Latest

มอร์ฟีนในวาระสุดท้ายของชีวิต คุณเป็นแบบไหนในสองแบบ

(ภาพวันนี้: สังกรณี ใบมัน)

เรียนอาจารย์หมอสันต์ที่เคารพ

คุณยายหนูอายุ 91 ปี ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยทานข้าว ไม่ดื่มน้ำ ร่างกายซูบผอมลงมาก ยังพูดคุยได้บ้าง แต่บางวันก็เหนื่อยมาก ลูกๆ ตัดสินใจพาไปใส่ NG tube เพื่อฟีดอาหาร หนูจำได้ว่าคุณหมอพูดในแคมป์ SR ว่าคนแก่มาก เมื่อใกล้ถึงวาระสุดท้าย จะไม่อยากรับอาหาร อย่าพาไปใส่สายและบังคับให้อาหารนะ หนูเลยพยายามเบรคที่บ้าน แต่เนื่องจากเป็นรุ่นหลาน ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณแม่และพี่น้องของคุณแม่ตัดสินใจพาไปใส่สาย แต่คุณยายเมื่อได้อาหารทางสายแล้วก็ท้องเสียตลอด ไม่ได้ออกจาก รพ. เสียที จนไปๆ มาๆ ก็มาติดโควิด ตอนนี้อาการเหนื่อย หอบ บางช่วง sat ต่ำ มี secretion เยอะ เมื่อคืนต้องเอาเข้า ICU หมอถามว่าถ้าต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอในอนาคต ร่วมกับให้มอร์ฟีนเพื่อให้คนไข้ไม่ทรมาน ทางญาติเห็นว่าอย่างไร

หนูเลยอยากขอปรึกษาอาจารย์หมอสันต์ เพราะจำได้ว่า อาจารย์พูดขั้นตอนแบบนี้เลย ว่าสุดท้ายหมอก็ต้องให้มอร์ฟีนคนไข้ แล้วคนไข้ก็ต้องจากไปแบบไม่มีสติ…หนูอยากถามว่า ในวาระสุดท้ายของตัวเราเอง และคนใกล้ชิด หากว่าเค้ามีความทรมาน ทุรนทุราย เราควรให้หมอให้มอร์ฟีนเพื่อให้คนไข้เกิดความสงบ หรือปล่อยให้เค้าทรมานและเสียไปตามธรรมชาติคะ จะปล่อยให้ทรมาน ลูกหลานก็ไม่สบายใจ ทนดูไม่ได้ แต่ถ้าให้ยา สติก็คงไม่เต็มร้อย เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมาก รวมถึงอยากทราบไว้เป็นแนวทางเผื่อตัวเองในวาระใกล้ตายด้วยค่ะ 

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

……………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าอายุมากได้ที่แล้วใกล้เสียชีวิต หมอให้เลือกว่าจะต้องเจาะคอ ใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้มอร์ฟีน ควรจะตัดสินใจเลือกเอาดี หรือไม่เอาดี ตอบว่าก็แล้วแต่นโยบายส่วนตัวของคนไข้แต่ละคนสิครับ กองเชียร์ไม่เกี่ยว เจ้าตัวอยากได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้นเลย ถ้าเป็นคนรุ่นคุณก็ยิ่งง่าย เขียนไว้เป็นเจตนารมณ์ก่อนตาย (advance directives) เป็นตัวหนังสือใส่ซองไว้ให้ลูกหลานเลย กฎหมายไทยก็รองรับ คนอยู่ข้างหลังจะไม่ลำบากใจ หมอก็ไม่อิดออด เพราะหมอต้องทำตามกฎหมายว่าเจตนารมณ์ก่อนตายของคนไข้เป็นสิ่งที่หมอพึงทำตามนั้น

แม้ผู้ป่วยที่ไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ก่อนตายไว้ แพทย์ก็ยังพยายามทำตามที่ตัวผู้ป่วยต้องการ เช่นใส่มอร์ฟีนในน้ำเกลือไว้ แล้วให้ผู้ป่วยหมุนหยดช้าเร็วเอาเองตามใจชอบ อยากได้น้อยก็หมุนให้น้ำเกลือหยดช้าลง อยากได้มากก็หมุนให้หยดเร็ว ไม่อยากได้เลยก็ขอให้หมอหยุดซะ

2.. ถามว่าตัวเองแม้ตอนดีๆอยู่นี้ก็ยังตรองไม่ตกเลยว่าจะเอาอย่างไรดี จึงถามหมอสันต์ว่าจะเอาอย่างไรดี ตอบว่ามันขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนที่มีสติดีแค่ไหน ผมแบ่งเป็นสองแบบนะ

แบบที่หนึ่ง ผมแนะนำว่าตัวคุณตอนนี้อายุยังน้อย ให้ฝึกสติให้แข็งแรงจนสามารถสังเกตเห็นความเจ็บปวดของตัวเองเป็นช็อต ช็อต ได้โดยไม่ปล่อยให้มีความคิดไปต่อยอดความปวด ถ้าฝึกได้อย่างนี้แล้วเวลาป่วยมาจริงๆมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นเราก็แค่รับรู้มันว่ามัน “ปวดหนอ” ตราบใดที่ไม่ไปคิดต่อยอด มันก็มีแต่ความปวด (pain) แต่ไม่มีความทรมาน (suffering) และความปวดนี้มันมีวิธีที่จะรับมือกับมันอยู่สองขั้นตอน

