้ Responsibility ง่ายขึ้น อันนี้หนูเข้าใจถูกมั้ยคะ

หรือ อ.สันต์ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ

……………………………………………………………………………

ตอบครับ

ก่อนตอบคำถามขอให้เกล็ดข้อมูลเล็กๆน้อยๆแก่ท่านผู้อ่านเพิ่มเติมเพื่อให้ตามเรื่องทันก่อน

Dr. Joe Dispenza เป็นชื่อของคนผู้ชายคนหนึ่ง จัดว่าเป็นครูสอนทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของอเมริกา แนวทางการสอนเป็นแบบฮินดู แต่ใช้วิธีอธิบายแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ รวมทั้งอธิบายผ่านงานวิจัยภาพ (imaging) ของสมอง

Placebo หมายถึงผลใดๆที่เกิดขึ้นต่อร่างกายเมื่อมีความเชื่อว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น เช่นมีคนเอายามาให้กินโดยบอกว่าเป็นยานอนหลับอย่างแรง กินแล้วก็หลับได้ดีจริงๆ ทั้งๆที่ยานั้นเป็นเม็ดแป้ง เป็นต้น ยาที่เป็นเม็ดแป้งนั้นเรียกว่า placebo drug ผลที่เกิดขึ้นคือกินแล้วหลับได้เรียกว่า placebo effect

You are the placebo เป็นหนังสือเขียนโดย Dr.Joe Dispenza ซึ่งเขายกกรณีผู้ป่วยที่หายจากมะเร็งและโรคอื่นๆด้วยผลจากความเชื่อมั่นว่าตัวเองจะหาย สาระสำคัญที่ผมสรุปได้จากหนังสือนี้ที่ท่านผู้อ่านอาจจะเอาไปใช้ได้ก็มีประมาณว่า

.”..1 สร้างตัวเองที่เป็นคนใหม่ขึ้นมา บุคลิกภาพเป็นตัวสร้างตัวตนจริง บุคลิกภาพเกิดจากความคิดอารมณ์ความรู้สึกและสิ่งที่ตนเลือกคิดเลือกทำมาในอดีต ทั้งหมดนั้นอยู่ในวิสัยที่ตนคุมได้ ถ้าอยากเป็นคนใหม่ก็ต้องสร้างบุคลิกภาพใหม่ที่เข้ากับตัวตนที่คุณใฝ่ฝันจะเป็น เมื่อเริ่มจะเป็นคนใหม่มันจะรู้สึกแปลกพิกลเพราะคุณกำลังสร้างเส้นทาง (pathway) การวิ่งของกระแสประสาทในสมองใหม่ที่แตกต่างจากเส้นทางเก่าๆเดิมๆที่ใช้มาตลอดชีวิต แต่ถ้าคุณยืนหยัด คุณก็จะเป็นคุณได้ทั้งร่างกาย สุขภาพ และโอกาสในชีวิตด้วย ดร.โจเรียกมันว่า “ข้ามแม่น้ำแห่งการเปลี่ยนแปลง” ฝั่งนี้ก็คือตัวตนเดิมๆ ฝั่งโน้นก็คือตัวตนใหม่ที่อยากเป็น ต้องข้ามไปให้ได้ หรือพูดงายๆว่าตัวตนเก่าต้องตายก่อนจึงจะเกิดใหม่ได้

2.. ความคิดเปลี่ยนร่างกาย Thoughts Change the Body ดร.โจพูดถึง epigenetics ซึ่งหมายถึงการที่ความคิดของเราและสิ่งแวดล้อมของเราสามารถเปลี่ยนการแสดงออกของยีนร่างกายได้ คิดลบยีนก็แสดงออกทางลบ คิดบวกยีนก็แสดงออกทางบวก ต้องส่งสัญญาณใหม่ให้ยีนเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้น การรับมือกับปัญหาด้วยวิธีเดิมๆซ้ำๆเป็นการบอกให้ยีนแสดงผลแบบเดิมๆ ต้องจำแนกให้ออกว่าความคิดไหนที่ส่งสัญญาณให้ยีนก่อปัญหาที่ทำให้ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้า ณ ขณะนี้ เช่น