ขั้นตอนแรก คือยอมรับมัน (stage of acceptance) คือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเมื่อปวด อย่าไปเกร็งสู้ ยอมรับยอมแพ้ลูกเดียว

ขั้นตอนที่สอง คือเปลี่ยนพลังความปวดเป็นพลังชีวิตของเราเสียเลย คือตัวความปวดมันเป็นพลังงานที่แปลกแยกไม่เข้ากับพลังปกติของชีวิต พอยอมรับมันได้เราจะรวมมันเข้ากับพลังชีวิตของเราได้ มันก็จะกลายเป็นความซู่ซ่ามีพลัง (stage of joy)

ถ้าคุณฝึกตัวเองมาได้ขนาดนี้ เวลาตายรับประกันไม่มีคำว่าทรมาน ไม่มีทุรนทุราย คุณจะผ่านไปได้อย่างสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และตายไปอย่างมีสติแบบช็อตต่อช็อต ไม่ว่าจะปวดมากปวดน้อย โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยอะไรทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นแค่คำสอนหรือแค่ลมปากนะ มันเป็นของจริงที่ผมกลั่นมาจากประสบการณ์ของตัวเอง ตอนผมป่วยหนักเมื่อปีกลาย ผมหลังหัก สะโพกหัก แขนหักสองข้าง ต้องนอนเปลตัก(ทำด้วยโลหะ)เพื่อย้ายจากรพ.หนึ่งไปอีกรพ.หนึ่ง หมอเข้ามาจะฉีดมอร์ฟีนให้ ผมขอบคุณและบอกหมอไปอย่างสุภาพว่าไม่ต้องดีกว่าครับเพราะผมไม่ปวด ความจริงผมปวดมากและรู้ตัวว่าผมกำลังจะช็อกเพราะเลือดตกข้างใน ผมพยายามบอกหมอ (แพทย์ฝึกหัดที่ห้องฉุกเฉิน) เพื่อให้ท่านเร่งน้ำเกลือแต่ท่านก็เห็นว่าน้ำเกลือที่ให้ 200 หยดต่อนาทีนี่มันก็เร็วมากแล้ว ท่านคงคิดว่าแก่ๆขนาดนี้ให้เร็วกว่านี้ท่านคงกลัวหัวใจผมไม่ดีจะเป็นน้ำท่วมปอดท่านจึงไม่ยอมเร่งน้ำเกลือให้ ผมก็จึงไม่กล้าให้ท่านฉีดมอร์ฟืน เพราะกลัวว่าเมื่อยาทำให้หลอดเลือดขยายตัวแล้วผมจะช็อกกลางทางจากเลือดไม่พอไหลเวียน คนที่กระดูกหักไม่รู้กี่ท่อนต่อกี่ท่อน นอนบนพื้นเตียงโลหะแข็งๆ กระด๊อก กระแด๊ก ขณะรถวิ่งหนึ่งชั่วโมง ปวดแค่ไหนคุณคงเดาได้ แต่ผมก็ใช้หลักที่ผมบอกคุณไปแล้วนั่นแหละ มันเวอร์คดีมาก

แบบที่สอง ถ้าคุณมาถึงวาระสุดท้ายแบบคนไร้สติ หรือสติไม่แข็งแรง มีแต่ความหวาดกลัว กระวนกระวาย อยากหนีจากความจริงที่เผชิญอยู่เดี๋ยวนี้ไปให้พ้นแต่ก็ไม่รู้จะหนีไปทางไหน ปวดก็เกร็งเหงื่อแตกเหงื่อแตน ปากร้องด้วยความกลัวตาย หรือออกอาการตื่นตระหนกไม่อยากตาย แบบนี้มอร์ฟีนคือสิ่งเดียวที่พระเจ้าประทานมาให้เลยละ จะให้ดีคุณกระซิบบอกหมอว่าขอแบบโอเวอร์โด้สสักหน่อยก็ยิ่งดี เพราะถ้าคุณเข้ามาสู่โมเมนต์สุดท้ายของชีวิตแบบไร้สติ ไม่มีอะไรดีกว่าขอหมอเขาให้รีบๆฉีดยาหนักๆให้คุณหลับๆไปซะ อย่างน้อยคนอยู่หลังเขาจะได้ไม่เครียดกับคุณมาก แต่ตัวคุณเองจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่างไหนจะดีกว่ากันหากได้ยากับหากไม่ได้ยานั้น ผมเดาว่าไม่ต่างกันหรอก เพราะการที่ไม่ได้ฝึกสติมา ได้ยาหรือไม่ได้ยาคุณก็จะจบชีวิตแบบคนสติแตก..เหมียนเดิม

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์