  • ความคิดลบ กลัว กังวล โกรธ จะไม่มีวันทำให้คุณหายป่วยหรือมีสุขภาพดีได้
  • ความเชื่อว่าร่างกายและชีวิตคุณจะเป็นอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้น
  • คุณกินอาหารที่จะทำให้ร่างกายเป็นอย่างไร มันก็จะเป็นอย่างนั้น
  • คุณมองคนในแง่ร้ายชอบนินทาซุบซิบหรือเปล่า คุณก็จะเป็นอย่างนั้น
  • คุณชอบติฉินนินทาตัวเองบ้าง ชีวิตบ้าง โลกบ้าง โลกรอบตัวคุณก็จะเป็นอย่างนั้น

การจะเปลี่ยนยีน คุณต้องเปลี่ยนวิธีส่งสัญญาณให้มัน

คิดว่าจะเป็นคนอย่างไร แล้วเลือกนิสัยและความคิดที่คนอย่างนั้นพึงทำพึงคิดแล้วลงมือฝึกทำฝึกคิด คิดดูซิว่าคนที่เขาสุขภาพดี เบิกบานกับชีวิต ประสบความสำเร็จ เขาคิด เขาเชื่ออย่างไร คุณก็ทำอย่างนั้น ยิ่งคนฝึกทำฝึกคิดมาก ร่างกายก็ยิ่งจะเปลี่ยนแปลงตามเร็ว

3.. ซ้อมในใจ นักกีฬาที่ดีจะซ้อมขั้นตอนการแข่งขันที่ตัวเองชนะอยู่ในใจตั้งแต่ต้นจนจบ คุณอยากจะรู้สึกอย่างไร อยากทำอะไร ซ้อมทำในใจ จินตนาการและบ่มความรู้สึกที่จะเกิดถ้ามันเป็นจริง นี่เป็นการเปลี่ยนทางวิ่งกระแสประสาทในสมอง เพราะสมองไม่รู้หรอกว่าอันไหนเป็นการซ้อม อันไหนเป็นการลงสนามจริง นั่งลงทำใจให้เป็นสมาธิแล้วจินตนาการทุกเช้าว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน จนคุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนแบบนั้นจริงๆ เลิกให้ร่างกายนี้จากการเป็นความจำของอดีตมาเป็นแผนที่สู่อนาคต ..”

โอเค อารัมภบทมายาวพอแล้ว คราวนี้มาตอบคำถามของคุณ

1.ถามว่าแนวคิด you are the placebo มันจริงเหรอคะ ตอบว่ามันเป็นความจริงประมาณ 30% ในงานวิจัยทางการแพทย์ทั่วๆไป เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นจริงอาจมากกว่านี้หากมีการซ้อมในใจหนักๆอย่างที่ Dr.Joe ว่า ตรงนี้ยังไม่มีใครทำวิจัยไว้

2.ถามว่าถ้าจริงแล้วเชื่อปฏิบัติตามจนทำได้ แล้วยังต้องฝืนมีความรู้เรื่องยาอยู่ไหม ตอบว่ามันคนละเรื่องกันนะ การซ้อมในใจให้ความคิดกลายเป็นความจริง มันคนละเรื่องกับการจะใช้หรือไม่ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาในการแก้ปัญหาตรงหน้า จังหวะที่ต้องใช้ความรู้ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ก็ต้องใช้ นี่มันเป็นสามัญสำนึกอยู่แล้ว

3.ถามว่าการฝึกสติจะช่วยให้มีความรับผิดชอบได้ง่ายขึ้นไม่ทำอะไรได้แค่จับๆจดๆแบบเด็กอีกแล้วใช่ไหม ตอบว่าใช่ครับ ใช่มาก และใช่มากที่สุด ชีวิตที่เหลืออยู่ของคนที่ประเมินตัวเองว่าจับๆจดๆอย่างคุณ หากจะเลือกทำอะไรสักอย่างเพียงอย่างเดียวในชีวิตที่เหลือนี้ การเลือกทุ่มเทให้กับการฝึกสติหรือฝึกความรู้ตัวนี่แหละ เป็นทางเลือกที่ดีแน่ แล้วสิ่งดีๆอย่างอื่นจะตามมาเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์